อ่านสดุดี
130:1-8
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
หากพระองค์จะทรงบันทึกบาปทั้งหลายไว้...
ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้?”
(ข้อ 3 อมตธรรม)
คำพูดในพระคัมภีร์นั้นมักบาดหูและบาดใจของเรา
เพราะพระคัมภีร์มักพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องในตัวเราที่เราไม่อยากได้ยินได้ฟัง หรือไม่ต้องการให้ใครพูดถึงเรื่องเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น
พระคัมภีร์มักกล่าวถึงความจริงที่ว่า เราทุกคนได้กระทำผิด เป็นคนผิดบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า
และถ้าพระเจ้าจะบันทึกถึงสิ่งที่เราได้กระทำผิดบาปแล้ว ไม่มีใครในพวกเราสักคนที่จะยืนเชิดหน้าต่อพระพักตร์ของพระองค์ได้
ให้เราเปิดใจตรวจสอบความจริงในเรื่องพระคำนั้นบาดใจบาดชีวิตของเราในหลายระดับ โดยส่วนลึกในชีวิตของเราแล้ว มนุษย์เราต้องการที่จะยืนหยัดมั่นคงด้วยความดีงามของเราเอง
และต้องการมุ่งชี้ถึงความสำเร็จในชีวิตของตน แล้วพูดกับตนเองในใจ หรือ
กับคนที่พบเห็นด้วยความภาคภูมิใจว่า
“นี่คือผลงานที่ฉันทำ และนี่คือความสำเร็จที่ฉันได้ทำมากับมือ” เรามุ่งแสวงหา “ความสำเร็จของเรา”
เพื่อเราจะรู้สึกมีคุณค่าและมั่นคงในตนเอง
เพราะเราสามารถเข้าไปควบคุมความเป็นไปของเรื่องนั้นในชีวิตของเรา
ยิ่งกว่านั้นเราสามารถกำหนดเป้าหมายปลายทางชีวิตของเราเองได้
บนฐานคิดของเราว่าชีวิตของเราสมควรจะได้รับความสำเร็จเหล่านั้น
แต่พระคัมภีร์ตัดโค่นรากฐานความคิดเช่นนั้น สิ่งที่มนุษย์เราคาดหวัง หรือ
ภูมิใจในความสำเร็จในชีวิตของเรา
ในการเป็น “คนดี” ตามความภูมิใจของเรานั้นถูกทำลาย
แม้จะเป็นสิ่งที่เรากระทำด้วยความจริงใจแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าการกระทำดี หรือ
บุญบารมีที่สั่งสมมามากมายแค่ไหนก็ตามไม่สามารถที่จะฉุดกระชากลากเราออกจากอำนาจแห่งความบาปในรูปแบบต่างๆ
ที่ครอบงำในชีวิตของเราได้ และก็แน่นอนว่า ถ้าเราไม่สามารถหลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปแล้ว
เป้าหมายปลายทางในชีวิตที่จะเกิดแก่ชีวิตของเราคือ “ความตาย” (โรม 6:23)
เราคิดว่า เราสามารถที่จะควบคุมชะตากรรมชีวิตของเราได้ แต่ความจริงก็คือ
เรากลับถูกอำนาจแห่งความบาปควบคุมตั้งแต่การคิดของเราจนการกระทำ และ สภาพชีวิตที่เราเป็นอยู่
และนี่คือเสียงจากพระคัมภีร์ เป็นเสียงที่ “ก้าวร้าว”
และบาดลึกลงในความภาคภูมิใจในความสำเร็จและความมั่นคงที่เรามั่นใจและพออกพอใจ
แต่พระคัมภีร์ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความสิ้นหวังของมนุษย์ที่ถูกครอบงำจากอำนาจของความบาปผิดเท่านั้น พระคัมภีร์มิได้บ่งชี้ชัดเจนถึงความบาปผิดสิ้นหวังของมนุษย์เท่านั้น
แต่พระคัมภีร์ประกาศถึงข่าวดีในชีวิตของมนุษย์ว่า
เมื่อชีวิตของเราจนตรอกหาทางออกจากการถูกครอบงำจากอำนาจแห่งความบาปไม่ได้นั้น
พระเจ้าทรงกระทำทุกหนทางด้วยความรักเมตตาของพระองค์เพื่อกอบกู้เราให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายเหล่านั้น และนี่มิใช่สิ่งที่มีในพระคัมภีร์เท่านั้น
แต่เป็นจริงรูปธรรมในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนในทุกวันนี้ด้วย
“แต่เพราะพระองค์ทรงอภัยโทษ พระองค์จึงทรงเป็นที่ยำเกรง” (ข้อ 4 อมตธรรม)
สัจจะความจริงก็คือว่า พระคัมภีร์มิใช่ต้องการสร้างบาดแผลเจ็บปวดจนสิ้นหวังในชีวิตจิตใจและไม่ต้องการทำลายในความภาคภูมิใจของมนุษย์
แต่พระวจนะในพระคัมภีร์พูดความจริงอย่างมิได้อ้อมค้อมปิดบังเพื่อกระตุ้นต่อมสำนึกของเราให้ตระหนักชัดว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะมีชีวิตด้วยการยืนหยัดบนกำลังความสามารถด้วยตนเองเท่านั้น
ถ้าชีวิตมนุษย์มิได้ปกป้องคุ้มครองโดยพระเจ้า ก็ต้องครอบงำด้วยอำนาจของความบาปผิด
และอำนาจแห่งความบาปผิดมักจะหลอกล่อมนุษย์ให้มีความคิดว่าตนเองสามารถกระทำความสำเร็จได้ด้วยตนเอง แต่ทั้งสิ้นนี้เป็นความสำเร็จตามใจปรารถนาแห่งตนเอง
และใจปรารถนานั้นถูกกำกับควบคุมทางความคิดความรู้สึกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วในรูปแบบต่างๆ
แต่พระเจ้าทรงทราบถึงจุดอ่อนในชีวิตของมนุษย์
ยิ่งกว่านั้นทรงมีพระทัยเมตตายอมรับมนุษย์ตามสภาพที่แต่ละคนเป็นอยู่
พร้อมทรงกระทำพระราชกิจในการทรงช่วยกอบกู้มนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงยอมสละสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของพระองค์เพื่อเปิดโอกาสใหม่แก่มนุษย์
ที่มนุษย์จะสามารถเลือกว่าจะยังพึ่งตนเองเท่านั้น หรือจะเลือกการทรงช่วยกอบกู้จากพระองค์ มีโอกาสที่จะเลือกดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์
หรือ เลือกที่จะใช้ชีวิตในการไล่ล่าความปรารถนาของตนเอง
ดังนั้น ที่มนุษย์ยกย่องยำเกรงพระเจ้ามิใช่เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจเหนือมนุษย์
หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์
แต่ที่เรายำเกรงพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงเมตตาและทุ่มทั้งชีวิตเพื่อเรา
พระองค์ทรงให้โอกาสชีวิตแก่เรา ทรงอยู่ใกล้เคียงข้างคลุกคลีท่ามกลางสถานการณ์ชีวิตของเรา
และทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เราในยามอ่อนแอ
ให้สามารถมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเราตามพระประสงค์ของพระองค์
ในวันนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา โปรดอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงดำเนินเคียงข้างชีวิตของเรา
ทรงอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ชีวิตเดียวกับเรา เวลาใดที่เรารู้ตัวว่า เราไม่สามารถพึ่งกำลังความสามารถของเราเอง โปรดตระหนักชัดว่า พระองค์พร้อมที่จะชี้นำ หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิต และบากบั่นเคียงข้างไปกับเรา จนกว่าเราจะถึงหลักชัย หลักชัยชีวิตมิใช่เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรค
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ แต่หลักชัยในวันนี้ของเราคือ เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เราได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงพระคุณ และ
พระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนมากมายยิ่งขึ้น
ข้าแต่พระเจ้า ในวันนี้เวลาใดที่ข้าพระองค์มีชีวิตและกระทำสิ่งใดที่ปราศจากพระองค์แล้ว
ข้าพระองค์จะประสบกับภาวะที่สิ้นความหวังหมดคุณค่า ข้าพระองค์ขอน้อมกายถ่อมจิตลงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ ด้วยความสำนึกในพระคุณของพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียม ชี้นำ
และทรงกระทำเพื่อข้าพระองค์ อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น