พระเยซูคริสต์มิได้เรียกสาวกให้มาเป็นพรรคพวกและติดตามพระองค์เท่านั้น
แต่พระองค์ทรงเรียกพวกเขาเพื่อที่จะทรงสร้างพวกเขาให้เป็นคนรับใช้แห่งแผ่นดินของพระเจ้า อย่างที่พระองค์มาในโลกนี้เพื่อที่จะรับใช้ผู้คนที่พบเห็น ดังนั้น
พระองค์จึงมิได้เพียงเรียกพวกเขาเพื่อจะสอนพวกเขาให้รู้ เข้าใจ และเชื่อวางใจในพระองค์เท่านั้น
แต่พระองค์ต้องการที่จะสร้างพวกเขาให้รับช่วงพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าต่อจากพระองค์
เปาโลได้เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างคนที่เชื่อให้เป็นคนที่รับใช้ ท่านได้เขียนไว้ในพระธรรมเอเฟซัสตอนหนึ่งว่า...
พระองค์เองทรงให้บางคนเป็นอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ
บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าสำหรับงานรับใช้
เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น
จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ
และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:11-13 อมตธรรม)
งานของศิษยาภิบาลมิได้จำกัดอยู่แค่การประกาศ
การสอนให้คนเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น
กล่าวคือมิได้มีบทบาทเพียงแค่การช่วยให้ผู้คนรู้เรื่องพระเยซูคริสต์และรับเชื่อในพระองค์เท่านั้น นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ในเวลาเดียวกันศิษยาภิบาลก็มิใช่มีเพียงหน้าที่เผยพระวจนะ
เทศนา สอนพระคัมภีร์
ให้สมาชิกมีความรู้และดำเนินชีวิตตามคำสอนในพระคัมภีร์เท่านั้น
และงานใหญ่ของศิษยาภิบาลมิใช่เพียงการเตรียมและจัดการนมัสการพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์อย่างดี เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมนมัสการซาบซึ้ง และ
รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจในชีวิตที่ได้เข้าร่วมในการนมัสการนั้น
เปาโลได้ชี้ชัดในพระธรรมตอนนี้ถึงบทบาทสำคัญของศิษยาภิบาลคือ
การเสริมสร้างสมาชิก หรือ
ประชากรของพระเจ้าให้เป็นคนทำงานรับใช้พระเจ้าท่ามกลางประชาชนในสังคม
และโดยการทำงานรับใช้ดังกล่าวก่อเกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดาสมาชิกในคริสตจักร ในเวลาเดียวกันได้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้นจากการทำงานรับใช้
และมีชีวิตที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน
แน่นอนครับ
งานการเสริมสร้างสมาชิกให้เป็นคนรับใช้ย่อมเป็นงานหนักกว่า การประกาศ และ
สอนคนให้เชื่อศรัทธา
เป็นงานที่หนักกว่าการเตรียมและจัดการนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ หนักกว่าการประกอบศาสนพิธีอย่างซาบซึ้ง เพราะนี่เป็นการสร้างคนครับ และที่หนักหนาคือเป็นการสร้างคนๆ นั้นให้มีจิตใจ
และ ทักษะความสามารถในการรับใช้พระเจ้าผ่านการรับใช้ผู้คนรอบข้างที่พบเห็น
ในการเสริมสร้างคนเพื่อการรับใช้ดังกล่าวมีประเด็นที่จะต้องเสริมสร้างหลักๆ
ดังนี้
1.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องหนุนเสริมผู้เชื่อคนๆ นั้นในการแสวงหาของประทานจากพระเจ้า
หรือ ศักยภาพ ความสามารถพิเศษที่มีในตัวของเขา
2.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องกระตุ้นหนุนเสริมเขาในการฟังเสียงแห่งการทรงเรียกในชีวิตของเขา
3.ผู้นำคริสตจักรจะต้องเอาใจใส่และเสริมสร้างเขาให้เป็นผู้ที่มีทักษะในการสื่อสาร ในการรับรู้
และการมีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
4.ผู้นำคริสตจักรจะต้องพัฒนาจุดอ่อนที่มีในตัวเขา
ให้เป็นจุดแข็งที่เขาจะใช้ในงานรับใช้ได้
5.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องให้ “ตนเอง” แก่คนที่ตนสร้าง (เช่น เวลา ลงแรงลงพลัง
ความมุ่งมั่นตั้งใจ)
6.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องหนุนนำให้เขาสำนึกว่างานพันธกิจที่เขารับใช้เป็นพันธกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมาย
7.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องเป็นแหล่งทรัพยากรหนุนเสริมการทำพันธกิจ
(ทั้งด้านบรรยากาศ การฝึกอบรม การสนับสนุน
เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็น)
8.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องช่วยให้คนที่ตนสร้างมีความคาดหวังที่ชัดเจนในพันธกิจที่ตนรับใช้
9.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องช่วยปลดปล่อยภาระอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น เพื่อเขาจะมีเวลา พลัง
และชีวิตที่จะทุ่มเทกับงานรับใช้ที่ได้รับมอบหมาย
10.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องมีเวลาที่จะถอดบทเรียนจากประสบการณ์การรับใช้ของแต่ละคน
เพื่อเขาจะได้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทรงร่วมทำงานที่เขารับใช้ อีกทั้งเกิดการเรียนรู้
และพบจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข จุดเด่นที่สามารถพัฒนาให้เกิดผลยิ่งขึ้น
และเป็นเวลาขอบพระคุณพระเจ้าในการเติบโตขึ้นในการรับใช้
11.
ผู้นำจะต้องชื่นชมในการรับใช้ของผู้ที่ตนเสริมสร้าง ทั้งการชื่นชมส่วนตัว และการชื่นชมให้ผู้คนในคริสตจักรได้รับรู้และร่วมความยินดี
12.
ผู้นำคริสตจักรจะต้องกระตุ้นหนุนเสริมผู้ที่ตนสร้างให้ออกไปช่วยเหลือผู้ที่ทำงานรับใช้คนอื่นๆ และสร้างเพื่อนสมาชิกให้เป็นคนรับใช้
นี่เป็นงานหนักของ “ศิษยาภิบาล”
ผู้นำคริสตจักร
ที่จะต้องเสริมสร้างสมาชิกคริสตจักรให้รับใช้และอภิบาลกันและกันในชุมชนคริสตจักร และที่จะเข้าไปในสังคมชุมชน ในที่ทำงาน
ในกลุ่มเพื่อนฝูง และในครอบครัว
เพื่อที่จะอภิบาลชีวิตผู้คนเหล่านั้นที่ตนเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ และพบเห็น
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
081-2894499