พระเจ้ามิได้ใช้คนที่มีแต่วิสัยทัศน์หรือนิมิตเท่านั้น
แต่พระองค์ใช้คนที่ลงมือทำตามวิสัยทัศน์ และแน่นอนว่า
เมื่อเราลงมือเริ่มทำตามวิสัยทัศน์ เรามักพบกับอุปสรรค ปัญหา
และที่สำคัญที่หลายคนกลัวคือ “เสี่ยงต่อความล้มเหลว”
คนลักษณะที่สองที่พระเจ้าทรงใช้คือ คนที่รู้อยู่แก่ใจว่า
เขาต้องพบกับอุปสรรค ปัญหา และเสี่ยงที่จะล้มเหลว แต่เขายังยืนหยัดก้าวต่อไปด้วยความไว้วางใจว่า
พระเจ้าจะทรงนำ พระเจ้าเคียงข้างเขาไปในทุกที่ทุกสถานการณ์ เขาเชื่อในพระสัญญาครับ
พระเจ้ามิได้ใช้เพียงคนที่มีนิมิต/วิสัยทัศน์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่เท่านั้น
แต่คน ๆ นั้นต้องเต็มใจที่จะเสี่ยงกับความล้มเหลวในชีวิตในการขับเคลื่อนมุ่งสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว
นั่นหมายความว่า เขาวางความเสี่ยงที่จะล้มเหลว-ล้มลงบนเส้นทาง-กระบวนการมุ่งสู่เป้าหมายตามวิสัยทัศน์นั้นด้วย
ดังคำโบราณกล่าวว่า
“เจ้าเต่าจะเดินก้าวไปข้างหน้าได้ก็ต่อเมื่อมันต้องกล้าเสี่ยงยื่นหัวออกจากกระดองของมันเท่านั้น”
วิสัยทัศน์/นิมิต
จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าปราศจากความเสี่ยง ถ้าเราต้องการเป็นคนที่พระเจ้าใช้
เราต้องการรับใช้พระองค์ เราต้องเรียนรู้ที่จะเสี่ยง
ในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ (ดู มัทธิว 25:14-27) คนใช้สองคนแรกนำเงินที่เจ้านายให้แม้จะมีจำนวนที่แตกต่างกัน
แต่ทั้งสองก็สามารถนำไปลงทุนจนได้กำไรอีกเท่าตัว นายจึงกล่าวแก่คนรับใช้ทั้งสองว่า
“...เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์...”
แต่คนใช้คนที่สามที่ได้นำเงินที่เจ้านายให้ไปฝังดินเสีย
เพราะไม่กล้าเสี่ยงกลัวจะขาดทุน แต่ยังมีหน้ามารายงานว่า
เงินที่นายฝากให้ดูแลนั้นมีอยู่ครบถ้วน แต่นายตอบคนใช้คนที่สามว่า “ไอ้บ่าวเลวแสนขี้เกียจ!...”
บ่าวที่ไม่มีความสัตย์ซื่อในความรับผิดชอบต่อเงินที่นายได้มอบหมายไว้ เพราะสิ่งที่นายฝากไว้คาดหวังว่า
ต้องการให้เขานำไปลงทุนให้เกิดประโยชน์
แต่เขากลับเอาไปฝังซ่อนไว้ในดิน แล้วยังมีหน้ามาบอกเจ้านายว่า
เงินทุกบาททุกสตางค์ยังอยู่ครบ
แต่นายบอกว่า ถ้าเขากลัวขาดทุนเขาควร “เอาเงินของเราไปฝากกับนายธนาคาร
เมื่อเรามาก็จะได้รับเงินทั้งดอกเบี้ยด้วย” ในที่นี้กำลังบอกเราว่า คนรับใช้ที่สัตย์ซื่อในที่นี้หมายถึง
สัตย์ซื่อในความรับผิดชอบที่ตนได้รับ และการที่จะมีความสัตย์ซื่อในความรับผิดชอบย่อมรวมถึงต้องกล้าที่จะเสี่ยงด้วย
ถ้าเราไม่ยอมรับความเสี่ยงในพันธกิจที่เราทำ เราก็ไม่เข้าใจถึงความสัตย์ซื่อในการทำพันธกิจใด
ๆ ที่พระเจ้าทรงเรียก หรือ ทรงมอบหมายให้เราทำ
เพราะถ้าไม่มีความเสี่ยงเราก็ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อศรัทธา เราต้องมีความเชื่อศรัทธาเพราะพันธกิจที่เราได้รับมอบหมายมีความเสี่ยงสูงมาก
และในเวลาเดียวกันพระเจ้าประสงค์ที่จะใช้ประสบการณ์ในการรับมือกับความเสี่ยงนั้นเสริมสร้างศรัทธาของเราในพระองค์ที่มั่นคง
แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ยิ่งเสี่ยงสูงศรัทธายิ่งมีโอกาสที่จะเข้มแข็งมาก
สิ่งที่ท้าทายเหล่านี้
เราไม่สามารถรับมือจัดการให้สำเร็จด้วยพลังความสามารถของเราเองได้ใช่ไหม? หลายเรื่องหลายประเด็นในงานพันธกิจคริสตจักรที่เราอธิบายไม่ได้ นอกจากต้องพึ่งในพลังที่ทรงอานุภาพจากพระเจ้าเท่านั้น
ให้เรากล้าที่จะก้าวเข้าไปในกระบวนการของพันธกิจนั้น แล้วก้าวเดินไปทีละก้าวกับพระเยซูคริสต์ ประสบการณ์นี้จะสอนและเสริมความเชื่อศรัทธาของเราว่า พระเจ้ากำลังกระทำพระราชกิจของพระองค์ในงานพันธกิจที่เรารับผิดชอบ
อย่ากลัวที่จะเสี่ยงจนไม่กล้าทำอะไร กลัวจนหัวหดอยู่ในกระดอง? หรือ
ไม่ก็เป็นผู้นำที่เอาตัวรอด เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น อะไรต้องเสี่ยง “เว้น”
“หลีก” “หลบ” เสีย?
เมื่อเรากล้าที่จะก้าวออกไปกับพระคริสต์ในกระบวนพันธกิจทีละก้าว
เราจะพบและเริ่มการเรียนรู้ว่า พระคริสต์ทำให้เกิดผลได้
ผู้นำแบบนี้ต่างหากที่พระเจ้าทรงใช้!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น