18 สิงหาคม 2559

ชนะแค่ไหน?

ท่านเคยสังเกตไหมว่า   ทำไมนักวิ่งในสมัยกรีกแต่ละคนที่วิ่งแข่งขันกันต้องถือคบเพลิงทุกคน?

ในการวิ่งแข่งโอลิมปิกดั้งเดิมของกรีก   เป็นการวิ่งแข่งขันที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ   ผู้วิ่งแข่งขันแต่ละคนจะต้องวิ่งแข่งพร้อมกับถือคบเพลิงที่มีไฟจุดอยู่   นักกีฬาแต่ละคนวิ่งแข่งกับคนอื่นว่าใครจะถึงเส้นชัยก่อนแต่คบเพลิงจะต้องยังติดไฟอยู่

นั่นหมายความว่า นักวิ่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยมิใช่เป็นคนแรกเท่านั้นแต่คบเพลิงจะต้องไม่ดับ   แม้ว่าคนนั้นจะวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกแต่คบเพลิงดับเขาก็มิใช่เป็นผู้ชนะ   แต่ผู้ที่ชนะคือผู้ที่เข้าเส้นชัยพร้อมกับคบเพลิงที่ติดไฟอยู่เป็นคนแรก

นี่คือภาพที่อาจารย์เปาโลกกล่าวเปรียบเทียบใน 2ทิโมธี 4:7-8 ไว้ว่า  “ข้าพเจ้า​ได้​ต่อ​สู้​อย่าง​เต็ม​กำ​ลัง ข้าพเจ้าได้​วิ่ง​แข่ง​จน​ครบ​ถ้วน ข้าพเจ้า​ได้​รักษา​ความ​เชื่อ​ไว้​แล้ว   ตั้ง​แต่​นี้​ไป​มงกุฎ​แห่ง​ความ​ชอบ​ธรรม​ก็​จะ​เป็น​ของ​ข้าพเจ้า ซึ่ง​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผู้​พิพากษา​ที่​ชอบ​ธรรม​จะ​ประ​ทาน​เป็น​รางวัลแก่​ข้าพเจ้า​ใน​วัน​นั้น และ​ไม่​ใช่​แก่​ข้าพเจ้า​ผู้​เดียว​เท่า​นั้น แต่​จะ​ประ​ทาน​แก่​ทุก​คน​ที่​รัก​การ​เสด็จ​มา​ของ​พระ​องค์”

เฉกเช่นนักกีฬากรีก   เราต่างวิ่งบนลู่วิ่งแห่งชีวิต   เราต่างวิ่งแข่งด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต   แต่เราต้องระมัดระวังว่า  แม้เราจะวิ่งได้เร็วแต่เราต้องปกป้องไม่ให้ไฟที่คบเพลิงของเราดับลง   ต้องให้ไฟที่คบเพลิงยังติดอยู่   นั่นหมายความว่าเรามิใช่มุ่งมั่นตั้งใจให้ชีวิตบรรลุเป้าหมาย ประสบความสำเร็จเท่านั้น   แต่เราทุกคนจะต้องรักษาไฟที่คบเพลิงแห่งความเชื่อศรัทธาของเราให้ติดโชติช่วงด้วยความสว่างแห่งพระคริสต์ตลอดลู่วิ่งชีวิตที่เราวิ่งไป

แม้เราจะสิ้นสุดและบรรลุเส้นชัยแห่งลู่วิ่งของชีวิต   แต่เราต้องรักษาความเชื่อศรัทธาของเราไว้ให้โชติช่วงตลอดเส้นทางชีวิตที่เราดำเนินและส่องสว่างต่อไปแม้ถึงเส้นชัยแห่งชีวิตแล้ว

และนี่แหละที่เราจะเป็นผู้มีชัยอย่างแท้จริง!

แล้ววันนี้เราจะชนะแค่ไหนครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

08 สิงหาคม 2559

พระเจ้าอยู่ไหน...เมื่อชีวิตพบกับหัวเลี้ยวหัวต่อ?

คุณเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ หรือ เพื่อนของคุณเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไหมครับ?...ว่า   งานที่กำลังทำ  หรือ  ได้รับงานใหม่ด้วยความตื่นเต้น   และคาดหวังถึงสิ่งดี ๆ และความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น   ท่านรู้สึกได้ว่าพระเจ้าสถิตกับคุณในงานที่กำลังทำ   คุณรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์   แต่ไม่เท่าไหร่จู่ ๆ ก็เห็นว่างานที่ทำงานใหม่ที่ได้มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนคาดหวังและรู้สึก   บางท่านอาจจะพบว่าต้องขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน   หรือ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน   หรือไม่ท่านก็พบว่าเกิดช่องว่างกว้างลึกระหว่างความคิดของท่านกับความจริงในงานที่ท่านต้องรับผิดชอบ  

ทันใด ความรู้สึกที่ตื่นเต้นกับงานที่ทำพลันอันตรธานหายไป   แต่ความรู้สึกสับสนซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกิดมาแทนที่   ความท้อแท้หมดกำลังใจประดังเข้ามาในความรู้สึกของท่าน   ความสิ้นหวังอยู่ข้างหน้าแค่เอื้อม   คุณเริ่มฉงนสงสัยว่า พระเจ้าอยู่ที่ไหนกันนี่?   หรือท่านกำลังพลาดคลาดไปจากการทรงนำของพระเจ้า?   ยิ่งสงสัยว่า  แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยฉุดดึงท่านออกจาก “บ่อทรายดูด” ในที่ทำงานนี้หรือไม่?

ในเวลาที่เราจะต้องปล้ำสู้กับสถานการณ์ที่เราไม่คาดคิดเช่นนี้นำเราให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น   ทำให้เราต้องมุ่งมองหาพระปัญญาของพระเจ้า   มองหาไขว่คว้าการทรงนำของพระองค์   และเราต้องการการปลอบและกำลังใจ   ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตการทำงานเช่นนี้เป็นโอกาสที่ปรับความนึกคิดจิตใจของเรา   ทั้งนี้ เพื่อเราจะสามารถรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างเต็มกำลัง และ เกิดผลอย่างมากมายในเวลาของพระองค์

ในมาระโก 1:12-13 หลังจากพระเยซูคริสต์รับบัพติสมาในแม่น้ำจอร์แดนจากยอห์นผู้ให้บัพติสมา   เกิดเหตุการณ์สำคัญสองประการคือ  พระวิญญาณที่มีสัณฐานเหมือนนกพิราบลงมาที่พระเยซู (1:10)  จากนั้นมีเสียงจากเบื้องบนว่า  “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา  เราชอบใจท่านมาก” (1:11)   เหตุการณ์ทั้งสองนี้ย่อมนำมาซึ่งความรู้สึกตื้นตันและภูมิใจในชีวิตของพระเยซูคริสต์   ยิ่งกว่านั้น พระเยซูเข้าใจว่า นี่เป็นการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ทำพันธกิจของพระเจ้า   ซึ่งมิใช่พันธกิจที่ร่วมกิจกรรมการสรรเสริญนมัสการพระเจ้าในพระวิหารเท่านั้น   แต่เป็นการทรงเรียกให้พระองค์ทำพันธกิจของพระเมสสิยาห์ที่จะต้องกระทำ   เป็นพันธกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ก็จะทึกทักเข้าใจว่า   จากนี้พระเยซูคริสต์ก็จะทำสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ทันที   เทศนาอย่างจับจิตเจาะใจ   รักษาคนเจ็บคนป่วย   ขับวิญญาณชั่วออกจากผู้คน  และสิ่งอื่นอีกมากมาย   แต่ก่อนที่เหตุการณ์ที่กล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้น   มาระโกกลับบันทึกไว้ว่า  “...ทัน​ที พระ​วิญ​ญาณ​ก็​ทรง​เร่ง​เร้า​พระ​องค์​ให้​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​ถิ่น​ทุร​กัน​ดาร    และ​ประ​ทับ​อยู่​ที่​นั่น​ถึง​สี่​สิบ​วัน ทรง​ถูก​ซา​ตาน​ทด​ลอง และ​ประ​ทับ​อยู่​กับ​สัตว์​ป่า และ​มี​พวก​ทูต​สวรรค์​มา​ปรนนิ​บัติ​พระ​องค์” (มาระโก 1:12-13 มตฐ.)

พระวิญญาณของพระเจ้าเร่งเร้าพระเยซูให้เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร   ซึ่งเป็นที่ที่ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า   เป็นที่ที่อิสราเอลปล้ำสู้กับน้ำพระทัยของพระเจ้า   ตามการบันทึกของมาระโก  พระเยซูคริสต์ต้องเผชิญการท้ายทายในถิ่นทุรกันดาร   ที่นั่นพระองค์ถูกมารร้ายอำนาจชั่วทดลอง   และต้องต่อสู้กับเหล่าสัตว์ร้ายทำให้พระเยซูอ่อนจิตอ่อนใจอ่อนกำลังชีวิต   แต่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้น พระเยซูได้รับการเสริมกำลังชีวิตจากพระเจ้า    พระองค์ได้รับการเสริมกำลังด้วยการปรนนิบัติจากทูตสวรรค์จากเบื้องบน

มาระโกไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดในการทดลองอย่างปรากฏในมัทธิว และ ลูกา   แต่ท่านต้องการบอกผู้อ่านว่า   พระเยซูคริสต์ถูกเร่งเร้าให้เข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อถูกการทดลองโดยอำนาจแห่งความชั่วร้าย   การทดลองดังกล่าวไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้ามิได้ทรงคาดหวัง   แต่มาระโกต้องการบอกกับเราว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือพระเยซูแม้จะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต่อชีวิต   และกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระวิญญาณของพระเจ้าเร่งเร้าพระเยซูให้มีประสบการณ์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้

ในที่นี้ไม่ได้หมายว่า   ในทุกครั้งที่เรามีงานใหม่ หรือ เราจะรับผิดชอบงานหนึ่งงานใด  แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังเร่งเร้าให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้น   ความยุ่งยากซับซ้อนตลอดจนความสับสนที่เกิดขึ้นในการทำงานอาจจะเกิดขึ้นจากคนในที่ทำงาน หรือ อาจจะเกิดขึ้นจากตัวเราเองก็ได้   แต่ในมาระโก 1:12-13 กล่าวถึงข่าวดีแห่งแผ่นดินของพระเจ้าว่า   พระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางชีวิตที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนและสับสนของเรา   มากยิ่งกว่านั้น   ในขณะที่เรากำลังต้องปล้ำสู้และเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและการทดลอง   พระเจ้าจะทรงหนุนเสริมชูช่วยเราผ่าน “ทูตสวรรค์” ของพระองค์   แน่นอนว่าผ่านการทรงช่วยเหลือหนุนเสริมของพระวิญญาณของพระเจ้า

ในเวลาที่เราถูกการทดลอง การปล้ำสู้กับเหตุร้ายอันตรายต่าง ๆ เป็นเวลาที่ทรงนำเราให้เชื่อฟังและพึ่งในพระองค์  แสวงหาพระปัญญา มองหาการทรงนำ   และการประเล้าประโลมให้กำลังชีวิตจากพระองค์   เป็นเวลาที่ความนึกคิดจิตใจของเราจะได้รับการปรับและทำให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น  เพื่อว่า  เราจะสามารถรับใช้พระองค์เต็มกำลัง และ เกิดผลมากยิ่งขึ้น  ในพระนามของพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

01 สิงหาคม 2559

เส้นทางแห่งพระพร...เส้นทางที่เสี่ยง แสบ และ แสนสาหัส

เมื่อเราเกิดความตกใจกลัวจนจิตใจว้าวุ่นสับสน และ ตกในความทุกข์ยากแสนสาหัส   เวลาเช่นนั้นเราไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี   แล้วเกิดคำถามว่าเหตุที่เลวร้ายย่ำแย่เช่นนี้เมื่อไหร่จะสิ้นสุดสักที   แล้วเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้   เราหนีเตลิดโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรข้างหน้า   และก็ไม่รู้ตนเองจะทำอย่างไรดี

ความจริงประการหนึ่งที่คริสตชนต้องตระหนักชัดในชีวิตเสมอคือ   เส้นทางแห่งพระพร เป็นเส้นทางที่คับแคบ ขรุขระ  คดเคี้ยว  แสบแสนยากลำบาก   เป็นเส้นทางที่ต้องเดินไปท่ามกลางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก   ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เผยพระวจนะเอลียาห์   ที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนเพราะสู้กับใครไม่สู้ไปสู้กับกษัตริย์อาหับ และ พระนางที่แสนแสบเยเซเบล   ตอนนี้อาหับตั้งค่าหัวเอลียาห์ไว้แล้ว

แล้ว​พระ​วจนะ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ยัง​เอ​ลี​ยาห์​ว่า  จง​ลุก​ขึ้น​ไป​ยัง​เมือง​ศา​เร​ฟัท ซึ่ง​ขึ้น​กับ​เมือง​ไซ​ดอน และ​อา​ศัย​อยู่​ที่​นั่น นี่​แน่ะ เรา​ได้​สั่ง​หญิง​ม่าย​คน​หนึ่งที่​นั่น​ให้​เลี้ยง​เจ้าท่าน​จึง​ลุก​ขึ้น​ไป​ยัง​เมือง​ศา​เร​ฟัท ...(1พงศ์กษัตริย์ 17:8-10 มตฐ.)

พระเจ้าบอกให้เอลียาห์เดินทางกว่า 100 ไมล์ในดินแดนที่อันตราย   ผู้คนรู้ว่าเอลียาห์คนนี้คือคนที่กษัตริย์ตั้งค่าหัวไว้   แต่ในที่สุดเอลียาห์ก็ไปถึงเมืองศาเรฟัท  เขาพบกับหญิงม่ายที่ยากจน ที่เหลืออาหารมื้อสุดท้ายสำหรับตนกับลูก   คนเช่นนี้ที่พระเจ้าให้มาเลี้ยงเอลียาห์!   ถ้าเราเป็นเอลียาห์คงสับสนจนไม่รู้จะคิดอย่างไร   ทำไมพระเจ้าให้คนที่แม้แต่ตนเองก็ช่วยไม่ได้   แต่ให้มีเลี้ยงดูเอลียาห์ได้อย่างไร   พระเจ้าสั่งผิดหรือเปล่า?   นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า  หญิงม่ายยากจนคนนี้จะปกป้องเอลียาห์ให้พ้นจากการถูกฆ่าล่าหัวได้อย่างไร

เส้นทางแห่งพระพร  เส้นทางแห่งพระราชกิจอันทรงคุณของพระเจ้า   เส้นทางแห่งการสร้างชีวิตของเราแต่ละคนที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก   เส้นทางที่ทั้งคนต้องการความช่วยเหลือ และ คนที่พระเจ้าส่งมาช่วยต่างไม่สามารถช่วยตนเองได้

แต่เอลียาห์ไว้วางใจ  เชื่อฟัง  และ ทำตาม

เส้นทางแห่งพระพรและพระราชกิจที่กระทำเสริมสร้างในชีวิตของเรามักทรงนำเราผ่านเส้นทางชีวิตที่สุ่มเสี่ยง แสบแสนสาหัส   เป็นสถานการณ์ชีวิตที่มิใช่ไม่มีความสะดวกสบายเท่านั้น   แต่เป็นวิถีชีวิตที่กำลังพบจุดล่อแหลมสุ่มเสี่ยงอันตราย   ที่เราไม่รู้ว่าจะเดินไปทิศทางไหนดี   แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นที่พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นใหม่   เราได้เห็นการอัศจรรย์ของพระองค์   เราได้รับพระพรของพระองค์

เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นตลอดเรื่องราวในพระคัมภีร์

เมื่อโมเสสนำอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์มุ่งหน้าไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา   ด่านแรกพวกเขาจนตรอกหมดทางหนีกองทัพอียิปต์   เพราะทะเลแดงขวางกั้นอยู่

ก่อนที่เดวิดจะล้มยักษ์ได้   เขาต้องผ่านการปกป้องฝูงแกะจากภัยสัตว์ร้ายต่าง ๆ

ทำไมหรือที่พระพร การอัศจรรย์ ถึงไม่เกิดขึ้นเมื่อชีวิตของเราอยู่สุขสบายและปลอดภัย   ทำไมถึงต้องผ่านเส้นทางที่ยากลำบาก หมดที่หวัง สิ้นที่พึ่งในชีวิต?  

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในเวลาเช่นนั้นเองเรารู้ว่าเราพึ่งตนเองไม่ได้  เราพึ่งคนอื่นไม่ได้  

เป็นเวลาที่เราต้องพึ่งพระเจ้า

ในการทำงานในวันนี้   เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบาก   เราหมดที่พึ่ง  สิ้นความหวัง  สับสน  ไม่รู้จะไปทางไหน?  อนาคตอันใกล้จะเป็นอย่างไร   ในเวลาเช่นนี้ขอเราตระหนักชัดและเชื่อมั่นว่า   โอกาสที่พระเจ้าจะอวยพระพร   เวลาที่พระเจ้าจะทรงเสริมสร้างเราขึ้นใหม่   โอกาสที่การอัศจรรย์จากพระเจ้าที่จะเกิดแก่เราเริ่มต้นแล้ว   สิ่งที่เราสามารถทำได้ในเวลานั้นคือ

ถ่อมชีวิตลง  ใกล้ชิดกับพระเจ้า
แสวงหาพระประสงค์ของพระองค์
เชื่อและไว้วางใจ   และก้าวเดินไปตามการทรงนำ และ เปิดเผย
ก้าวต่อก้าว   แม้ยังไม่เห็นทิศทาง เป้าหมายที่ชัดเจน   และพระเจ้าจะทรงค่อย ๆ เปิดเผยแก่เรา
และในเวลาเดียวกันยอมรับการเปลี่ยนแปลง และ เสริมสร้างจากพระเจ้า
ในเวลาเช่นนี้มิได้มุ่งเน้นไปที่ปัญหาและการหมดทางสู้
แต่มุ่งมั่นตั้งใจแสวงหาน้ำพระทัย   รับการเปลี่ยนแปลง   และรับการสร้างใหม่จากพระองค์
กระตือรือร้นที่จะได้พบกับพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเรา  สิ่งใหม่  พระพร  และคนใหม่ในตัวเรา
ใช่ครับ   เส้นทางชีวิตที่ขรุขระ แสนแสบเสี่ยง  
แต่เป็นโอกาสที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นใหม่  และ
เราได้รับพระพรจากพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499