28 กรกฎาคม 2558

ความรักเมตตาของพระเจ้ากว้างใหญ่กว่าปัญหาของเรา

พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์จากเบื้องบนลงมายึดข้าพเจ้าไว้
ทรงดึงข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก (สดุดี 18:16 อมต.)

บางครั้งเราเคยคิดว่า   ชีวิตของเราตกต่ำจมดิ่งลึกสุดๆ   แต่ไม่ว่าชีวิตของเราจะดิ่งลงลึกขนาดไหนก็ตาม   ความรักของพระเจ้าก็ตามติดเราลงไปลึกถึงที่นั่น   ความรักของพระเจ้ามีพลังมากพอที่จะฉุดเราขึ้นจากห้วงลึกของทะเลแห่งชีวิต

ไม่ว่าเราจะมีปัญหาสาหัสแค่ไหน   ความรักของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่กว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่   เราอาจจะสิ้นหวังอย่างสุด ๆ ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส หรือ ต้องตกอยู่ในความเครียดอย่างสับสนแค่ไหน   ต้องประสบกับปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาทางร่างกาย หรือปัญหาทางการเงิน

ความรักเมตตาของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่าปัญหาเหล่านั้นที่เราต้องปล้ำสู้อยู่

คอรรี่ และ เบทสี เทน บูม เป็นคริสตชนที่อาศัยในเนเธอร์แลนด์  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง   พวกเขาได้ให้ที่ซ่อนตัวแก่ชาวยิวเพื่อปกป้องพวกเขาจากการถูกพวกนาซีจับตัว   แต่เมื่อพวกนาซีค้นพบคนยิวในบ้าน   มิเพียงแต่พวกยิวจะถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันเท่านั้น  แต่เขาทั้งสองก็ถูกจับส่งตัวไปยังค่ายกักกันด้วยเช่นกัน   เขาต้องใช้ชีวิตในค่ายนั้นจนสงครามยุติ

หลังจากที่เห็นการทารุณกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า  คอร์รี่กล่าวกับเบทสีว่า “ที่นี่เป็นนรกหลุมลึกสุด” เบทสีตอบว่า  “ไม่มีนรกหลุมไหนที่จะลึกไปกว่าความล้ำลึกแห่งรักเมตตาของพระเจ้า”

ในสองสามเดือนที่ผ่านมานี้   ชีวิตของเราอาจจะดิ่งลงอย่างสุด ๆ  อาจจะเป็นหุบเหวแห่งการเงินในชีวิต   เราอาจจะคิดว่า   เราล้มละลายตอนนี้แน่  หรือ  เราอาจจะต้องพบกับการดิ่งลงลึกในหุบเหวแห่งอารมณ์   ชีวิตแต่งงานจมดิ่งหาก้นเหวไม่พบ  หรือต้องเจ็บป่วยอย่างหาทางเยียวยาไม่ได้  เราอาจจะสับสน  เราอาจจะคิดว่า  เราหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว!

เมื่อเราต้องดิ่งลงเหวลึกแห่งชีวิตพระเจ้าอยู่ที่ไหน?

พระองค์ทรงอยู่ที่ก้นเหวลึกแห่งชีวิตเพื่อรองรับเราอยู่   “พระ​เจ้า​ผู้​ดำรง​เป็น​นิตย์​เป็น​ที่​อาศัย​ของ​ท่าน
และ​พระ​กร​นิรันดร์​รอง​รับ​ท่าน​อยู่” (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:27 มตฐ.)

ถึงแม้ชีวิตของเราดิ่งลงสู่ก้นเหว   แต่พระหัตถ์แห่งรักเมตตาของพระเจ้ารองรับเราไว้  

ขอพระเจ้าทรงรองรับชีวิตของเราเมื่อสิ้นทางที่จะก้าวต่อไป  ขอพระองค์ทรงหนุนเสริมเราเมื่อเราอ่อนเปลี้ยสิ้นแรง

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

24 กรกฎาคม 2558

รักหรือ....ยากส์?

สมควรแล้วที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้เกี่ยวกับพวกท่านทุกคน
เนื่องจากพวกท่านอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า... (ฟีลิปปี 1:7ก. อมต.)

การที่เราจะรักใครคนใดคนหนึ่งด้วยความรักแบบพระคริสต์   เราย่อมต้องมีคน ๆ นั้นในจิตใจของเรา   เราจะไม่เอาคน ๆ นั้นให้อยู่แค่ในความคิด ในระบบเหตุผลของเราเท่านั้น   เพราะถ้าเรารักใครคนใดคนหนึ่งด้วยหลักการ ความคิด ด้วยเหตุและผล   คงเป็นการยากลำบากอย่างยิ่งที่เราจะรักคนนั้นได้   เพราะเรามักจะพบแต่ความไม่น่ารักในชีวิตของคน ๆ นั้น   ด้วยเหตุนี้เปาโลจึงกล่าวว่า “พวกท่านอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า”   การที่เราจะรักใครคนใดด้วยความรักแบบพระคริสต์  เราจะต้องมีคน ๆ นั้นในใจของเรา   เราต้องใส่คน ๆ นั้นเข้าในจิตใจของเรา   มิใช่ใส่ลงในสมอง ความนึกคิดของเรา

ในสังคมโลกปัจจุบัน  และแม้แต่ในสังคมคริสตจักรปัจจุบัน บ่อยครั้งนักที่พ่อแม่รักลูกโดยมีลูกใน “สมอง” ความคิด เหตุผลเท่านั้น แล้วพ่อแม่คู่นั้นจะรักลูกของตนเองได้อย่างไร?   ในทำนองเดียวกัน ที่คู่สามีภรรยาที่มีคู่ชีวิตของตนในความคิดและเหตุผลของตนเท่านั้น  ผลที่ตามมาคือ ทางที่ดีที่สุดเราแยกกันอยู่  เราหย่ากันดีกว่า   เพราะต่างก็ไม่มีคู่รักในจิตใจของตนแล้ว

ความรักที่มาจากสมองเป็นความรักที่แสวงหาเหตุผล หลักฐาน  คนอื่นทำผิดหรือทำถูก แต่ความรักที่มาจากจิตใจเป็นความรักที่แสวงหาความเข้าอกเข้าใจ   ถามด้วยความถ่อม ต้องการที่จะเข้าอกเข้าใจผู้อื่น   ฟังคนอื่นเพื่อจะได้ยินถึงความเจ็บปวดและความรู้สึกในชีวิตของเขา   แสวงหาว่าเขากำลังเผชิญกับวิกฤติปัญหาอะไรในชีวิต   พยายามแสวงหาความเข้าใจว่าทำไมชีวิตของเขาในตอนนี้ถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น   ทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น   ทำไมเขาถึงมีอารมณ์เช่นนั้น   และถ้าเราใส่ใจในชีวิตของเขา  เราก็จะเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง   และเราจะเกิดความรักเมตตาแบบพระคริสต์ที่มีต่อเขาคนนั้น

ในชีวิตประจำวันของเรา   คริสตชนมักสอนกันว่า ให้เรารักคนที่ไม่น่ารัก   การที่เราเห็นว่าใครคนใดคนหนึ่งว่าเป็นคนที่ “ไม่น่ารัก” นั่นหมายความว่าเรากำลังมองคน ๆ นั้น  สัมพันธ์กับคน ๆ นั้นด้วย “สมอง” ด้วยเหตุด้วยผล  ด้วยหลักการว่าควรหรือไม่ควร  ถูกหรือผิด  ด้วยธรรมบัญญัติ   การที่คริสตชนจะรักคนที่ไม่น่ารักได้นั้น   ประการแรกเริ่มคือ   เอาคน ๆ นั้นใส่ลงในจิตใจของเราก่อน   จากนั้นทูลขอพระเจ้าประทานความรักของพระองค์แบบพระคริสต์ให้มีพลังในชีวิตจิตใจของเรา   เพราะเราจะรักคนที่ไม่น่ารักได้ก็ด้วยความรักของพระคริสต์เท่านั้น   และความรักแบบนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า   มิใช่เราจะสร้างเอง มีเอง  ทำเองได้   “...เพราะ​เหตุ​ว่า​ความ​รัก​ของ​พระ​เจ้า​ได้​หลั่ง​เข้า​สู่​จิต​ใจ​ของ​เรา โดย​ทาง​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์ ซึ่ง​พระ​องค์​ได้​ประ​ทาน​ให้​แก่​เรา​แล้ว” (โรม 5:5 มตฐ.)

ให้เราทูลขอพระเจ้าประทานความรักแบบพระคริสต์แก่เราในวันนี้   เพื่อที่เราจะได้ให้คนที่เราพบเห็น สัมผัส สัมพันธ์ตลอดวันนี้อยู่ “ในจิตใจของเรา”  เพื่อเราจะรักเขาอย่างไร้เงื่อนไข   โดยการใส่ใจชีวิตของเขาด้วยความรักเมตตาแบบพระคริสต์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

22 กรกฎาคม 2558

รู้เท่าทันและหลบหลีกหลุมพรางชีวิตอย่างไร?

พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์
เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์
(สดุดี 119:105 อมต.)

ก่อนที่จะถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1988  โทรทัศน์ในอเมริกาได้ออกอากาศถึงกีฬาที่โดดเด่นในโอลิมปิกครั้งนั้น คือ กีฬาสกีของคนพิการทางสายตา   ซึ่งเป็นการเล่นสกีคู่   โดยผู้เล่นคนหนึ่งจะสามารถมองเห็นและเป็นคนบอกว่าจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวา   และทั้งสองต้องฝึกซ้อมในการเลี้ยวซ้ายหรือขวาด้วยกัน   โดยเมื่อไปสกีบนลู่สกี  นักสกีที่มองเห็นจะต้องเป็นคนตะโกนบอกว่าให้เลี้ยวซ้ายหรือขวามากน้อยแค่ไหน   เพื่อนักสกีที่พิการทางสายตาจะรู้ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวามากน้อยอย่างไร

คำบอกซ้ายขวาของคู่นักสกีเป็นเครื่องบอกทาง หรือ ชี้ทางสำหรับคู่นักสกีที่พิการทางสายตาให้รู้ว่าควรลดเลี้ยวไปทางไหนจนนักสกีทั้งสองสามารถที่ไปถึงเส้นชัยได้   นักสกีที่พิการทางสายตาต้องฟังคำบอกชี้ทางของเพื่อนคู่สกีอย่างจริงจังเพื่อจะรู้ว่าจะสกีไปทางไหน   นักสกีที่พิการทางสายตาต้องตัดสินใจเลือกว่าตนจะเชื่อคู่สกีของตนด้วยความไว้วางใจอย่างไร้เงื่อนไขเพื่อให้ถึงเส้นชัย   หรือไม่ก็ต้องเลือกทำอย่างอื่นในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็นที่อาจจะนำไปสู่ความหายนะในการแข่งขันนั้น

ชีวิตคริสตชนก็เป็นเฉกเช่นนั้น   บ่อยครั้งนักที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตที่ “มืดแปดด้าน”  มองไม่เห็นความจริงและทางออก   แต่เมื่อเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน   พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นเครื่องชี้บอกทางแก่เราไปทีละก้าว ทีละขั้นตอน   เราจะค่อย ๆ เห็นทางออกทีละก้าวแม้ชีวิตจะตกอยู่ท่ามกลางภาวะยุ่งยากซับซ้อนและมีความสับสนมากเพียงใดก็ตาม   เราสามารถวางใจอย่างสิ้นสุดความคิดและจิตใจในพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นสัจจะแห่งชีวิตและเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิตของเรา

ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต   จงวางใจและกล้าที่จะทำตามพระวจนะของพระเจ้า   อ่าน ใคร่ครวญพระวจนะทุกวันเพื่อจะพบกับสัจจะที่จะนำทางชีวิตของเราในแต่ละวัน   และจงให้พระวจนะเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตของเราแต่ละวัน   เพื่อเราจะเห็นทางเดินไม่สะดุดล้ม   แม้ในเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับกับดัก หรือ หุบเหวก็ตาม   เพราะสัจจะของพระเจ้าจะเป็นแสงสว่างช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งกีดขวาง และ หลุมพรางที่อยู่ข้างหน้า  ที่เราต้องเผชิญกับมัน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

08 กรกฎาคม 2558

คริสตจักร: ชุมชนเรียนรู้ที่จะรักเหมือนพระคริสต์


ตัวเราคนเดียวไม่สามารถเป็นพระกายของพระคริสต์ได้   แต่พระกายของพระคริสต์เป็นการร่วมกันของเรากับคนอื่น ๆ ในชุมชนของผู้เชื่อ   แล้วร่วมกันสำแดงชีวิตตามพระประสงค์    เราเป็นพระกายของพระคริสต์เพราะเราร่วมกัน   ไม่ใช่แยกกันต่างคนต่างอยู่

คริสตจักรเป็นครอบครัวใหญ่ที่หล่อหลอม เสริมสร้าง  และช่วยดึงให้เราหลุดรอดออกจากการที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลางในชีวิต   หลุดรอดออกจากชีวิตที่เป็นปัจเจก “ตัวใครตัวมัน”   แยกตนเองออกจากคนอื่น   คริสตจักรท้องถิ่นจึงเป็นเหมือนชั้นเรียนแห่งชีวิตที่จะช่วยกันหล่อหลอม เสริมสร้างกันและกันที่ให้เกิดการเรียนรู้ว่า  เราจะดำเนินชีวิตร่วมกับคนอื่น ๆ ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้าอย่างไร   เป็นพื้นที่หรือเวทีที่แต่ละคนที่ฝึกฝนตนเรียนรู้ที่จะ “ไม่เห็นแก่ตัว”  แต่มีใจรักเมตตา  เห็นอกเห็นใจกัน  และเสียสละเพื่อคนอื่น ๆ อย่างพระคริสต์

ในฐานะที่เราเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในชีวิตครอบครัวคริสตจักร   เราจะต้องเอาใจใส่ชีวิตของคนอื่น และ ร่วมในประสบการณ์ชีวิตของคนต่าง ๆ ในครอบครัวคริสตจักรด้วย   นั่นหมายความว่า “ถ้า​อวัยวะ​หนึ่ง​ทุกข์ อวัยวะ​ทั้ง​หมด​ก็​ร่วม​ทุกข์​ด้วย ถ้า​อวัยวะ​หนึ่ง​ได้​รับ​เกียรติ อวัยวะ​ทั้ง​หมด​ก็​ร่วม​ชื่น​ชม​ยินดี​ด้วย” (1โครินธ์ 12:26 มตฐ.)

ในเมื่อชุมชนคริสตจักรคือชุมชนของผู้คนในคริสตจักรที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันที่แตกต่างจากความสัมพันธ์กันแบบสังคมทั่วไป   ดังนั้น คริสตจักรไทยปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันแบบนี้ในคริสตจักร หรือที่เรามักเรียกว่า “สามัคคีธรรม” จากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่   เพราะสามัคคีธรรมมิใช่การที่เรามาร่วมกันร้องเพลง อธิษฐาน นมัสการพระเจ้า ถวายทรัพย์  แล้วอยู่ด้วยกัน  กินด้วยกันใน “คริสตจักร” เท่านั้น

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่   สามัคคีธรรมคือการที่แต่ละคนเชื่อมสัมพันธ์เข้าด้วยกันโดยการทำหน้าที่รับผิดชอบตามที่พระเจ้าประทานให้   มีเป้าหมายเพื่อให้คริสตจักรที่เป็นพระกายของพระคริสต์ “เจริญและเสริมสร้างกันด้วยความรัก” (เอเฟซัส 4:16)  ด้วยการทำหน้าที่ที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน (โรม 12:4-5) อันเกิดจากการที่เราแต่ละคน “ยึดมั่นในพระคริสต์”  เพื่อให้การร่วมงานกันของเราทุกคนมุ่งไปสู่พระประสงค์เดียวกันของพระเจ้า (โคโลสี 2:19)  ด้วยความห่วงใยกันและกัน (1โครินธ์ 12:25)  และนี่คือความหมายของ “สามัคคีธรรม” ในคริสตจักรตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่

สามัคคีธรรมตามพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่   คือการที่แต่ละคนในคริสตจักรยอมอุทิศมอบกายถวายทั้งชีวิตแด่พระคริสต์   และในเวลาเดียวกันพระเจ้าทรงคาดหวังเราแต่ละคนให้ชีวิตของตนแก่กันและกันในชุมชนคริสตจักรด้วย   เราท่านทุกคนรู้จักพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 อย่างดี   แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่ลืมและละเลยที่จะตระหนักชัดใน 1ยอห์น 3:16 ด้วย  “เช่น​นี้​แหละ​เรา​จึง​รู้​จัก​ความ​รัก โดย​ที่​พระ​องค์​ได้​ยอม​สละ​พระ​ชนม์​ของ​พระ​องค์​เพื่อ​เรา และ​เรา​ก็​ควร​จะ​สละ​ชีวิต​ของ​เรา​เพื่อ​พี่​น้อง” (1ยอห์น 3:16 มตฐ.)

แล้วคริสตจักรไทยจะมี “สามัคคีธรรม” แบบนี้ได้อย่างไรหนอ?

พระเจ้าทรงคาดหวังให้คริสตชนไทยแต่ละคนสำแดงความรักที่เสียสละแบบนี้แก่คนอื่น ๆ รอบข้างในชุมชนคริสตจักรด้วย คือเป็นคริสตชนที่เต็มใจที่จะรักคนอื่นอย่างพระคริสต์ที่ทรงรักและเสียสละเพื่อตัวเราเองด้วย

ณ วันนี้ในคริสตจักรไทยคงต้องกลับมามองตนเองว่า คริสตจักรได้กระทำตามพระบัญชาของพระคริสต์   ที่จะให้เรารักอย่างที่พระองค์ทรงรักหรือไม่ คริสตจักรมี “สามัคคีธรรม” ที่แท้จริงหรือไม่ หรือคริสตจักรมัวแต่ทำตามพระบัญชาให้คนในสังคมให้ได้เข้าใต้ร่มแห่งความรอด แต่เป็นความรอดที่ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของคนที่เข้ามาในคริสตจักรเลยหรือไม่? แล้วนี่จะเป็นความรอดในพระคริสต์ได้อย่างไร?

ถึงเวลาแล้วที่คริสตจักรจะต้องกลับมาพิจารณาตนเอง  คริสตจักรได้ทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์จริง ๆ ครบถ้วนหรือไม่?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

พระคุณมาคู่กับการทรงเรียกเสมอ!

เพราะ​เหตุ​นี้ เรา​จึงอธิษฐานเพื่อ​พวก​ท่าน​เสมอ ขอ​พระ​เจ้า​ของ​เรา​ทรง​ให้​ท่าน​เป็น​ผู้​ที่​สม​ควร​แก่​การ​ทรง​เรียก​นั้น และ​ขอ​พระ​องค์​ทรง​ให้​ความ​ตั้ง​ใจ​ดี​ทุก​ประ​การ และ​กิจ​การ​แห่ง​ความ​เชื่อ​ทุก​อย่าง​สำเร็จด้วย​ฤทธิ์​เดช​ของ​พระ​องค์   เพื่อ​พระ​นาม​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​จะ​ได้​รับ​พระ​เกียรติ​เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย และ​ท่าน​จะ​ได้​รับ​เกียรติ​เพราะ​พระ​องค์ ตาม​พระ​คุณ​แห่ง​พระ​เจ้า​ของ​เรา (2เธสะโลนิกา 1:11-12 มตฐ.)

หลังจากที่ จอห์น จี. แพทตัน และ ภรรยาของเขา  มาเป็นมิชชันนารีที่แปซิฟิกใต้ (South Pacific) ไม่นานเท่าใด   แมรี่ภรรยาของเขาได้คลอดบุตร   ความชื่นชมยินดีของเขากลายเป็นความโศกสลด   เพราะทั้งแม่และทารกต้องเสียชีวิตหลังจากคลอดได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ด้วยไข้ในเขตร้อน (tropical fever)

เนื่องจากที่เป็นคนต่างถิ่นต่างแดนที่เพิ่งไปอยู่ที่นั่นได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น    ผู้คนที่นั่นนอกจากจะยังไม่รู้จักคุ้นชินกับจอห์นแล้ว   ยังมีคนรอบข้างที่มองเขาด้วยความไม่เป็นมิตรอีก    เขาต้องเป็นคนที่ขุดหลุมฝังร่างของภรรยาและลูกน้อยด้วยมือของเขาเอง “คนเดียว”   เขาได้เขียนไว้ในบันทึกประจำวันของเขาว่า  “ถ้าไม่ใช่เพราะผมมีความสนิทสัมพันธ์กับพระคริสต์มาก่อน  และไม่ใช่เพราะพระคุณที่ทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังให้ผม “ฮึดสู้” แล้ว   ผมต้องเป็นบ้าไปแน่ ๆ  หรือไม่ก็ต้องตายเพราะความโศกเศร้าข้างหลุมศพของคนที่ผมรักด้วยความโดดเดี่ยวแน่นอน

จอห์นได้รับการทรงหนุนเสริมความเชื่อศรัทธาของเขาให้ยืนหยัดในยามที่สิ้นหวัง หมดแรง จิตวิญญาณถดถอยเช่นนี้   ด้วยพระคุณของพระเจ้าเขาจึงยังสามารถที่จะยืนหยัดทำตามการทรงเรียกของพระเจ้าต่อไป   เขาได้ประกาศและสำแดงข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์บนเกาะอานิวา (Aniwa)  อีกหลายปีด้วยความทุ่มเทสู้-ทน-อึด   จนกระทั่งทุกหมู่บ้านบนเกาะนั้นได้มายอมรับพระคริสต์

การทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเราไม่ได้ทรงสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น   แต่เป็นการก้าวไปทีละก้าว  ก้าวต่อก้าวกับพระองค์   และที่เราจะสามารถเดินไปทีละก้าวกับพระองค์ได้เช่นนี้ก็เพราะ  เมื่อพระองค์ทรงเรียกเราแต่ละคน  พระองค์ประทานพระคุณที่จะหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เราให้มีแรงจากพระองค์ที่จะก้าวทีละก้าวไปกับพระองค์  

ท่ามกลางความขาดแคลน หรือ โศกสลดในชีวิตที่เราจะต้องเผชิญพบบนเส้นทางแห่งการทรงเรียกของพระองค์  จงมั่นใจเถิดว่า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเรา พระองค์จะประทานพระคุณในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นพลังหนุนเสริมเพิ่มกำลังแก่ชีวิตของเราที่จะต้องเดินทะลุสิ่งเหล่านั้นที่กีดขวางเราได้

อย่าให้ความกลัวเพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างหน้าของเราจะเป็นเช่นไร   มาหยุดและฉุดการติดตามการทรงเรียกของพระคริสต์ในชีวิตของเรา   แต่จงตามติดการทรงเรียกของพระองค์ไปทีละก้าวด้วยความไว้วางใจว่า   พระองค์ทรงเดินเคียงข้างเราในทุกสถานการณ์   และเป็นพลังในชีวิตของเราในทุกขณะ
                                                                                                           
                                                                                                            ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

เราทำตามพระมหาบัญชาแค่ไหน?

แต่​ให้​เรา​ยึด​ถือ​ความ​จริง​ด้วย​ความ​รัก
เพื่อ​จะ​เจริญ​ขึ้น​ใน​ทุก​ด้าน​สู่​พระ​องค์​ผู้​เป็น​ศีรษะ​คือ​พระ​คริสต์
(เอเฟซัส 4:15 มตฐ.)

เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เราคริสตชนแต่ละคนเติบโตขึ้น  “เพื่อ​เรา​จะ​ไม่​เป็น​เด็ก​อีก​ต่อ​ไป...” (เอเฟซัส 4:14ข มตฐ.)  พระเจ้ามีจุดมุ่งหมายให้ชีวิตคริสตชนแต่ละคนเติบโตและมีวุฒิภาวะ หรือ ชีวิตคริสตชนที่แข็งแรงและเกิดผล   หมายความว่า พระเจ้ามีจุดประสงค์ให้คริสตชนแต่ละคนมีชีวิตที่มีชีวิตประจำวันทุกวันเยี่ยงหรือตามแบบพระคริสต์  

พระองค์ไม่มีพระประสงค์ที่จะให้ชีวิตคริสตชนของเรา “ติดแหงก”อยู่แค่ “ทารกในความเชื่อ” ตลอดไป  อย่างที่มีมากมายในคริสตจักรของเราในทุกวันนี้   คริสตชนกลุ่มนี้ยังต้องพึ่งพิง “ผ้าอ้อมและขวดนม”  “แม่และพี่เลี้ยง”

เพราะพวกเขาตัดสินใจเชื่อเท่านั้น   แต่ไม่เคยคิดที่จะเติบโตขึ้นในชีวิตคริสตชน   การเติบโตขึ้นในชีวิตจิตวิญญาณของเรามิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจากที่รับบัพติสมาแล้ว   แต่การที่จะมีชีวิตที่เติบโตขึ้นและมีชีวิตเยี่ยงพระคริสต์นั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องตัดสินใจ  ตั้งใจที่จะรับการเสริมสร้าง   และเป็นเรื่องที่เราแต่ละคนจะต้องทุ่มเทอุทิศชีวิตของเราที่จะรับการเสริมสร้าง  ฝึกฝน  ปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา   

ถ้าใครที่ต้องการจะมีชีวิตที่เติบโตขึ้นให้เป็นเหมือนพระคริสต์  คน ๆ นั้นต้องตัดสินใจว่าตนต้องการมีชีวิตที่เติบโตขึ้นในพระคริสต์   แล้วทุ่มเทการดำเนินชีวิตและปฏิบัติในชีวิตประจำวันทุกวันให้เติบโตขึ้น  และ  ต้องมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง   เพราะการเติบโตเป็นกระบวนการต่อเนื่อง  ต้องใช้เวลาครับ

การเป็นสาวกพระคริสต์มิได้เป็นเพราะ “เอาหัวจุ่มลงในน้ำ หรือ เอาน้ำมาพรมที่หัว” เท่านั้น   แต่ตัวชี้วัดว่าใครคนใดเป็นสาวกหรือไม่อยู่ที่คุณภาพชีวิตของคน ๆ นั้นสำแดงพระลักษณะของพระคริสต์ หรือ การดำเนินชีวิตเยี่ยงพระคริสต์ในชีวิตประจำวันหรือไม่ต่างหาก  การเป็นสาวกคือการที่เรา “ลุกขึ้น” จากจุดเดิมที่ชีวิตของเราเป็นอยู่   แล้ว “ติดตาม” พระคริสต์ตลอดไปในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่ในคริสตจักรวันอาทิตย์เท่านั้น) (ดูมัทธิว 9:9)

เมื่อสาวกคนแรกตัดสินที่จะติดตามพระคริสต์   เขาไม่ได้เข้าใจทุกเรื่องทุกอย่างในการดำเนินชีวิตที่เขาจะต้องมี   แต่เขาตัดสินใจลุกขึ้นติดตามพระคริสต์   อย่างที่หลาย ๆ คนในพวกเราก็เป็นเช่นนั้น   หลังจากนั้นสิ่งสำคัญคือ   ผู้เชื่อแต่ละคนต้องตัดสินใจว่า เราต้องการเติบโตขึ้นเป็นสาวกของพระองค์ คือ ดำเนินชีวิตประจำวันเป็นเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน   และในส่วนนี้เองที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้เป็นบทบาทความรับผิดชอบของชุมชนคริสตจักร   ที่จะต้องเอาใจใส่และทุ่มเทในการเสริมสร้างผู้เชื่อแต่ละคนให้เติบโตขึ้นมีชีวิตประจำวันที่เป็นสาวกของพระคริสต์   “...และ​สอน​พวก​เขา​ให้​ถือ​รักษา​สิ่ง​สาร​พัด​ที่​เรา​สั่ง​พวก​ท่าน​ไว้...” (มัทธิว 28:20 มตฐ.)

คำถามที่ไม่น่าจะถามคือ...
แล้วคริสตจักรของเราได้ตอบสนองต่อพระมหาบัญชาในเรื่องนี้หรือเปล่า?

ถามใหม่ก็ได้   แล้วคริสตจักรปัจจุบันได้ตอบสนองพระมหาบัญชาอย่างครบถ้วนหรือไม่?   หรือเลือกตอบสนองเป็นบางส่วนที่เราคิดจะตอบสนองเท่านั้น?


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499