ถอดบทเรียนการสืบราชบัลลังก์ราชวงศ์ดาวิด(ตอนต้น)
ระบบผู้นำแบบอนุรักษ์นิยม
ที่ผู้เป็นพ่อแม่จะพยายาม “ดัน” หรือ “รักษา”
ตำแหน่งผู้นำไว้ให้ลูกของตนสืบต่อการเป็นผู้นำต่อจากตน เป็นเหมือนมรดกของตระกูลที่ส่งทอดจากพ่อสู่ลูก บ่อยครั้ง ที่เราพบว่าเป็นระบบการกำหนดผู้นำที่อ่อนแอ
เป็นพิษร้าย และ สร้างความแตกแยกฉีกขาดในองค์กร อีกทั้งเป็นการทำลายให้เกิดหายนะแก่ผู้สืบทอดอำนาจเองด้วย
บทเรียนอันล้ำค่าที่แสนเจ็บปวดยิ่งเกี่ยวกับราชบัลลังก์ราชวงศ์ดาวิดที่เราท่านปัจจุบันควรเรียนรู้ เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับการปกครอง
บริหารจัดการ ครอบครัว คริสตจักรในระดับต่าง ๆ และ องค์กรคริสตชนของเรา
เมื่อโซโลมอน
เป็นผู้ปกครองในราชวงศ์ดาวิดรุ่นที่สอง เขาเริ่มต้นความรับผิดชอบในการปกครองด้วยการ
“รับตำแหน่ง” การเป็นกษัตริย์ ที่กษัตริย์ดาวิดใช้เกือบทั้งชีวิตในการต่อสู้ ปลุกปล้ำให้ได้มาด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย ใจ
และจิตวิญญาณ เรียกว่าต้องเอาชีวิตเข้าแลกด้วยความยากลำบากและอันตรายยิ่ง น่าสังเกตว่า
โซโลมอนไม่มีประสบการณ์เหล่านั้นในการที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ แต่กลับมีสิทธิอำนาจจากตำแหน่งที่เป็นอำนาจอยู่ในมือของเขา
ใช่ครับ โซโลมอนเถลิงอำนาจและราชสมบัติด้วยการมี
“อภิสิทธิ์” หรือ “สิทธิพิเศษ” ที่สืบต่อสันตติวงศ์ราชวงศ์ดาวิด และนี่คือสิ่งที่หอมหวานยั่วยวนสำหรับหลายต่อหลายคนที่อยากได้
“สิทธิพิเศษ” นี้ แต่คนอื่นไม่ได้ เพราะดาวิดบ่งชี้คนที่จะสืบราชอำนาจของตนคือโซโลมอน
กษัตริย์ดาวิดทุ่มเทเกือบทั้งชีวิตเพื่อสร้างชุมชนชาติประชากรของพระเจ้า
ในทุกวิกฤติที่ผ่านมา
ดาวิดเกือบเอาชีวิตตนไม่รอด ถ้ามิใช่เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทรงหนุนนำเขาในการปกครอง
และ ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมาย ก็จะไม่ประสบความเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้
แต่โซโลมอน ขึ้นมาครองราชย์ด้วยอำนาจส่งต่อมาจากพ่อ(ดาวิด)
แต่น่าเสียดาย เขาใช้สิทธิพิเศษที่เขาได้รับจากพ่อ เพื่อเสริมสร้างอำนาจ ชื่อเสียง
เกียรติยศ และความยิ่งใหญ่ของตนเอง
โซโลมอนแสวงหาชื่อเสียงท่ามกลางนานาประเทศ
เขาอวดวัง อวดสมบัติกับผู้นำชาติอื่น เขาไม่ได้มีชีวิตที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยจริงใจ
เพราะการสร้างชื่อเสียง
เกียรติยศ และความยิ่งใหญ่ของตนเองต้องใช้ทรัพย์สินและแรงงานจำนวนมหาศาล การรีดภาษีจากประชาชนจึงรุนแรงขึ้น
การเกณฑ์แรงงานจากบางเผ่ากระทำอย่างอคติและเห็นแก่ตัว ประชาชนส่วนหนึ่งได้รับความทุกข์อย่างมากจากการกระทำที่เห็นแก่ตัวของโซโลมอน
เมื่อสิ้นโซโลมอน คนในครอบครัว
คนในตระกูลที่มาสืบต่ออำนาจคือ เรโหโบอัม (รุ่นที่สามในราชวงศ์ดาวิด)
ก็ขึ้นครองอำนาจต่อจากโซโลมอน ประชาชนกลุ่มที่ถูกกดขี่จากการปกครองของโซโลมอน ยกพวกมาร้องเรียน
เรโหโบอัม ขอให้ลดการกดขี่ทั้งด้านภาษี และ เกณฑ์แรงงาน (ดู พงศ์กษัตริย์ บทที่ 12 โดยเฉพาะข้อ 8
และ 14)
เรโหโบอัม ที่ขึ้นมาเสวยอำนาจ
และใช้สิทธิพิเศษในฐานะลูกกษัตริย์ที่สืบต่ออำนาจที่ไม่รู้รสชาติความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของการช่วยกันสร้างชาติ
คนที่ไม่รู้รสชาติความเจ็บปวดขมขื่นของการถูกกดขี่ แทนที่จะเรียนรู้จากคำแนะนำของผู้มีปัญญา
แต่เขากลับไปฟังคำแนะนำจากพวกที่ “เชลียร์”
“สอพลอ” เอาใจเขา คือพวกคนหนุ่มที่กำลังฮึกเหิมกับการใช้สิทธิอำนาจพิเศษของคนสืบสันตติวงศ์อย่างเรโหโบอัม
ผลที่เกิดขึ้นคือ ประเทศนี้แตกหัก
แยกการปกครองออกเป็นสองอาณาจักร อาณาจักรเหนือเป็นอาณาจักรอิสราเอล ซึ่งก็คือกลุ่มที่แยกตัวออกไปจากการปกครองของเรโหโบอัม
อาณาจักรใต้ ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรยูดาห์
มีเรโหโบอัมเป็นกษัตริย์ปกครอง
และนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความหายนะเสื่อมทรามล่มสลายลงของแผ่นดินอิสราเอลและยูดาห์และอิสราเอล
จนต้องตกไปเป็นเชลยศึกในบาบิโลนในที่สุด
ในวงการคริสตจักรเรา ไม่ควรมีการสืบทอดอำนาจ
หรือ การปกครองโดยระบบตระกูล พรรคพวก
เพราะระบบผู้นำแบบนี้ไม่มีการเสริมสร้างภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพที่จะขึ้นไปนำและพัฒนาองค์กร
แต่เป็นผู้นำที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจ ตามใจปรารถนามากกว่า
ผู้นำที่เถลิงขึ้นมามีอำนาจในระบบนี้
เขาสนใจแต่การยึดครองตำแหน่งเพื่อมีอำนาจ แต่มิได้ใส่ใจเสริมสร้างภาวะผู้นำและประสิทธิภาพในการนำแก่ผู้สืบทอดอำนาจ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น