24 มกราคม 2554

ทนไม่ได้แล้ว

6อับรามจึงตอบว่า “สาวใช้ของเจ้าก็อยู่ในมือของเจ้า จงทำกับนางตามที่เจ้าเห็นควรเถิด” นางซารายจึงกดขี่ข่มเหงฮาการ์ ดังนั้นนางฮาการ์จึงหลบลี้หนีหน้าไป 7ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าพบนางฮาการ์ในทะเลทรายใกล้บ่อน้ำพุซึ่งอยู่ริมทางที่จะไปเมืองชูร์ 8และทูตนั้นพูดว่า “ฮาการ์สาวใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน?” นางตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังหนีนางซารายนายหญิงของข้าพเจ้า” 9แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้าและยอมอยู่ใต้อาณัติของนาง”  
(อมตธรรม, ปฐมกาล 16:6-9)

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา และทรงพระคุณ
ทรงพระพิโรธช้า เปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์
(อมตธรรม, สดุดี 86:15)


น่าจะกล่าวได้ว่า ในชีวิตนี้ของเราแต่ละคนคงมีอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งที่เราโพล่งออกมาว่า “ทนไม่ได้แล้ว” อาจจะเป็นสัมพันธภาพของเราเลวร้ายลง หรือชีวิตแต่งงานของเราแตกหักเป็นเสี่ยงๆ หรือการงานกำลังยุ่งยากอย่างมากจนไม่รู้จะสู้อย่างไร หมดสภาพจน “หลังพิงฝา” รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เราต้องเครียดจัด เป็นไปได้ที่บางครั้งที่เรารู้สึกว่า ชีวิตนี้มันเลวร้ายอะไรอย่างนี้ พอกันที มันมากเกินไปแล้วสำหรับชีวิตของเรา จนเราต้องการที่จะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “ข้าทนไม่ได้แล้ว”

สถานการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับนางฮาการ์ เธอถูกขายเป็นทาส ต้องออกมาจากอียิปต์ สถานการณ์นี้สร้างความขัดแย้งเจ็บปวดกับความตั้งใจของเธอ แล้วเธอก็ถูกนายหญิงให้ช่วยตั้งครรภ์เพื่อจะมีบุตรให้นายหญิง นี่เป็นเป็นการย่ำยีความรู้สึกของเธออีกและรุนแรงกว่าเดิม ตอนนี้เธอต้องเจ็บปวดจนเกือบจะทนไม่ได้อยู่แล้วเพราะนายหญิงคือนางซารายได้ “เคี่ยวเข็ญ”(สำนวน TBS) “กดขี่ข่มเหงฮาการ์”(สำนวน อมตธรรม) ซึ่งคำนี้ในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า กระทำด้วยความเกลียดชัง “ถมึงตา” ปฏิบัติต่อเธอด้วยการลดคุณค่า ฐานะ ศักดิ์ศรี และกระทำเพื่อให้ผู้ถูกกระทำเกิดความทรมานใจ เสียอกเสียใจ เกิดความเจ็บปวดในชีวิต พูดกันแบบภาษาทุกวันนี้ก็คือ ซารายได้ทำร้ายทารุณต่อฮาการ์ เป็นไปได้อย่างไรที่ลูกสาวคนหนึ่งของพระเจ้าทำร้ายทำลายชีวิตของสตรีอีกคนหนึ่งของพระองค์? ใช่แล้วเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป แต่คงต้องพูดความจริงว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้ในยุคปัจจุบัน

ท่ามกลางความรุนแรง เลวร้าย เจ็บปวดที่ซารายเพิ่มพูนกระทำแก่ฮาการ์ที่แรงขึ้นทุกทีจนทาสหญิงคนนี้ตัดสินใจว่า ไปตายในทะเลทรายก็ดีกว่าการมีชีวิตที่แสนขมขื่นกับซาราย เธอจึงหนีออกจากบ้านของนายหญิงมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายที่โหดร้าย ที่หนาวยะเยือกในกลางคืนและร้อนระอุอย่างรุนแรงในเวลากลางวัน สภาพที่สามารถฆ่าชายที่กำยำให้จบชีวิตได้ แต่ในกรณีของฮาการ์ สถานการณ์เลวร้ายนี้มิได้กำลังจะคร่าชีวิตของคนๆ เดียวเท่านั้นแต่สองคน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อฮาการ์รู้ดีว่าตนกำลังตั้งครรภ์ ในปฐมกาล 16:11 ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่ฮาการ์ว่า “บัดนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ และเจ้าจะมีบุตรชาย” เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอรู้เธอคิดเป็นความจริงว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้อาณัติของนาง” (ปฐมกาล 16:9)

เมื่ออ่านถึงพระธรรมตอนนี้ในครั้งแรก รู้สึกงงงวยกับคำสั่งที่ไม่เห็นเข้าท่า ไม่สบายใจว่าทำไมทูตสวรรค์ของพระเจ้าสั่งอะไรเช่นนี้ ทำไมพระเจ้ายังยอมให้ลูกสาวคนหนึ่งของพระองค์กลับไปรับการกดขี่ข่มเหงให้ชีวิตต้องเจ็บช้ำมากมายเช่นนี้? แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่และจากความคิดเห็นของนักศึกษาพระคัมภีร์หลายท่านได้ให้ข้อแนะนำว่า ถ้าฮาการ์ยังขืนเดินทางในทะเลทรายต่อไปนางจะต้องเสียชีวิต หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ขาดทั้งน้ำและอาหารจะอยู่รอดไปได้สักกี่น้ำ? อีกประการหนึ่ง มิใช่นางเท่านั้นที่จะเสียชีวิต บุตรในครรภ์ของเธอก็จะเสียชีวิตด้วย และเมื่อคิดถึงบุตรในครรภ์นี่น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ของ ฮาการ์ที่เธอตัดสินใจกลับไปหานายหญิง และเธอคงตั้งใจว่าเธอจะทำสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เหลือทนที่จะต้องเกิดขึ้นข้างหน้า

คงต้องทำให้เข้าใจกันชัดเจนในที่นี้ว่า สถานการณ์การทำร้ายทำลายที่โหดร้ายนี้มิใช่การกระทำของพระเจ้าและก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า บ่อยครั้งพระบิดาในสวรรค์มักถูกกล่าวร้ายในทำนองนี้เพราะความสับสนในความเข้าใจของมนุษย์ ถ้ามิใช่เพราะพระเจ้าทรงอดกลั้น อดทน และการทนทุกข์อย่างมากมายต่อเนื่องเช่นนี้แล้ว สถานการณ์จะเป็นไปอย่างเลวร้ายกว่านี้

จากเรื่องราวที่เราใคร่ครวญในที่นี้ เราพบและเรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงเอาใจใส่ต่อการที่ฮาการ์ถูกซารายกระทำอย่างโหดร้ายทารุณ พระองค์ทรงติดตามฮาการ์ทุกย่างก้าวเมื่อเธอหนีออกจากเต็นท์ของซา-ราย พระองค์ให้ทูตสวรรค์ปกป้องแล้วนำเธอทั้งความคิดและการกระทำไปยังที่ปลอดภัย จากนั้นพระเจ้าทรงสัญญากับฮาการ์ว่า พระองค์จะทรงเพิ่มพูนลูกหลานของฮาการ์ให้มากมายจนนับไม่ถ้วน และจะเป็นชนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง

การดูถูกหว่านความเกลียดชัง
แต่ความเมตตากรุณาหว่านการเยียวยารักษา
แม้ว่าการอดกลั้นอดทนในขณะที่รอคอยดูจะสร้างความขมขื่นในชีวิต
แต่ในที่สุด ความอดทนให้ผลที่หวานฉ่ำ
เมื่อเราต้องอดกลั้นและอดทนในความทุกข์ยากลำบากและอยุติธรรม พระเจ้ามิได้ทอดทิ้งเรา
เมื่อเราอดรนทนไม่ได้ต่อไปและตัดสินใจหนี
พระเจ้าทรงติดตาม อ้าแขนโอบแล้วนำเรากลับสู่การปกป้องของพระองค์
และที่สำคัญคือ พระสัญญาของพระองค์สำหรับชีวิตของเราจะบรรลุเป็นจริง
ฟรานซิส แห่ง อาซีซี เคยกล่าวไว้ว่า
เมื่อมีความอดทน อดกลั้นด้วยใจถ่อม
เมื่อนั้นจะไม่มีความโกรธเกลียดหรือการถูกกวนจิตใจ
ขอพระเจ้าประทานความอดทนแก่เรา เมื่อคนชั่วร้ายทำให้เจ็บปวดในชีวิต
เมื่อเราคิดว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม เราจะอดรนทนไม่ไหว เรารู้สึกเจ็บปวดในชีวิต
พระคริสต์ทนทุกข์เมื่อถูกตบบนใบหน้าของพระองค์ อย่างไร้ความผิด
แต่เรามิได้ยินคำหยาบคาย รุนแรงจากพระองค์แม้เพียงคำเดียว

ขอพระเจ้าประทานให้เราเป็นคนดีรอบคอบอย่างพระองค์ด้วยความอดทน
เพื่อเราจะตอบสนองสิ่งเลวร้ายด้วยไมตรีจิตและความคิดที่ถ่อมสุภาพ
และถ้าจำเป็นที่เราจะต้องพูด ขอพระเจ้าช่วยให้เราพูดด้วยความรัก ถ่อม อดทนบนสัจจะความจริง
เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการที่เราสำแดงความอดทนและสัตย์ซื่อให้ปรากฏแจ้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น