27 สิงหาคม 2558

ค้นพบเป้าหมายชีวิตท่ามกลางความทุกข์ยากสาหัส

นักเขียนชาวอังกฤษ ซอมเมอร์เซท เมิกแฮม (Somerset Maugham) ได้เขียนเรื่องราวของนักการภารโรงคนหนึ่งที่ทำงานที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ในกรุงลอนดอน   ต่อมามีผู้พบภายหลังว่านักการท่านนี้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้   ความจริงก็คือว่าเขาพยายามปกปิดเรื่องนี้ตลอดมา   แต่ในที่สุดเขาก็ถูกเปิดโปงและให้ออกจากงาน

เมื่อตกงาน ชายคนนี้ได้เอาเงินที่กระเหม็ดกระแหม่สะสมไว้มาลงทุนเปิดร้านค้าเล็ก ๆ  เขาค่อย ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ค่อย ๆ มั่งคั่งมากขึ้น   จนเขาสามารถเปิดร้านใหม่หลายร้าน   ในที่สุดเขามีสาขาร้านค้ามากมายกลายเป็นคนที่ร่ำรวยมั่งคั่งคนหนึ่ง

วันหนึ่ง  เมื่อเขามาทำธุรกรรมการเงินของเขาที่ธนาคาร   นายธนาคารถามเขาว่า  “ท่านคิดว่า  ถ้าท่านสามารถอ่านออกเขียนได้  สถานภาพตอนนี้จะดีขึ้นแค่ไหน?”

ชายคนนี้ตอบว่า  “อ๋อ... ฉันก็ยังคงเป็นแค่...ภารโรงที่โบสถ์เซ็นต์ ปีเตอร์อยู่อย่างเดิมกระมัง”

ความทุกข์ยากขัดสน ความด้อยโอกาสได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเรื่องแล้วเรื่องเล่า   นั่นก็เป็นเพราะว่าคน ๆ นั้นไม่ยอมที่จะงอตีนงอมือปล่อยให้วิกฤติทุกข์ยากในชีวิตไหลท่วมทับชีวิตของเขา   แต่เขาคนนั้นกลับลุกขึ้นรับมือสู้ความท้าทายเหล่านั้นด้วยความมุ่งมั่น อดทน   แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเรียนรู้ในทุกอณูของความทุกข์ยากลำบาก  แล้วเติบโตขึ้นท่ามกลางความขัดสนที่ต้องเผชิญ   แล้วมุ่งมองหาที่จะก้าวออกจากวิกฤติกองทุกข์ และ มุ่งมั่นกล้าเสี่ยง ก้าวเข้าไปสู่อาณาพื้นที่ชีวิตใหม่แม้จะยังไม่เคยทำไม่เคยจัดการกับมันมาก่อนก็ตาม  

สิ่งนี้ก็เป็นสัจจะความจริงในชีวิตของคริสตชนเช่นกัน   ด้วยความสาหัสหนักหนาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา   ทำให้เราตัดสินใจ “คุกเข่าลง”  ก้มหัวของเราลงท่ามกลางความหมดทางสิ้นหวัง  ก่อนที่เราจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์   เพื่อแสวงหาการทรงนำให้เราพบเส้นทางที่จะเผชิญวิกฤตินั้น  แล้วใช้วิกฤติเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้มแข็งของชีวิต  เรียนรู้ชีวิต  ความมืดถูกพลิกเป็นความสว่าง  ทางที่แสนขรุขระถูกถมปรับให้ราบเรียบ   และที่สำคัญคือ  บนเส้นทางแห่งความทุกข์ยากสาหัสนั้นเองที่เราได้พบ ใกล้ชิด สัมผัส  และรู้จักกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น

แทนที่เราจะมุ่งมองจับเจ่าอยู่กับความทุกข์ยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่ว่า ชีวิตเราตกต่ำ  ชีวิตต้องคำสาปแช่ง  หรือ ชีวิตนี้ไม่เป็นธรรมกับตน  แต่ในฐานะคริสตชนให้เรามองด้วยสายตาชีวิตที่มีความหวังในพระคริสต์   มองด้วยสายตาที่เห็นถึงโอกาสของการเรียนรู้และเติบโตไปกับพระคริสต์ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก  

จงตระหนักเสมอว่า ในทุกความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น (ไม่ว่าจากสาเหตุอะไรหรือใครเป็นต้นเหตุ) ท่านสามารถที่จะเปิดใจเปิดชีวิตให้พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นั้นในการหล่อหลอม เสริมสร้างชีวิตของท่านขึ้นใหม่   ให้เป็นชีวิตที่อุทิศ ภักดี สัตย์ซื่อ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  และเข้มแข็งเกิดผลในการติดตามและเป็นสาวกของพระคริสต์

และหลังจากพวกท่านทนทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ได้ทรงเรียกให้พวกท่านเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงฟื้นฟู จะทรงค้ำจุนให้มั่นคง จะทรงเสริมเรี่ยวแรง และจะทรงให้พวกท่านตั้งมั่นอยู่ (1เปโตร 1:10 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

21 สิงหาคม 2558

ระวังหลุมพราง...เมื่อกำลังแสวงหาพระประสงค์?

พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​นำ​ย่าง​เท้า​คน​ใด​ให้​มั่น​คง...
แม้​เขา​สะดุด เขา​จะ​ไม่​ล้ม​ลง
เพราะ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​ยุด​มือ​เขา​ไว้  (สดุดี 3:23-24 มตฐ.)

บางท่านอาจจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติชีวิต   บางคนถามตนเองว่าทำไมเราไม่พ้นจากสภาพการเป็นหนี้ที่ไม่รู้จักสิ้นสุดสักที?   เมื่อไหร่เราจะพบคู่ชีวิตตัวจริงของเราสักที?   ทำไมแฟนแต่ละคนที่เราพบถึงมีปัญหา  ที่ไม่สามารถไปด้วยกันได้สักคน?   ความฝันในชีวิตของเราทำไมถึงไม่เป็นจริงเลยสักครั้ง?   แล้วแต่ละเรื่องมันจะลงเอยกันแน่อย่างไรในที่สุด?

1. อย่าเชื่อผิด ๆ ว่า   ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นเสมอไป    การที่คริสตชนมีความเชื่อแบบนี้มักทำให้คริสตชนคนนั้นต้องมานั่งสงสารตนเอง   แล้วจะเป็นเหตุให้ในที่สุดเราจะกล่าวโทษพระเจ้าที่ให้สิ่งนี้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  มากกว่าที่กลับมาพิจารณาใคร่ครวญถึงความรับผิดชอบของตนเองต่อการที่ตัดสินใจกระทำบางอย่างที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นแก่เรา  ความเชื่อแบบนี้ยังทำให้คริสตชนที่นิ่งเฉย   คิดเอาเองว่า  “ฉันจะรอพระเจ้าที่จะประทานภรรยาให้แก่ฉัน” หรือ “ฉันจะรอให้พระเจ้าประทานงานให้ฉันทำ”  แต่ในความเป็นจริงคือพระเจ้าทรงประทานสมองให้เราสามารถที่จะคิด   พระองค์ประทานเท้าให้เราที่จะก้าวเดินออกไป   แล้วให้เราตัดสินใจที่ทำอะไรในบางเรื่อง

2. อย่าหลงผิดคิดว่าทุกเรื่องในชีวิตต้องมีคำตอบ   ทุกเรื่องต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน  ไม่เช่นนั้นเมื่อเราไม่ได้คำตอบเราก็จะเกิดการการวุ่นวายสับสน      จะรู้สึกสับสนงุนงงอย่างมาก    เพราะมิใช่ทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่เราจะพบเห็นผล หรือ คำตอบที่ชัดเจน   เช่น เมื่อเราเริ่มต้นทำธุรกิจ  เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า   แต่ปรากฏว่าทำไปชั่วพักหนึ่ง   ธุรกิจที่เราทำมันล้มเหลว   เราก็กลับมาคิดในใจว่า  ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าให้ทำธุรกิจ  แต่ตอนนี้มันก็ล้มเหลว   จริง ๆ แล้วมันเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเปล่าเนี่ย?

เราจะทำอย่างไรเมื่อเรื่องที่เราคิดว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  แต่ทำไปแล้วก็ล้มเหลว   ทำให้เกิดความสงสัยว่า  แล้วนี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเปล่า?   แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้?   เรายังคงไว้วางใจพระเจ้าหรือไม่?   เราเชื่อว่าในเวลานั้นพระเจ้ากำลังใช้เหตุการณ์นั้นในการเสริมสร้างชีวิตของเราในด้านต่าง ๆ หรือไม่?    จริง ๆ แล้วพระเจ้าทรงมีแผนการในชีวิตของเราหรือไม่?  

3. อย่ากลัวลาน   อะไรคือความกลัวที่ซ่อนเร้นเกี่ยวกับเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้า?   รากฐานที่ซ่อนเร้นในความกลัวลานนั้นคือการที่เรามีความสงสัยในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา   ใน 1ยอห์น 4:18 กล่าวไว้ว่า  “ใน​ความ​รัก​นั้น​ไม่​มี​ความ​กลัว แต่​ความ​รัก​ที่​สม​บูรณ์​นั้น​ก็​ขับ​ไล่​ความ​กลัว​ออก​ไป​เสีย” (มตฐ.)   เวลาใดก็ตามที่เราเกิดความสงสัยในความรักของพระเจ้า   ในเวลานั้นเราจะเกิดความกลัวว้าวุ่นใจ   เพราะในเมื่อเราไม่ไว้วางใจในพระองค์   เราจะไม่เชื่อฟังพระองค์   และนั่นคือตัวนำให้ชีวิตของเราเข้าสู่ความสับสนซับซ้อนและยุ่งยากมากยิ่งขึ้น  

ในสดุดี 3:23-24 กล่าวไว้ว่า

พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าคนใดให้มั่นคง...
แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง
เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้

น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการที่พระองค์ทรงสำแดงความรักของพระองค์ออกมา   ในเวลาที่เรายังไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำ  หรือสิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เราจะต้องมีความอดทน   พระเจ้าทรงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา   แต่ในเวลานี้เรายังไม่สามารถเห็นและรู้ชัดว่าเรื่องทั้งสิ้นจะจบลงเช่นไร   แต่เราจะรู้ในที่สุด   เส้นทางของพระเจ้าที่เราต้องเดินนั้นในบางช่วงจะเป็นเส้นทางแห่งความเจ็บปวดในชีวิต   แต่ในความเจ็บปวด  ในเวลาที่ความสำเร็จขับเคลื่อนมาอย่างเชื่องช้า   หรือความทุกข์ยากที่เกิดแล้วเกิดอีกในชีวิตของเรา   เป็นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงเสริมสร้างชีวิตของเราให้เป็นไปตามพระประสงค์

ในเวลาที่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนดี   พระเจ้าทรงทำสิ่งเลวร้ายนั้นในชีวิตของคนดีหรือ?   หรือเมื่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับคนดี  แม้ว่าสิ่งเลวร้ายนั้นพระเจ้ามิได้กระทำก็ตาม     แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยในชีวิตของคน ๆ นั้น   และหาทางที่จะทำให้เกิดสิ่งดีขึ้นจากวันเลวร้ายในชีวิตของเขามิใช่หรือ?

ท่านกำลังรอพระเจ้าให้กระทำอะไรให้เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน?   ท่านคิดว่าในเวลาเช่นนั้นท่านมีเพียงนั่งรอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น หรือ เป็นโอกาสที่ท่านจะใกล้ชิดติดสนิทขอพระเจ้าทรงทรงสำแดงให้ท่านรู้ว่า   ในเรื่องที่กำลังรอคอยนั้นท่านควรกระทำอะไรบ้าง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

17 สิงหาคม 2558

“หัวใจของท่าน” จะฝังไว้ที่ไหนดี?

แต่​พวก​ท่าน​จง​แสวง​หา​แผ่น​ดิน​ของ​พระ​เจ้า และ​ความ​ชอบ​ธรรม​ของ​พระ​องค์​ก่อน
แล้ว​พระ​องค์​จะ​ทรง​เพิ่ม​เติม​สิ่ง​ทั้งปวง​นี้​ให้ (มัทธิว 6:33 มตฐ.)

เดวิด ลิฟวิ่งสโตน  (David Livingstone) มิชชันนารีที่มีชื่อเสียงและพวกเรารู้จักกันดี  เมื่อเขาสิ้นชีวิต ร่างของเขาถูกนำข้ามน้ำข้ามทะเลจากอัฟริกามาฝังที่ประเทศอังกฤษ ที่ Westminster Abbey in London แต่คนส่วนใหญ่รู้หรือไม่ว่า  แต่หัวใจของเขาไม่ได้ถูกนำมาฝังที่สุสานแห่งนั้น   แต่ถูกฝังไว้ที่อัฟริกาที่เขาได้ใช้ชีวิตรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางประชาชนในดินแดนนั้นนับหลายสิบปี  

ใช่แล้ว ดวงใจของ เดวิด ลิฟวิ่งสโตนถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง  ชาวบ้านได้ขุดหลุมใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นแล้วฝังดวงใจของลิฟวิ่งสโตน ที่พวกเขารักและบูชาลงในหลุมนั้น

ใช่ครับ “หัวใจของลิฟวิ่งสโตน” ฝังอยู่กับชีวิตของประชาชนอัฟริกาใต้พื้นธรณีของดินแดนนั้น

เราท่านต่างจะต้องมีชีวิตในบั้นปลายเฉกเช่น เดวิด ลิฟวิ่งสโตน คำถามที่เราแต่ละคนต้องตอบตนเองคือ หัวใจของท่านจะฝังไว้ที่ไหน?   ในสำนักงานของท่านหรือ?   ในกระเป๋าสตางค์ของท่านหรือ?  ในเกียรติยศชื่อเสียงหรือ? 

ชีวิตทุกวันนี้ของท่านเกาะแน่นติดยึดอยู่กับอะไร?

เดี๋ยวนี้ยังพอมีเวลาที่จะรีบจัดอันดับความสำคัญในชีวิตเสียใหม่   ท่านยังจะมีชีวิตเกาะแน่นติดยึดกับเงินทอง การงาน  เกียรติยศชื่อเสียง  หรือสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่จะสูญสลายไปในที่สุดเช่นนั้นหรือ?

หรือท่านจะเกาะแน่นยึดติดกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของท่าน?

จงค้นให้พบสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตของท่านที่พระผู้ทรงสร้างได้กำหนดลงในชีวิตของท่าน

จงแสวง “แผ่นดินของพระเจ้า” คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีสำหรับชีวิตของท่านก่อน   แล้วท่านจะได้ทั้งสิ้นในชีวิตของท่าน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

พระมหาบัญชาที่มาก่อน...นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวก...!

“ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ท่านจะน่าสรรเสริญที่ตรงไหน?
แม้แต่ คนบาปก็รักคนที่รักเขา...” (ลูกา 6:32 อมต.)

เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเรามีโอกาสคิดใคร่ครวญถึงความรักที่ไร้เงื่อนไข    เป็นเรื่อง “ยากส์” สำหรับมนุษย์ถ้วนหน้า   เพราะเราพบว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะรักแบบไร้เงื่อนไขเฉกเช่นที่สำแดงเป็นรูปธรรมผ่านชีวิตของพระคริสต์นั้นมีสองประการสำคัญคือ   ประการแรก  การที่จะรักแบบไร้เงื่อนไข เราต้องเปลี่ยนที่จะรักคน ๆ นั้นจากหลักการเหตุผล   หรือการที่เรามีคน ๆ นั้นใน “สมอง” ในความคิดของเรา  ไปสู่การที่เรามีคน ๆ นั้นใน “หัวใจ” หรือ จิตใจของเรา  กล่าวคือรักคน ๆ นั้นด้วยจิตใจของเรา   เราจึงไม่ต้องใช้ตรรกะว่า เขาดีพอที่เราจะรัก หรือ เขาสมควรที่เราจะรักหรือไม่   แต่รักด้วยหัวใจคือการที่เราห่วงหาอาทรคน ๆ นั้น   พยายามทุกหนทางที่จะเข้าใจตามที่เขาเป็นเช่นนั้น   ที่เขาแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น   และเขาจะเป็นอย่างไรเราก็จะรักเขา   นั่นเป็นความรักที่ไร้เงื่อนไข

การที่เราจะมีความรักเมตตาอย่างไร้เงื่อนไขของพระคริสต์   มิใช่สิ่งที่คริสตชนจะเลือกว่า “จะรัก หรือ จะไม่รัก”   ดังใน ลูกา 6:32 และ 36 ที่ว่า “ถ้า​พวก​ท่าน​รัก​เฉพาะ​คน​ที่​รัก​ท่าน ควร​นับ​ว่า​เป็น​คุณ​ความ​ดี​ของ​ท่าน​ด้วยหรือ? เพราะ​แม้​แต่​พวก​คน​บาป​ก็​ยัง​รัก​เฉพาะ​คน​ที่​รัก​เขา​เหมือน​กัน... พวก​ท่าน​จง​มี​ใจ​เมต​ตา​กรุณา​เหมือน​อย่าง​พระ​บิดา​ของ​ท่าน​มี​พระ​ทัย​เมต​ตา​กรุณา” (มตฐ.) 

การรักอย่างไร้เงื่อนไขเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตที่พระคริสต์คาดหวังจากคริสตชนทุกคนที่จะรักอย่างที่พระองค์ทรงรัก   และพระคริสต์มาสำแดงความรักที่ไร้เงื่อนไขนี้   ก็เพื่อสำแดงให้มวลมนุษย์ได้เห็นและสัมผัสถึงความรักของพระบิดา   ดังนั้น   การรักอย่างไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์จึงเป็นพระบัญชาให้คริสตชนทุกคนให้มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกับพระองค์   ให้คริสตชนทุกคนสานต่อความรักที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์   และ นี่คือ “หัวใจ และ พลัง” ที่คริสตชนทุกคนใช้ขับเคลื่อนในการ “นำคนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์”

ปราศจากพลังแห่งความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์   ก็ไม่สามารถที่จะนำคนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์   อย่างที่เราเห็นตำตาในปัจจุบันว่า   แม้ประเทศนั้น ๆ จะเป็นประเทศคริสตชน   เป็นประเทศมหาอำนาจ   มีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่   มีประชาชนที่ชาญฉลาด   มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัย...   แต่ก็พบว่าเขาไม่สามารถที่จะ “นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์”   ทั้งนี้เพราะเขาไม่มี “พลังความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์”   และขอพูดให้ชัดลงไปเลยว่า   “เงินถวายเท่านั้น ไม่เคยนำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระคริสต์...  แต่การที่คริสตชนแต่ละคนมีหัวใจที่มีพลังรักอย่างไร้เงื่อนไขของพระคริสต์ต่างหาก   ที่เป็นพลังหลักที่นำชนทุกชาติให้มาเป็นสาวกของพระองค์” ได้

ทำอย่างไรที่คริสตชน  สมาชิกคริสตจักรในประเทศไทยจะมีความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์ในชีวิตของแต่ละคนได้?   นี่คือบทบาท และ ความรับผิดชอบหลักของคริสตจักรท้องถิ่นไทยแต่ละแห่งต้องทำถ้าคิดจะสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในประเทศนี้    ในทางกลับกันถ้าคริสตจักรไทยแต่ละแห่งไม่สอน และ สร้างให้สมาชิกแต่ละคนของตนให้มีพลังความรักที่ไร้เงื่อนในชีวิตของเขาแล้ว   คริสตจักรไทยก็ไม่สามารถที่จะทำพระมหาบัญชาที่ให้สานต่อพระราชกิจของพระองค์ได้เลย  

คริสตชนที่ไม่เคยสัมผัสกับความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์   ก็จะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องความรักที่ไร้เงื่อนไขนี้   และถ้าคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้ก็จะไม่มีสำนึกในพระคุณความรักของพระคริสต์ที่มีในชีวิตของเขา   เมื่อไม่มีสำนึกเช่นนี้แล้วเขาจะรักคนอื่นอย่างไร้เงื่อนแบบพระคริสต์ได้อย่างไร?   แล้วพระคริสต์จะส่งสมาชิกคริสตจักรที่ไม่มีความรักที่ไร้เงื่อนไขของพระองค์เข้าไปในสังคมชุมชนเพื่อสานต่อพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไร?

ที่สำคัญคือ ที่เราออกไปประกาศพระกิตติคุณโดยไม่มีประสบการณ์ และ สำนึกในพระคุณของพระเจ้า   แล้วเขาจะรักคนที่เขาไปประกาศพระกิตติคุณอย่างไร้เงื่อนไขได้อย่างไร?   และการประกาศพระกิตติคุณโดยปราศจากความรักที่ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์จะเกิดผลเช่นไรกันแน่?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ท่านทำงานเพื่อใคร...ในวันนี้?

ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใดจงทุ่มเททำอย่างสุดใจ
เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ (โคโลสี 3:23 อมต.)

ทุกวันนี้เราทำงานเพื่อใครกันแน่?
เราท่านอาจมักคิดว่าเราทำงานเพื่อนายจ้าง 
เราทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเรา 
เราทำงานเพื่อตัวเอง
เราทำงานเพื่อลูกของเรา...  

แต่สำหรับคริสตชนแล้วสัจจะความจริงคือเราทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   ให้เราทำงานรับใช้ด้วยความเต็มใจเฉกเช่นทำงานนั้นรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่มนุษย์ (เอเฟซัส 6:7 อมต.)   ไม่ว่างานนั้นจะต่ำต้อยแค่ไหน เช่นในสมัยที่ผู้เขียนต้องไปรับจ้างทำความสะอาดห้องส้วมของบริษัท หรืองานนั้นที่ไม่เห็นเกี่ยวกับคริสตจักร หรือ คริสตชนเลยก็ตาม เช่น เมื่อต้องไปทำงานอบรมการทำงานชุมชน   และบ่อยครั้งก็เป็นงานที่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก   แต่ทั้งหมดนี้ถ้าเราตระหนักชัดว่า งานที่เราทำทุกวันนี้เป็นการทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา   ไม่ว่าเราจะทำงานอะไรก็ตาม  ให้เราทำอย่างทุ่มเท  ทำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   เมื่อเราทำงานไหนก็ตามให้เรา​ทำ​งาน​นั้น​ด้วย​เต็ม​กำลัง (ปัญญาจารย์ 9:10 มตฐ.)   ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกงานเป็นงานที่มีเกียรติทั้งสิ้น   เพราะเป็นการรับใช้พระองค์

ให้เราทำงานให้เป็นการถวายงานนั้นแด่พระเจ้า!

การที่เรามีงานทำในวันนี้  จงขอบพระคุณพระเจ้าเถิด   เพราะเรามีโอกาสที่จะนำพระพรในรูปแบบต่าง ๆ เข้าถึงผู้คนรอบข้าง  และ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า   ให้เราอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  ให้งานที่เราทำนั้นเป็นผลงานที่เป็นพระพรแก่คนทั้งหลาย (สดุดี 90:17) งานอาชีพที่เราทำในทุกวันนี้คือเครื่องมือและโอกาสที่พระเจ้าประทานแก่เราที่จะสามารถนำชนทั้งหลายให้มาเป็นสาวกของพระองค์ (มัทธิว 28:19-22)  งานจึงเป็นโอกาสที่เราจะทำตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์    และเราทำงานเพื่อเป็นเครื่องสักระบูชาแด่พระเจ้า   และให้งานที่เราทำได้รับการอวยพระพรจากพระองค์ (สดุดี 128:2)  ปัญญาจารย์กล่าวว่า  ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าที่เราจะเปรมปรีดิ์ในงานที่เราทำ (ปัญญาจารย์ 3:22)   เพราะพระเจ้าได้ให้เรามีงานทำตามพระประสงค์ของพระองค์  และใช้งานที่เราทำให้เกิดผลตามพระประสงค์นั้น   

แต่ถ้าเราทำงานแบบเฉื่อยเนือย  ใส่เกียร์ว่าง  หาช่องเอาเปรียบคนอื่น   เรากำลังฉ้อฉลพระเจ้าผู้ประทานงานให้เราทำ   เรากำลังคดโกงนายจ้าง  เรากำลังเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน

พระเยซูคริสต์ยืนยันว่า  ทั้งพระองค์เองและพระบิดายังทำงานอยู่   แม้การสร้างโลกนี้จะเสร็จสิ้นลง   แต่พระองค์ยังมีพระราชกิจที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง   เพื่อจะทำให้โลกนี้ไปสู่โลกที่เป็นแผ่นดินของพระเจ้า   เพื่อให้โลกที่ทรงสร้างมีคุณภาพ   นำไปสู่สภาพฟ้าสวรรค์ใหม่  แผ่นดินโลกใหม่   และพระเจ้าทรงสร้างเรา   เพื่อเราจะทำงานสานต่อจากพระราชกิจของพระองค์ที่ได้ทำไว้ก่อนแล้ว  เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระองค์   และงานที่เราทำ ทำเพื่อที่จะตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระองค์   เปาโลกล่าวไว้ว่า “ฉะนั้น​พี่​น้อง​ที่​รัก​ของ​ข้าพเจ้า...จง​ทำ​งาน​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ให้​บริบูรณ์​ทุก​เวลา ท่าน​ทั้ง​หลาย​พึง​รู้​ว่า ใน​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า การ​ตราก​ตรำ​ของ​ท่าน​จะ​ไม่​ไร้​ประ​โยชน์” (1โครินธ์ 15:58 มตฐ.)

ดังนั้น   การทำงานต้องเริ่มต้นที่รากฐานจิตวิญญาณ   ที่จะเกิดดอกออกผลในงานที่เราทำให้เป็นพระพรสำหรับทุกคนรอบข้าง  และเป็นการสรรเสริญและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า   ซึ่งการทำงานก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้า   การทำงานทำให้ทั้งชีวิตจิตใจของเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ทุกเวลา

งานที่เราทำในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์  และเป็นของประทานจากพระเจ้า   ที่เราจะต้องกระทำงานนั้นถวายแด่พระองค์  ด้วยความรักอย่างสุดจิตสุดใจและสุดความคิดที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   และให้การทำงานของเราในแต่ละวันเป็นการสำแดงความรักของเราต่อเพื่อนรอบข้างเฉกเช่นที่เรารักตนเอง

วันนี้เมื่อเราทำงานสิ่งหนึ่งประการใด   โปรดตระหนักเสมอว่า เรากำลังทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   และทบทวนตรวจสอบเสมอว่า  ตนเองกำลังทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่หรือเปล่า?   เพื่อเราจะได้ทำงานด้วยสุดจิตใจของเราเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

โปรดตระหนักว่า   คนตายไม่มีโอกาสที่จะทำงานที่บริสุทธิ์ สำคัญ ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เขาเคยมีโอกาสทำมาก่อน   วันนี้เป็นโอกาสของเราทุกคนครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

07 สิงหาคม 2558

สิ่งดีที่ได้จากวันที่แย่ ๆ

ในฐานะผู้นำ  ทุกคนต่างเคยมีวันที่แย่หรือเลวร้ายมาทั้งสิ้น   ไม่ใช่ผู้นำเท่านั้นนะครับ   ทุกคนต่างเคยผ่านวันที่รื่นชื่นชม กับ วันที่แย่และเลวร้ายมาทั้งสิ้น   แต่คำถามก็คือ  แล้วเราจะสามารถเรียนรู้อะไรบ้างจากวันที่เลวร้าย    บทเรียนดี ๆ ที่เราจากวันที่ร้าย ๆ ไว้ 10 ประการ ดังนี้
  1. การที่เราต้องพบกับวันที่แย่ ๆ นั้นเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา ๆ   เพราะมิใช่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่ต้องประสบพบเจอวันแย่ ๆ แบบนี้   ใครต่อใครก็เจอกันทั้งนั้นแหละ   แล้วมีกี่คนที่อ่านข้อเขียนนี้ที่กำลังเจอกับวันแย่ ๆ อยู่
  2. วันที่เหตุการณ์แย่ ๆ ทำให้ท่านตระหนักว่า ภาระความรับผิดชอบของท่านไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมืออย่างสบาย ๆ เสมอไป   ถ้าท่านอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจวบจนจบหน้าสุดท้าย   ท่านจะไม่เคยพบคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นคนมารับผิดชอบในงานของพระองค์ที่พบกับงานง่าย ๆ สบาย ๆ
  3. วันที่แย่ ๆ กระตุ้นเตือนให้สำนึกว่าเราเป็นผู้นำ   เป็นความจริงว่า  งานที่ท่านรับผิดชอบไม่ใช่งานที่ง่ายสะดวกสบาย   แต่ใช้ทั้งทักษะความสามารถ และ ภาวะผู้นำ   และนี่คือเวลาที่เราจะแสดงออกถึงภาวะผู้นำของเราในวันที่แย่ ๆ ที่กำลังประสบ
  4. วันที่แย่ๆเป็นวันที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างภาวะผู้นำ   สิ่งที่ยากสถานการณ์ที่ลำบาก  ภาวะที่คลุมเครือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำ   เพราะในวันเช่นนี้เองที่สร้างเสริมพัฒนาภาวะผู้นำของตน
  5. วันที่แย่ ๆ เป็นวันเวลาสำหรับการพัฒนาตนเอง   บางครั้งการที่เกิดเหตุแย่ ๆ กับเราอาจจะเกิดจากการกระทำ หรือ ผลของการตัดสินใจของเรา   ถ้าสิ่งนี้เป็นจริงเราต้องเปิดใจยอมรับผลที่เราได้รับ  เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ทำให้เกิดสิ่งแย่ ๆ   และใช้เวลานั้นในการแก้ไข และ พัฒนาตนเอง
  6. วันแย่ ๆ มีเวลาเริ่มก็มีเวลาจบสิ้น   ทุกมรสุมมีสัจจะความจริงร่วมกันประการหนึ่งคือ   เมื่อเกิดมรสุมก็มีเวลาของการสิ้นสุดของมรสุม   ไม่ว่ามันจะนำสิ่งดีหรือเลวร้ายมาให้ก็ตาม   มรสุมมีเวลาที่จะจบสิ้นยุติ   พรุ่งนี้เป็นวันใหม่สำหรับเราเสมอ   และที่แน่ ๆ คือ ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าอีกครั้งหนึ่ง
  7. ในวันแย่ ๆ ให้เรากำหนดเส้นแบ่งผลกระทบที่ชัดเจน  เช่น  ถ้าเราเกิดวันแย่ ๆ ในที่ทำงานของเรา   เราไม่ควรเอาผลกระทบจากวันที่แย่ ๆ จากที่ทำงานเข้าไปในบ้านในครอบครัวของเรา   โปรดให้บ้าน ห้องพัก หรือครอบครัวของเราเป็น “หลุมหลบภัย”  เป็นที่ “ผ่อนพักจากภัยร้อนแรงภายนอก”
  8. วันแย่ ๆ กระตุ้นเตือนเราถึงความสำคัญของการจัดการลำดับความสำคัญในชีวิต   กลับมาทบทวนถึงความสัมพันธ์ของเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา  ความสัมพันธ์ผูกพันกับคนในครอบครัวของเรา  ซึ่งสองประการนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา   เพราะทั้งสองแหล่งคือที่ที่จะให้ความรักเมตตาแก่เราเมื่อเราโหยหาความรักเมตตาไม่ได้จากที่อื่น
  9. วันแย่ ๆ คือโอกาสที่เราจะถอยกลับใคร่ครวญค้นหาคำตอบ  เวลาที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบาก หรือ ความเลวร้าย  เป็นโอกาสที่กระตุ้นให้ผู้นำ และ เราทุกคนกลับมาอยู่กับตนเอง  หาเวลาสงบที่จะสำรวจตนเอง   เพื่อที่จะหาทางออก หรือ ตอบโจทย์ชีวิต สถานการณ์เลวร้ายที่เรากำลังประสบอยู่
  10. วันที่แย่ ๆ เป็นของขวัญสำหรับเรา   สถานการณ์ที่ยากลำบาก ผู้คนที่สร้างความยุ่งยาก เจ็บปวดแก่เรา เหตุการณ์เหล่านี้กดดันให้เราหันเข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้า   วางใจในพระคริสต์สำหรับย่างก้าวต่อไปข้างหน้าของเรา   ในเวลาเช่นนี้เป็นการนำให้เราติดสนิทอย่างลุ่มลึกกับองค์พระผู้เป็นเจ้า   ผู้ทรงรักเรามากที่สุดในชีวิต


ภาวะผู้นำเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าวิเศษสุดแต่ได้มาด้วยค่างวดราคาที่สูงส่ง   ในวันที่เราจะจ่ายค่างวดราคาชีวิตในวันที่แย่ ๆ  อย่าลืมพลิกดูรายการคุณค่าในวันที่แย่ ๆ ข้างต้นนี้   แล้วพยายามมองโจทย์ภาพใหญ่ภาพรวมของชีวิตให้ชัดเจน   แล้วใช้วันที่แย่ ๆ ในการหล่อหลอม สร้างเสริมความเป็นผู้นำ ความเป็นคนที่เราต้องการมีต้องการเป็น  ที่ทรงคุณค่าสำหรับเราในตัวของเราให้ได้

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

04 สิงหาคม 2558

ความเชื่อศรัทธาบนพิธีกรรมที่คุ้นชิน หรือ บนสัมพันธภาพ?

จง​เอา​ใจ​ใส่​สิ่ง​ที่​อยู่​เบื้อง​บน ไม่​ใช่​สิ่ง​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก
(โคโลสี 3:2 มตฐ.)

มิชชันนารีอาวุโสครอบครัวหนึ่ง   ไปซื้อลูกสุนัขมาตัวหนึ่งที่เขาชื่นชอบมาก  เขาเลี้ยงสุนัขตัวนี้อย่างดี  อาบน้ำ  ตัดขน  และเล่นกับมันทุกวัน   แต่ไม่นานนักสุนัขตัวนี้กลับมีนิสัยเสียชอบกัดและดึงผ้าที่ตากที่ราวตากผ้า

มิชชันนารีท่านนี้เลยวางแผนจัดการดัดนิสัยเจ้าสุนัขตัวนี้   เขาเอาผ้ากันเปื้อนเวลาทำครัวของเขามาแขวนไว้ที่ราวตากผ้า   เวลาใดที่เจ้าหมาดึงผ้านี้ลงมา   มิชชันนารีจะดุมันทุกครั้ง   ปรากฏว่าหลังจากทำเช่นนี้เป็นประจำสองสัปดาห์   เจ้าหมาตัวนี้ไม่กัดแล้วลากผ้ากันเปื้อนนั้นลงจากราวตากผ้าอีกเลย

ดังนั้น   มิชชันนารีจึงเริ่มตากผ้าที่ซักแล้วบนราวตากผ้า   แต่เมื่อกลับจากการออกไปทำธุระข้างนอกถึงบ้านตอนเย็น   ลมแทบจับเอา   เพราะเสื้อผ้าที่เขาซักแล้วตากบนราวนั้นถูกดึงลากลงมากระจุยกระจายบนพื้น   ยกเว้นผ้าผืนเดียวที่ยังตากอยู่บนราวตากผ้าคือ  ผ้ากันเปื้อนเวลาทำครัวของเขา

ขอตั้งข้อสังเกตว่า   เจ้าสุนัขตัวนี้เรียนรู้และคุ้นชินกับสิ่งที่มันได้รับการฝึกฝนให้ทำ   มันจึงไม่กัดลากผ้ากันเปื้อนของเจ้าของลงจากราวตากผ้า   คริสตชนบางคนบางครั้ง และ ก็หลายคนหลายครั้งที่ทำอะไร ๆ ที่คุ้นชินที่ทำเป็นกิจวัตร  เช่น  ไปโบสถ์เช้าวันอาทิตย์   เขาภาวนาอธิษฐานหลังตื่นเช้าทุกวัน   อธิษฐานก่อนนอนทุกวัน   รวมถึงอธิษฐานก่อนรับประทานอาหารทุกสามมื้อ   สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คริสตชนคนนั้นกระทำอย่างคุ้นชินเป็นกิจวัตร   แต่ถ้าลองพิจารณาอย่างลึกซึ้งจริงจังว่า  แท้จริงแล้วคริสตชนคนนั้นรู้จักพระเจ้าจริง ๆ ในชีวิตหรือเปล่ากลับเป็นคำถามใหญ่   หรือเขาอาจจะไปโบสถ์วันอาทิตย์  อธิษฐานก่อนกินข้าวทุกมื้อ  อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน  และภาวนาอธิษฐานทุกเช้าหลังตื่นนอน   แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในชีวิตประจำวันเลย

คริสตชนหลายคนให้พิธีกรรม หรือ กิจวัตรทางศาสนาที่ทำอย่างประจำคุ้นชินมาครอบงำอยู่เหนือความเชื่อที่มีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า   การไปโบสถ์เช้าวันอาทิตย์  การอ่านพระคัมภีร์  การอธิษฐาน  การภาวนาประจำวันเป็นสิ่งที่ดีที่คริสตชนควรกระทำกันทุกคน   แต่ให้เรากระทำสิ่งเหล่านี้ออกมาจากจิตใจที่รักและ ผูกพันติดสนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้า   แต่มิใช่กระทำด้วยความคุ้นชินเป็นกิจวัตรประจำวัน   แต่ให้เรากระทำด้วยความรักและผูกพันและด้วยจิตใจที่ต้องการนมัสการสรรเสริญยกย่องพระองค์ด้วยสำนึกในความรักเมตตาของพระองค์ที่มีต่อเรา

ดัง​นั้น พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย โดย​เห็น​แก่​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระ​เจ้า ข้าพเจ้าจึง​วิง​วอน​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ให้​ถวาย​ตัว​ของ​ท่าน​แด่​พระ​องค์ เพื่อ​เป็น​เครื่อง​บูชา​อัน​บริสุทธิ์​ที่​มี​ชีวิต และ​เป็น​ที่​พอ​พระทัย​พระ​เจ้า ซึ่ง​เป็น​การ​นมัสการ​โดย​วิญญาณ​จิต​ของ​ท่าน  อย่า​ลอก​เลียน​แบบ​อย่าง​คน​ใน​ยุค​นี้ แต่​จง​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลง​จิต​ใจ แล้ว​อุป​นิสัย​ของ​ท่าน​จึง​จะ​เปลี่ยน​ใหม่ เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ทราบ​พระ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า จะ​ได้​รู้​ว่า​อะไร​ดี อะไร​เป็น​ที่​ชอบ​พระทัย และ​อะไร​ดี​ยอด​เยี่ยม (โรม 12:1-2 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

พระเจ้าใช้ความเจ็บแสบในชีวิตเรา...ตามพระประสงค์!

เพราะ​ฟ้า​สวรรค์​สูง​กว่า​แผ่น​ดิน​โลก​อย่างไร
ทาง​ของ​เรา​ก็​สูง​กว่า​ทาง​ของ​พวกเจ้า
และ​ความ​คิด​ของ​เรา​ก็​สูง​กว่า​ความ​คิด​ของ​เจ้า​อย่าง​นั้น
(อิสยาห์ 55:9 มตฐ.)

หลุยส์ เด็กชายตัวเล็กนั่งดูพ่อทำงาน  ที่ร้านทำอานม้าของพ่อ  ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส  ซึ่งเขาชอบนั่งดูพ่อของตนในการทำและซ่อมอานม้า   มีความคิดว่า ถ้าเขาโตขึ้นเขาอยากจะเป็นช่างทำอานม้าเช่นเดียวกับพ่อ

พ่อเริ่มที่จะสอนหลุยส์ในการตัดหนัง และ การเจาะรู้หนังเพื่อการเย็บ   วันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อหลุยส์กำลังหัดทำเกี่ยวกับการเจาะรูหนัง   ปรากฏว่าหนังที่เขาถือมันลื่นทำให้หลุดจากมือ  เครื่องเจาะรูหนังที่แหลมคมได้พลาดแทงเข้าที่ดวงตาของหลุยส์   เขาขยี้ตาด้วยความเจ็บปวด  ในที่สุดตาข้างหนึ่งของหลุยส์ถึงกับสูญเสียการมองเห็น   และอีกไม่นานตาอีกข้างหนึ่งมืดบอดมองไม่เห็นเพราะการติดเชื้อ   ทำให้ชีวิตของหลุยส์ตั้งแต่วันนั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง

ในสมัยนั้น เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นจะไม่มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นต้องไปเป็นคนงานในไร่ หรือต้องทำงานหนักเยี่ยงสัตว์  หรือเป็นขอทานเร่ร่อน  แต่พ่อแม่ของหลุยส์ เบรลล์ มุ่งมั่นจะเลี้ยงดูบุตรของตนอย่างดีเช่นเด็กคนอื่น ๆ โดยให้หลุยส์พยายามทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองและให้ช่วยทำงานบ้านทั่วไป  เป็นโอกาสในการเรียนรู้และฝึกฝนการใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ   

แต่ด้วยความใส่ใจในการอภิบาลชีวิตคริสตจักร  บาทหลวงฌ้าค (Father Jacques) ได้มาเยี่ยมที่บ้าน   จึงชวนเด็กชายหลุยส์ให้ไปเรียนหนังสือที่โบสถ์   โดยท่านได้สอนวิชาประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งคำสอนทางคริสต์ศาสนา  ความขยันและความใฝ่รู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของหลุยส์ ทำให้บาทหลวงฌ้าคหมดภูมิรู้ที่จะสอนต่อไปได้   ต่อมา บาทหลวงฌ้าคได้ส่ง หลุยส์ เบรลล์ ไปเรียนต่อที่โรงเรียนสอนคนตาบอดสำหรับเด็กโต (The International Institute of Blind Youths) ซึ่งอยู่ในกรุงปารีส

อีกหลายปีต่อมา  หลุยส์ เบรลล์ ได้พบกับ นายทหารยศร้อยเอกชื่อ ชารลส์ บาร์บิเยร์ (Captain Charles Barbier) มาเยี่ยมโรงเรียน  เขาเป็นผู้คิดค้นวิธีการสื่อสารในที่มืดของเหล่าทหาร เรียกว่า การเขียนในที่มืด (Night Writing)” และคิดว่าน่าจะนำวิธีการนี้มาปรับใช้เพื่อช่วยคนตาบอดในการอ่านหนังสือได้  หลักการของวิธีนี้คือการใช้จุดนูน

แต่หลุยส์ เบรลล์ และ เพื่อน ๆ พบว่า  การเขียนจุดนูนแบบนี้ยังไม่สมบูรณ์พอ  หลุยส์ตัดสินใจคิดค้นหาวิธีการใช้ที่ได้ผลต่อไป หลุยส์ เบรลล์ จะพกแผ่นกระดาษหนา และ สไทลัสติดตัวตลอดเวลา  เขาทดลองเจาะจุดนูนหลากหลายรูปแบบ เพื่อค้นหาคำตอบที่เขาต้องการ  สไทลัสมีลักษณะคล้ายเหล็กแหลมซึ่งพ่อของเขาใช้เป็นเครื่องมือ หรือมีดเจาะแผ่นหนังสัตว์ อันเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เขาตาบอดนั่นเอง

ผู้กองมีความคิดว่า สิ่งที่ตนทำนั้นดีที่สุดแล้ว   และที่แย่กว่านั้นเขามีมุมมองว่า คนตาบอดไม่มีทางจะฉลาดกว่าคนตาดี  และคนตาบอดต้องยอมรับสิ่งที่ทำขึ้นง่าย ๆ และไม่จำเป็นต้องมีหนังสืออ่านมากมายเลย  หลุยส์ เบรลล์ รู้แก่ใจได้ทันทีว่า เขาจะต้องศึกษาและพัฒนาการเขียนจุดนูนนี้ด้วยตนเองต่อไปให้ได้

หลุยส์ เบรลล์ ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการคิดค้นหาทางที่จะทำอักษรจุดที่สอดคล้องเหมาะสมสำหรับคนที่สูญเสียการมองเห็นอย่างเช่นพวกตน   กว่าสามปีที่ หลุยส์ เบรลล์ มุ่งมั่นทุ่มเททั้งชีวิตให้กับงานนี้   ในช่วงปิดเทอมครั้งหนึ่งเขาสามารถทำระบบจุดนูนที่อ่านได้ง่าย สะดวกสำหรับพวกตน   และเมื่อทดลองใช้กับเพื่อน ๆ และ นักเรียนต่างเห็นว่านี่คือระบบที่ช่วยให้พวกเขามีโอกาสที่จะอ่านและทำหนังสือสำหรับคนที่สูญเสียสายตาได้  หลุยส์ แบรลล์ กล่าวกับเพื่อน ๆ ว่า ต่อไปนี้เราสามารถจดบันทึกทุกอย่างที่เราได้ยินมาแล้วนำมาอ่านทบทวนภายหลังได้  เราจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้มาเลย และในไม่ช้า เราจะต้องมีหนังสือที่ทำขึ้นเฉพาะสำหรับพวกเราอ่านกัน  

จากการทุ่มเทของ หลุยส์ แบรลล์ ในการผลิตอักษรนูนนี้   ได้ช่วยให้ผู้พิการและสูญเสียการมองเห็นจำนวนหลายล้านคนที่ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล

การสูญเสียความสามารถในการมองเห็นที่น่าเศร้าสลดของ หลุยส์ แบรลล์  ตั้งแต่วัยเด็กมิใช่อุบัติเหตุที่ไร้ค่า   แต่พระประสงค์ของพระเจ้าเกิดขึ้นได้แม้เมื่อ หลุยส์ แบรลล์ มีชีวิตที่เจ็บปวดจากการสูญเสียการมองเห็น   อีกทั้งยังถูกมองอย่างด้อยค่าจากบางคนรอบข้าง   แต่ด้วยความมุ่งมั่นในชีวิตที่เขาต้องการช่วยให้คนที่สูญเสียการมองเห็นอย่างเขา   ให้สามารถอ่านและบันทึก  เรียนรู้  และมีคุณค่าในชีวิตเฉกเช่นกับคนตาดีคนอื่น ๆ ในความเจ็บปวดของชีวิตหลายปี   ที่หลุยส์ แบรลล์ ไม่ละทิ้งเสียงเรียกแห่งพระประสงค์ที่มีในชีวิตของตน   จนกระทั่งถึงเวลาแห่งพระประสงค์สำเร็จเป็นจริง   และเป็นพระพรแก่ผู้คนหลากหลายมากมาย

เช่นเดียวกันครับ ความเจ็บปวดในชีวิตวันนี้ พระเจ้าสามารถใช้ให้เกิดสิ่งดีตามพระประสงค์ของพระองค์ผ่านการดำเนินชีวิตของเราท่านครับ   ถึงแม้ว่าวันนี้เรามืดแปดด้านมองไม่เห็นพระประสงค์ในยามวิกฤติชีวิตก็ตาม   แต่มั่นใจเถิดว่า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจท่ามกลางวิกฤติเจ็บปวดในชีวิตของเรา   จงวางใจในพระเจ้าว่า  เมื่อถึงเวลากำหนดของพระองค์ พระองค์จะช่วยสำแดงให้เราเห็นพระพร ความจริง แห่งพระประสงค์อย่างเป็นรูปธรรม

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499