ในสังคมปัจจุบัน ทั้งในวงสังคมหรือในวงคริสตจักร เมื่อพูดถึงคนเก็บตัว (Introvert) เรามักจะตีความเข้าใจเอาว่า “คนเก็บตัว”
เป็นคนที่แยกตน
ไม่ค่อยสุงสิงเกี่ยวข้องกับคนอื่น
ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น ดูเหมือนไม่ชอบที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวอาสางานในคริสตจักร/สังคม และเราก็มักรู้สึกเป็นธรรมดาว่า
งานพันธกิจในคริสตจักรไม่มีพื้นที่สำหรับคนเก็บตัว (Introvert) กลุ่มนี้
เมื่อคริสตจักรจะคัดสรรผู้คนมารับผิดชอบงานพันธกิจด้านต่างๆ
ในคริสจักร คนที่มีของประทานเป็นพวกที่
“คนเปิดเผย” (Extrovert) ทำให้ตัวเป็นที่รู้จักในที่สาธารณะมักจะได้รับเลือกให้เป็นคนรับผิดชอบในงานพันธกิจเหล่านั้น และยังถูกผู้คนทั่วไปมองว่า เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพลังในชีวิต เป็นคนของประชาชน เป็นคนที่แสดงออก แท้จริงแล้วสังคมและคริสตจักรในปัจจุบันเรานิยมชมชอบคนที่
“คิดเร็ว” สื่อสารได้คล่องแคล่วทันใจ ถึงลูกถึงคน
มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นยอดเยี่ยม
เป็นคนที่ก้าวเข้าหาคนอื่น
จึงไม่น่าสงสัยเลยใช่ไหมครับที่ผู้คนเลือกคนที่เปิดเผย หรือ
เอ็กซ์โทรเวิร์ท ให้มารับผิดชอบในงานพันธกิจต่างๆ แล้วก็ตัดสินตีตราลงไปว่าสำหรับคนเก็บตัว หรือ
อินโทรเวิร์ท นั้นเหมาะสำหรับการทำหน้าที่หลังฉากหลังเวที ที่ต้องพบปะเกี่ยวข้องผู้คนเพียงเล็กน้อย แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านวิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์เพียงน้อยนิดหรือไม่ต้องเกี่ยวเลย และนี่เป็นการแสดงบ่งชัดเจนว่าเป็นการเข้าใจคน
“เก็บตัว” ผิดอย่างยิ่ง และขาดความเข้าใจที่ถูกต้องถ่องแท้ถึงการนำเอาของประทานที่มีในคนเก็บตัว
หรือ อินโทรเวิร์ทมาใช้ในงานพันธกิจคริสตจักร
Susan Cain เจ้าของหนังสือชื่อ Quiet:
The Power of Introverts in a World that Can’t Stop Talking (ขออนุญาตลองแปลว่า “ความเงียบ:
พลังอำนาจของคนอินโทรเวิร์ทในโลกของการพูดพร่ำที่ไม่รู้จักหยุด) มีตอนหนึ่งที่
ซูซานได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “กลุ่มต่างๆ ในคริสตจักรมักติดตามคนที่มีลักษณะที่ใช้อำนาจครอบงำในการนำด้วยการพูดเก่ง แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งการพูดเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนพูดนั้นจะมีความคิดที่ดี แต่คนก็มักเลือกตามคนพวกนี้” และนี่เป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์
เรามักเผลอลืมไปว่า งานพันธกิจด้านต่างๆ ในคริสตจักรที่ขาดพลังหนุนเสริมจากกลุ่มคนที่มีของประทานของคน
“เก็บตัว” มักขาดความลุ่มลึก ปัญญาที่แหลมคม ที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการตัดสินใจและการกระทำ
เข้าใจคนเก็บตัว
ในสังคมวัฒนธรรมปัจจุบัน ทั้งคนเก็บตัว หรือ อินโทรเวิร์ท และ คนเปิดเผย
หรือ เอ็กซ์โทรเวิร์ท
ต่างเข้าใจความเป็นคนที่มีของประทานของคนเก็บตัวผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป คนที่เก็บตัว ไม่ได้หมายความเป็นคนที่อ่อนแอ
หรือ อ่อนด้อย
และก็ไม่ใช่คนพวกที่มีความบกพร่อง
แล้วก็ไม่ใช่คนที่มีความคิดหรือพฤติกรรมที่ต่อต้านแข็งขืนสังคม จากการสำรวจในสังคมโลกยุค ค.ศ. 2000 พบว่า คนในสังคมไม่น้อยกว่า 50% ที่มีของประทานเป็นคนเก็บตัว หรือ อินโทรเวิร์ท
บุคลิกลักษณะของคน “เก็บตัว” เป็นคนที่ชอบหรือมักมุ่งเน้นการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง
เป็นการกระตุ้นค้นหาภายในชีวิตของคนๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้ว คนลักษณะ “เก็บตัว” มิใช่คนที่ตรงกันข้ามกับคน
“เปิดเผยตัว”
แต่ทั้งสองบุคลิกนั้นไปเคียงคู่หนุนเสริมซึ่งกันและกัน แม้แต่คน “เก็บตัว” สองคนก็ยังมีความแตกต่างกันในความเป็นคนเก็บตัวของเขา
นักจิตวิทยา Laurie Helgoe
บอกกับเราว่า “คนเก็บตัวคือ คนที่เลือกมองชีวิตจากภายในออกสู่ภายนอก
คนกลุ่มนี้จะได้รับพลังอำนาจชีวิตจากการที่พวกเขาสะท้อนใคร่ครวญภายในชีวิตของเขา
และเกิดความตื่นเต้นจากความคิดที่เขาได้มากกว่าการทำกิจกรรมภายนอกสำเร็จ เขาเป็นคนที่ฟังอย่างตั้งใจและคาดหวังว่าคนอื่นจะฟังตนอย่างใส่ใจด้วย เขาเป็นคนที่คิดก่อนแล้วค่อยพูด มักเป็นคนที่ชอบเขียนสิ่งที่ตนคิดออกมา
เพื่อตนจะสามารถอธิบายอย่างเป็นระบบชัดเจน และเขาคาดหวังที่จะมีกระบวนการสื่อสารสื่อความเช่นนี้”
Marti Olsen Laney
อธิบายความหมายคนเก็บตัวว่า
“คนเก็บตัวได้รับพลังชีวิตจากภายในโลกแห่งความคิด อารมณ์
และสิ่งประทับใจของเขา
และเขาสามารถเก็บกักรักษาพลังนั้นไว้ในชีวิตของเขา
เขาจะเกิดความรู้สึกว่าโลกภายนอกตัวเขานี้วุ่นวายสับสน รู้สึกไม่สบายใจกับมัน และรู้สึกว่าเป็นสภาพสังคมที่วุ่นวายมากเกินไป”
Olsen Laney
ได้บ่งบอกถึงความแตกต่างของคนเก็บตัว กับ คนที่เปิดเผยตนนั้นมี 3 สิ่งด้วยกันคือ
พลังชีวิตที่เขาได้รับ,
แรงกระตุ้นในชีวิต,
และความลึกซึ้ง
“พลังของคนเก็บตัวเป็นเหมือนแบตเตอรี่(รถยนต์) ที่เป็นแหล่งพลังไฟที่สตาร์ทเครื่อง
แต่เมื่อเครื่องติดแล้วก็สามารถชาร์ตไฟกลับเข้ามาเก็บที่แบตเตอรี่ได้ เป็นกระบวนการใช้และสร้างพลังงานในตัวของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่คนเปิดเผยตน หรือ เอ็กซ์โทรเวิร์ทเป็นเหมือนแผงโซลาเซลที่จะแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า แล้วนำประจุไฟไปเก็บรักษาในแบตเตอรี่เพื่อนำไปใช้ตามต้องการ แต่เมื่อใช้แล้วก็จะหมดไป
และต้องรอดวงอาทิตย์ขึ้นเพื่อแผงโซลาเซลจะแปลงแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟอีกครั้งหนึ่ง”
นอกจากความแตกต่างของการได้มาซึ่งพลังชีวิตของคนเก็บตัว
กับ คนเปิดเผยตนแล้ว คนที่เก็บตัวเป็นคนที่มีความรู้สึกไวมากกว่าเพื่อนที่เป็นคนเปิดเผยตน
และคนที่เก็บตัวมักชอบที่จะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกกับผู้คน แทนที่การมีความสัมพันธ์อย่างผิวเผินกว้างขวาง
ทุกอย่างอยู่ในหัวของเรา
จากการศึกษาการทำงานของสมองในคนที่เก็บตัว กับ
คนที่เปิดเผยตน พบว่า
การไหลเวียนของโลหิตในสมองของคนเก็บตัวมีสูงกว่าคนเปิดเผยตน ชี้ให้เห็นว่ามีการกระตุ้นภายในสมองของคนเก็บตัวสูงกว่าคนเปิดเผยตนเอง
และการศึกษายังพบอีกว่าเส้นทางการไหลเวียนของโลหิตในสมองของคนเก็บตัวไหลเวียนเป็นระยะทางที่ยาวกว่าคนที่เปิดเผยตน และมีการไหลเวียนมีความซับซ้อนกว่ากันอีกด้วย และโลหิตที่ไหลเวียนของคนเก็บตัวจะไหลเวียนในส่วนสมองที่เกี่ยวกับการทำงานภายในชีวิต
เช่น เรื่องความจำ การแก้ปัญหา การวางแผน
สำหรับคนที่เปิดเผยตนการไหลเวียนของโลหิตจะไหลเวียนเร็วกว่า ในระยะทางที่สั้นกว่า และซับซ้อนน้อยกว่า
และเป็นการไหลเวียนในส่วนของเนื้อสมองที่เกี่ยวกับการรู้สึกสัมผัส ดังนั้น
จึงมีผลให้คนที่เก็บตัวสนใจกับพลังกระตุ้นภายใน
ในขณะที่คนเปิดเผยตนจะสนใจแรงกระตุ้นจากภายนอก
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเก็บตัวจะไม่สัมผัสสัมพันธ์กับโลกภายนอกตัวเขา พวกเขายังข้องเกี่ยวสัมพันธ์กับผู้คน เพียงแต่จำกัดความสัมพันธ์จำนวนคนเท่าที่เขาจะสามารถรับมือได้ในแต่ละครั้งเท่านั้น
เพราะการไหลเวียนของโลหิตในเนื้อสมองของคนเก็บตัวไหลเวียนด้วยระยะทางที่ยาวกว่าและซับซ้อนกว่าจึงทำให้สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมพวกเก็บตัวถึง “คิดช้า” “ตอบสนองช้า” เมื่อคนเก็บตัวถูกตั้งคำถาม เขาต้องการเวลาที่จะคิดใคร่ครวญให้รอบคอบ จึงดูเหมือนว่าเขาคิดไม่ออก บอกไม่ถูก ชักช้า
หรือต้องการเวลาที่จะคิด
แต่เมื่อเราได้รับคำตอบจากคนกลุ่มนี้
เราก็จะรู้สึกชื่นชมในความลุ่มลึก ในความคิด กอปรด้วยปัญญา
และความคิดที่แหลมคม
ถ้าเราพบว่าบางคนที่ตอบชักช้าเรามักตีความว่าเขาไม่มีคำตอบ
เขาไม่มีอะไรในหัวของเขา
แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
เพราะกระบวนเส้นทางการคิดของคนเก็บตัวต้องใช้เวลาจึงไม่สามารถตอบได้ทันทีทันควัน คำตอบจากคนเก็บตัวต้องใช้เวลาในการทำงานในสมอง และตรวจสอบความถูกต้อง ดังนั้น
เราต้องให้เวลาแก่คนเก็บตัวในการคิด
คนเก็บตัวมิใช่ผู้ที่ไม่สุงสิงเกี่ยวข้องกับคนอื่นรอบตัวเขา พวกเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่จำนวนคนที่จำกัดในแต่ละครั้ง โดยทั่วไปสมองของคนเก็บตัวทำงานอย่างกระฉับกระเฉง แต่เมื่อสภาพแวดล้อมภายนอกถาโถมใส่เขา
ในเวลาเช่นนั้นเขาจะต้องเก็บตัวชาร์ตพลังแก่ตนเอง เขาไม่ต้องเอาพลังเสริมจากภายนอก เพียงแต่เขาต้องการที่ที่สำหรับตนเองและเวลาเงียบเพื่อเขาจะเรียกรวมพลังจากภายใน
การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนเก็บตัว (Introvert)
ความผิดแผกแตกต่างระหว่างคนเก็บตัวกับคนเปิดเผยตนนั้น
มิใช่อยู่ที่คนเก็บตัวเป็นมนุษย์ที่มีความบกพร่อง หรือ ไม่ครบสมบูรณ์ หรือ เป็นคนที่ต้องได้รับการแก้ไขรักษา
แท้จริงแล้วบุคลิกภาพของคนที่เก็บตัวเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้งานสามารถขับเคลื่อนไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเอาของประทานของทั้งคนที่เก็บตัวและคนเปิดเผยตน
มาหนุนเสริมกันและกันแล้ว งานนั้นก็จะสามารถขับเคลื่อนไปอย่างดีและยังสะท้อนถึงพระลักษณะ(ฉายา)ของพระเจ้า และคงมิใช่การที่เราจะไปพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขทางอารมณ์ วิธีการคิดและตัดสินใจของคนเก็บตัวให้เร็วขึ้น หรือไปเร่งรัดให้เขารีบตอบรีบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก หรือต้องการให้เขาตอบทันทีเมื่อเราถาม แทนที่เราจะมีท่าทีคิดจะไปแก้ บีบคั้น
เร่งรัด ให้เขาเป็นอย่างที่เราคาดหวัง
แต่ให้เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนเก็บตัวอย่างชาญฉลาดและสร้างสรรค์ ด้วยทัศนะมุมมองที่รู้เท่าทันความเป็นคนเก็บตัวว่า
นั่นเป็นของประทานหนึ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับบางคน เพื่อใช้สร้างสรรค์เสริมหนุนกันในโลกนี้
เมื่อเราทำงานกับคนที่เก็บตัว
ลักษณะพิเศษที่สร้างสรรค์ในของประทาน(พรสวรรค์)ของคนเก็บตัวที่เราต้องรู้เท่าทันคือ
คิดอย่างลุ่มลึก:
กระบวนการการทำงานของระบบประสาทในสมองที่มีการไหลเวียนของโลกหิตและเส้นทางที่ยาวและซับซ้อนของคนเก็บตัวจะต้องใช้เวลาในการคิด ดังนั้น เราต้องให้เวลาแก่คนที่เก็บตัวได้คิด เพื่อเขาจะมีเวลาในการพิจารณา ชั่งน้ำหนักเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ
และแผนการกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนในงานพันธกิจ นั้นๆ
สัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง: ในประเด็นนี้เราต้องรู้เท่าทันว่า สิ่งใดๆ ที่มีจำนวนมากมิได้เป็นสิ่งดีเสมอไป เราควรให้กำลังใจแก่คนที่เก็บตัว ในเขาทำงานแบบให้ความสัมพันธ์ ความสนใจ และความสำคัญทีละคน หรือ
ในกลุ่มเล็ก มากกว่าการไปบีบรัดให้เขาทำงานพันธกิจกับผู้คนครั้งละหลายๆ
คนหรือในคนกลุ่มใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นคนที่เปิดเผยตน (เอ็กซ์โทรเวิร์ท) ที่มักชอบติดต่อสัมพันธ์กับคนครั้งละมากคน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะมีความสัมพันธ์และเอาใจใส่คนเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง และเมื่อมีกลุ่มคนที่ท่านต้องให้ความสัมพันธ์เอาใจใส่ที่ลุ่มลึกเฉพาะท่านควรแสวงหาคนที่เก็บตัวเข้ามาหนุนเสริมท่านในการทำพันธกิจแก่คนกลุ่มดังกล่าว
เพื่อท่านจะไม่สร้างความตกใจกลัวที่คิดว่าเขาจะต้องทำพันธกิจกับคนกลุ่มใหญ่
ให้อธิบายให้คนเก็บตัวทราบว่า เขาจะทำงานกับ
กลุ่มเป้าหมายได้ครั้งละคน หรือที่ละน้อยคน หรือ ในกลุ่มคนเล็กๆ
ตรวจสอบเจตนาและความตั้งใจ: ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของคนเก็บตัวคือเขาจะเป็นคนที่คิดก่อนทำ เขาจะตรวจสอบ ใคร่ครวญ พิจารณาถึงเจตนา
ความมุ่งมั่นตั้งใจก่อนที่เขาจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังนั้นในงานพันธกิจของคริสตจักรสามารถที่จะเชิญคนที่เก็บตัวบางท่านที่เหมาะสมให้เป็นผู้ที่จะพิจารณาโครงการแผนงานพันธกิจของคริสตจักร แล้วขอให้เขาช่วยตั้งคำถามต่อคริสตจักร เช่น
ทำไมคริสตจักรของเราถึงจะทำพันธกิจต่างๆเหล่านี้ และรับฟังการตอบสนองจากเขาเมื่อเขาได้ฟังและกลับไปพิจารณาทบทวนแล้ว
พลังชีวิตภายใน: ผู้นำที่เก็บตัวส่วนมากแล้วเป็นคนที่สนใจวินัยชีวิตด้านจิตวิญญาณ พันธกิจในการอธิษฐาน ให้การปรึกษาหารือ ให้การบ่มเพาะเลี้ยงดูชีวิตสมาชิก และเป็นคนที่มักจะมีวินัยในการเขียน เราควรเชิญผู้นำเก็บตัวเข้ามารับผิดชอบในพันธกิจด้านต่างๆ
เหล่านี้
ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ: ในวงการการแสดงเรามักเลือกสรรคนที่ชอบเปิดเผยตน แสดงตน
ชอบความโดดเด่นบนเวที
แล้วเราก็ใช้คนเก็บตัวในการจัดการวางฉาก
ชักฉาก คนบริการขนมและเครื่องดื่ม แต่เราก็ไม่ควรลืมบทบาทสร้างสรรค์ที่สำคัญที่เราสามารถใช้ของประทานของคนเก็บตัวได้อย่างมีประโยชน์
เช่น การพิจารณาและพัฒนาบท, การวิจารณ์เสนอแนะในการฝึกซ้อม
เราต้องตระหนักเสมอว่าคนที่เก็บตัวไม่ต้องการแสดงตัวบนเวทีแก่ผู้คนจำนวนมากๆ คนเก็บตัวส่วนมากเป็นคนที่มีความสุขกับการรับใช้
“หลังเวที” หรืออยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนพันธกิจแต่ละครั้ง
ให้เราเชิญเขาร่วมในงานที่มีความหมายที่คนเก็บตัวจะสามารถและมีโอกาสใช้ของประทานที่พระเจ้าให้แก่เขาในการรับใช้ในพันธกิจนั้นๆ
ช่วยให้คนทุกประเภทในคริสตจักรได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในพันธกิจของคริสตจักรด้วยกัน
นำข้างหน้าอย่างสบายใจ:
เราคงไม่ทึกทักเหมารวมว่าคนเก็บตัวจะไม่ยอมขึ้นไปนำข้างหน้า หรือ
บนเวทีเลย
หลายคนมีความสุขเสียด้วยซ้ำ
แต่เราต้องให้เวลาแก่คนเก็บตัวในการคิดพิจารณา ในการเตรียมอย่างพอเพียง
และเราต้องอดทนที่จะให้ความกระจ่างในงานที่เรามอบหมายให้เขาทำ เขาอาจจะถามเราถึงรายละเอียด เป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ
แต่เมื่อเขามีเวลาเตรียมตัว
พิจารณาใคร่ครวญอย่างดีแล้ว
เขาก็ทำได้อย่างดีด้วย
น้ำใสใจจริง: คนที่เก็บตัวเป็นคนที่ลุ่มลึกลงในชีวิตภายในของตนเอง
และถ้าเราร้องขอให้เขาช่วยแสดงความคิดเห็น
สะท้อนความรู้สึกที่มิใช่สิ่งภายในชีวิตหรือประสบการณ์ของเขา
เขาจะรู้สึกไม่สบายใจหรือปฏิเสธคำขอร้องของเรา
เขาให้คุณค่าในสิ่งที่เขารู้จริงหรือเป็นความจริงที่เขาพบสัมผัส
เขาต้องการแสดงออกให้ผู้คนรับรู้เฉพาะสิ่งที่เป็นจริงในจิตใจและความรู้สึกเท่านั้น เช่น ในงานสังคม หรือ แม้แต่ในคริสตจักร
เขาจะรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องจับมือเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่เขาไม่คุ้นชินมาก่อน
เขาไม่พร้อมที่จะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับคนที่เขารู้จักเพียงผิวเผิน
ถ่อมในการนำ:
จากงานวิจัยฉบับหนึ่งได้แสดงผลการวิจัยว่า ผู้นำที่เป็นคนเก็บตัวมักนำข้อเสนอของลูกน้องมาประยุกต์ใช้ในงาน ส่วนใหญ่จะให้โอกาสแก่ลูกน้องทดลองทำในสิ่งใหม่ที่เสนอ แล้วให้เวลารับฟังความคิดเห็นความรู้สึกของลูกน้องกลุ่มนั้น
และจากการศึกษายังพบอีกว่าผู้นำที่เก็บตัวมักสามารถฝึกฝนคนงานที่มีลักษณะเปิดเผยตนในการนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำที่เก็บตัวจะขอใช้ผู้นำลูกน้องคนนั้นในการกระตุ้นและสร้างเสริมให้คนทำงานคนอื่นๆ หรืออาสาสมัครที่ต้องการพี่เลี้ยงในการทำงานให้เกิดผลและก้าวหน้า
ช้าในการพูด: Sam Rayburn กล่าวว่า
“ไม่มีใครที่จะใช้ภาษาที่ออกคำสั่งได้ดีเท่ากับคนที่ไม่เปิดปาก” นี่เป็นลักษณะปกติธรรมชาติของคนเก็บตัว พวกเขาไม่ใช่คนที่เงียบไม่ยอมพูดตลอดเวลา
แต่พวกเขาต้องการที่จะคิดพิจารณาก่อนที่จะพูดออกมา พวกเขาเรียนรู้ว่า
คนพวกเปิดเผยตนมักเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนเพียงพอที่จะรอฟังความคิดของเขา ดังนั้นเขาตัดสินใจเงียบดีกว่า ทำให้เขามีเวลาที่จะคิด
ให้เกียรติการสร้างสรรค์ของพระผู้สร้าง
คงไม่เป็นการพูดเกินเลยความจริงว่า คนที่เก็บตัวก็เป็นคนที่สร้างความสำคัญและความก้าวหน้าเป็นอันมากให้กับสังคมโลก ไม่ว่าจะเป็น Steve Wozniak ผู้ที่คิดค้นเกี่ยวกับแอปเปิลคอมพิวเตอร์
หรือ J.K. Rowling ผู้ประพันธ์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) ก็เป็นคนที่เก็บตัว แต่มิใช่เพราะเขาเป็นคนเงียบ แต่เพราะเขาเป็นอย่างที่เขาเป็นต่างหาก
ผู้ปกครองคริสตจักรท่านหนึ่งได้รับการทาบทามจากศิษยาภิบาลให้เข้าไปช่วยพันธกิจเกี่ยวกับคริสเตียนศึกษาสำหรับเด็ก เบื้องแรกผู้ปกครองคิดว่าตนไม่น่าจะเหมาะสมในการที่จะทำงานกับเด็ก มิใช่เพราะว่าเขาไม่รักเด็ก
แต่เขาคิดว่าการทำงานกับเด็กไม่น่าจะเป็นงานที่เหมาะสมสำหรับเขาที่เป็นคนเก็บตัว แต่เมื่อเขาได้มีโอกาสพูดคุยและฟังคำอธิบายจากศิษยาภิบาลว่า ต้องการให้ผู้ปกครองเป็นผู้ที่จะเอาใจใส่อภิบาลคุณครูที่สอน
คริสเตียนศึกษาสำหรับเด็ก
ผู้ปกครองรู้สึกว่างานนี้เหมาะสมกับตนเองและตนเองก็ชอบ
เขาจะไปที่คริสตจักรแต่เช้าในทุกวันอาทิตย์ เพื่อรอพบกับคุณครูคริสเตียนศึกษาที่ต้องการพบ ปรึกษา
และขอคำแนะนำจากผู้ปกครอง ผู้ปกครองใช้เวลาในการฟังครูเหล่านั้นคนแล้วคนเล่า
มีเวลาที่จะอธิษฐานกับคุณครูที่เข้ามาปรึกษา
มีโอกาสวางมือครูที่มีความต้องการกำลังจากเบื้องบน ท่านให้เวลาในการรับใช้คุณครูเหล่านั้นที่อุทิศถวายตัวเพื่อรับใช้งานคริสเตียนศึกษาสำหรับเด็ก เขาทำงานรับใช้นี้อย่างมีความสุขและมีคุณค่าในชีวิตของตน
และในเวลาเดียวกันก็เสริมสร้างคุณค่าแก่คุณครูที่สอนคริสเตียนศึกษาสำหรับเด็กเหล่านั้นด้วย
คนทุกคนได้รับการทรงสร้างจากพระเจ้าตามพระลักษณะ(พระฉายา)ของพระองค์อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งคนที่เก็บตัวและคนที่เปิดเผยตน ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่เก็บตัวหรือคนที่เปิดเผยตนเองเราควรที่จะมีมุมมองความเป็นคนเก็บตัวในมุมมองใหม่
ถ้าเราคิดว่าคนที่เปิดเผยตนเท่านั้นที่สามารถทำพันธกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผล แล้วคนที่เปิดเผยตนคิดว่าคนเก็บตัวจะต้องเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนามาเป็นเหมือนตนมากขึ้นนั้น เราต้องระวังที่จะคิดและจะมองเช่นนี้
เพราะการมองเช่นนี้เป็นการมองตามกระแสสังคมวัฒนธรรมตามยุคปัจจุบัน มิใช่การมีมุมมองที่ถวายพระเกียรติแด่พระราชกิจแห่งการทรงสร้างที่สร้างสรรค์ของพระเจ้า แท้จริงแล้ว
โลกเราปัจจุบันนี้มิใช่ต้องการคนที่เปิดเผยตนจำนวนมากขึ้น แต่เราต้องการปัญญามากขึ้น คนที่จริงใจมากขึ้น เราต้องการคนที่ “ไวในการฟังและช้าในการพูด”
(ยากอบ 1:19)
เราต้องการคนที่เก็บตัวเข้ามามีส่วนร่วมในการนำและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่คริสตจักรและสังคมในปัจจุบัน
ข้อเสนอบางประการในการชวนคนเก็บตัวเข้ามาร่วมงานเมื่อมีโอกาส
- คนที่เก็บตัวมักจะระมัดระวังตนก่อนที่จะทุ่มตัวเข้าผูกพันงานใดงานหนึ่ง เขาต้องการที่จะคิดหน้าคิดหลังคิดให้ตลอดรอดฝั่ง และอาจจะห่วงใยเกี่ยวกับระดับพลังที่มีในตนเอง แทนที่จะให้เขาตกปากตกคำให้คำมั่นสัญญาทันทีทันใด อาจจะให้โอกาสแก่เขาที่จะลองมาร่วมในงานนั้นก่อนสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
- ในการเชิญชวนอาจจะเริ่มจากการชวนให้เขาสำรวจความรู้สึกชีวิตภายในเกี่ยวกับงานนั้นก่อนแล้วค่อยโยงเข้ากับโอกาสที่เปิด ใช้เวลาในการชวนเขาสนทนาถึงพรสวรรค์ หรือ ของประทานพระเจ้าในตัวของเขา และขอเขาช่วยเล่าถึงประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาก คอยมองว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เขาแสดงดวงตาที่เป็นวาวตื่นเต้นสนใจ จากนั้นอาจจะเสนอบทบาทที่สอดคล้องกับชีวิตของเขาที่เขาจะได้แสดงออกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำภายในชีวิตของเขา
- ให้เสนอเชิญชวนงานที่ทำแบบ“คนต่อคน” หรือ ทำในคนกลุ่มเล็ก
- ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงจากงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปเกี่ยวพันกับพันธกิจหลักของคริสตจักรอย่างไร แล้วชี้ให้เขาเห็นว่าเขาเหมาะกับงานส่วนนั้นอย่างไร ถ้าคนเก็บตัวไม่สามารถเห็นถึงความเชื่อมโยงและความสำคัญในงานที่เราชวน เขาอาจจะไม่สนใจเข้าร่วมในงานนั้นก็ได้
- ให้รายละเอียดงาน รายละเอียดความรับผิดชอบ และความคาดหวัง เพื่อไม่ทำให้คนที่เก็บตัวต้องตกใจที่จะต้องคิดแบบรีบด่วนและความต้องการของเราที่ไม่ได้บอกชัดเจน ควรบอกถึงภาระงาน และความรับผิดชอบที่เขาจะต้องมีต่อใครบ้างอย่างเจาะจง เพื่อเขาจะรู้ชัดเจนว่าเขาจะต้องทำงานอะไร ทำอย่างไร และทำกับใคร
- ในงานที่จะต้องมีผู้คนมากพบปะกัน ให้มอบหมายงานแก่คนเก็บตัวทีละชิ้นงาน บางครั้งบางงานเขาอาจจะต้องการถอยหลังตั้งตัวสักนิดหนึ่งเราพึงเปิดโอกาสแก่เขา เพื่อให้เกิดอาการเคอะเขินน้อยที่สุดหรือต้องพูดคุยน้อยที่สุด แต่ยังให้เขาพบปะสัมพันธ์กับผู้คน
ข้อเขียนนี้เรียบเรียงจากการอ่านบทความของ
Amy Simpson
เรื่อง Confessions of a Ministry Introvert
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499