04 กุมภาพันธ์ 2556

ความจริงที่คนไม่อยากได้ยิน?


อ่านสดุดี 130:1-8

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
หากพระองค์จะทรงบันทึกบาปทั้งหลายไว้...
ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้?”  
(ข้อ 3 อมตธรรม)

คำพูดในพระคัมภีร์นั้นมักบาดหูและบาดใจของเรา   เพราะพระคัมภีร์มักพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องในตัวเราที่เราไม่อยากได้ยินได้ฟัง  หรือไม่ต้องการให้ใครพูดถึงเรื่องเหล่านั้น   ตัวอย่างเช่น  พระคัมภีร์มักกล่าวถึงความจริงที่ว่า เราทุกคนได้กระทำผิด  เป็นคนผิดบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า   และถ้าพระเจ้าจะบันทึกถึงสิ่งที่เราได้กระทำผิดบาปแล้ว   ไม่มีใครในพวกเราสักคนที่จะยืนเชิดหน้าต่อพระพักตร์ของพระองค์ได้

ให้เราเปิดใจตรวจสอบความจริงในเรื่องพระคำนั้นบาดใจบาดชีวิตของเราในหลายระดับ   โดยส่วนลึกในชีวิตของเราแล้ว   มนุษย์เราต้องการที่จะยืนหยัดมั่นคงด้วยความดีงามของเราเอง  และต้องการมุ่งชี้ถึงความสำเร็จในชีวิตของตน   แล้วพูดกับตนเองในใจ หรือ กับคนที่พบเห็นด้วยความภาคภูมิใจว่า  “นี่คือผลงานที่ฉันทำ  และนี่คือความสำเร็จที่ฉันได้ทำมากับมือ”  เรามุ่งแสวงหา “ความสำเร็จของเรา” เพื่อเราจะรู้สึกมีคุณค่าและมั่นคงในตนเอง  เพราะเราสามารถเข้าไปควบคุมความเป็นไปของเรื่องนั้นในชีวิตของเรา   ยิ่งกว่านั้นเราสามารถกำหนดเป้าหมายปลายทางชีวิตของเราเองได้   บนฐานคิดของเราว่าชีวิตของเราสมควรจะได้รับความสำเร็จเหล่านั้น

แต่พระคัมภีร์ตัดโค่นรากฐานความคิดเช่นนั้น   สิ่งที่มนุษย์เราคาดหวัง หรือ ภูมิใจในความสำเร็จในชีวิตของเรา   ในการเป็น “คนดี” ตามความภูมิใจของเรานั้นถูกทำลาย   แม้จะเป็นสิ่งที่เรากระทำด้วยความจริงใจแค่ไหนก็ตาม   ไม่ว่าการกระทำดี หรือ บุญบารมีที่สั่งสมมามากมายแค่ไหนก็ตามไม่สามารถที่จะฉุดกระชากลากเราออกจากอำนาจแห่งความบาปในรูปแบบต่างๆ ที่ครอบงำในชีวิตของเราได้   และก็แน่นอนว่า  ถ้าเราไม่สามารถหลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปแล้ว   เป้าหมายปลายทางในชีวิตที่จะเกิดแก่ชีวิตของเราคือ “ความตาย” (โรม 6:23)   เราคิดว่า เราสามารถที่จะควบคุมชะตากรรมชีวิตของเราได้   แต่ความจริงก็คือ เรากลับถูกอำนาจแห่งความบาปควบคุมตั้งแต่การคิดของเราจนการกระทำ และ สภาพชีวิตที่เราเป็นอยู่ และนี่คือเสียงจากพระคัมภีร์ เป็นเสียงที่ “ก้าวร้าว” และบาดลึกลงในความภาคภูมิใจในความสำเร็จและความมั่นคงที่เรามั่นใจและพออกพอใจ

แต่พระคัมภีร์ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความสิ้นหวังของมนุษย์ที่ถูกครอบงำจากอำนาจของความบาปผิดเท่านั้น  พระคัมภีร์มิได้บ่งชี้ชัดเจนถึงความบาปผิดสิ้นหวังของมนุษย์เท่านั้น   แต่พระคัมภีร์ประกาศถึงข่าวดีในชีวิตของมนุษย์ว่า   เมื่อชีวิตของเราจนตรอกหาทางออกจากการถูกครอบงำจากอำนาจแห่งความบาปไม่ได้นั้น   พระเจ้าทรงกระทำทุกหนทางด้วยความรักเมตตาของพระองค์เพื่อกอบกู้เราให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความชั่วร้ายเหล่านั้น   และนี่มิใช่สิ่งที่มีในพระคัมภีร์เท่านั้น   แต่เป็นจริงรูปธรรมในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนในทุกวันนี้ด้วย

“แต่เพราะพระองค์ทรงอภัยโทษ   พระองค์จึงทรงเป็นที่ยำเกรง” (ข้อ 4 อมตธรรม)

สัจจะความจริงก็คือว่า   พระคัมภีร์มิใช่ต้องการสร้างบาดแผลเจ็บปวดจนสิ้นหวังในชีวิตจิตใจและไม่ต้องการทำลายในความภาคภูมิใจของมนุษย์   แต่พระวจนะในพระคัมภีร์พูดความจริงอย่างมิได้อ้อมค้อมปิดบังเพื่อกระตุ้นต่อมสำนึกของเราให้ตระหนักชัดว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะมีชีวิตด้วยการยืนหยัดบนกำลังความสามารถด้วยตนเองเท่านั้น   ถ้าชีวิตมนุษย์มิได้ปกป้องคุ้มครองโดยพระเจ้า   ก็ต้องครอบงำด้วยอำนาจของความบาปผิด   และอำนาจแห่งความบาปผิดมักจะหลอกล่อมนุษย์ให้มีความคิดว่าตนเองสามารถกระทำความสำเร็จได้ด้วยตนเอง  แต่ทั้งสิ้นนี้เป็นความสำเร็จตามใจปรารถนาแห่งตนเอง และใจปรารถนานั้นถูกกำกับควบคุมทางความคิดความรู้สึกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วในรูปแบบต่างๆ

แต่พระเจ้าทรงทราบถึงจุดอ่อนในชีวิตของมนุษย์  ยิ่งกว่านั้นทรงมีพระทัยเมตตายอมรับมนุษย์ตามสภาพที่แต่ละคนเป็นอยู่  พร้อมทรงกระทำพระราชกิจในการทรงช่วยกอบกู้มนุษย์ด้วยพระองค์เอง    พระองค์ทรงยอมสละสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของพระองค์เพื่อเปิดโอกาสใหม่แก่มนุษย์   ที่มนุษย์จะสามารถเลือกว่าจะยังพึ่งตนเองเท่านั้น   หรือจะเลือกการทรงช่วยกอบกู้จากพระองค์   มีโอกาสที่จะเลือกดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ หรือ เลือกที่จะใช้ชีวิตในการไล่ล่าความปรารถนาของตนเอง

ดังนั้น ที่มนุษย์ยกย่องยำเกรงพระเจ้ามิใช่เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจเหนือมนุษย์ หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์  แต่ที่เรายำเกรงพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงเมตตาและทุ่มทั้งชีวิตเพื่อเรา พระองค์ทรงให้โอกาสชีวิตแก่เรา ทรงอยู่ใกล้เคียงข้างคลุกคลีท่ามกลางสถานการณ์ชีวิตของเรา   และทรงหนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิตแก่เราในยามอ่อนแอ   ให้สามารถมุ่งไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเราตามพระประสงค์ของพระองค์

ในวันนี้   ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา   โปรดอย่าลืมว่า  พระเจ้าทรงดำเนินเคียงข้างชีวิตของเรา   ทรงอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ชีวิตเดียวกับเรา   เวลาใดที่เรารู้ตัวว่า  เราไม่สามารถพึ่งกำลังความสามารถของเราเอง   โปรดตระหนักชัดว่า  พระองค์พร้อมที่จะชี้นำ  หนุนเสริมเพิ่มพลังชีวิต   และบากบั่นเคียงข้างไปกับเรา   จนกว่าเราจะถึงหลักชัย   หลักชัยชีวิตมิใช่เราสามารถฟันฝ่าอุปสรรค  ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ   แต่หลักชัยในวันนี้ของเราคือ   เมื่อประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว   เราได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงพระคุณ และ พระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนมากมายยิ่งขึ้น  

ข้าแต่พระเจ้า  ในวันนี้เวลาใดที่ข้าพระองค์มีชีวิตและกระทำสิ่งใดที่ปราศจากพระองค์แล้ว   ข้าพระองค์จะประสบกับภาวะที่สิ้นความหวังหมดคุณค่า  ข้าพระองค์ขอน้อมกายถ่อมจิตลงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์  ด้วยความสำนึกในพระคุณของพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียม  ชี้นำ  และทรงกระทำเพื่อข้าพระองค์  อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น