พระเยซูตรัสว่า
“จงตามเรามาเถิด แล้วเราจะส่งท่านให้ออกไปเป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”
(มาระโก 1:17 สมช.)
ในวัฒนธรรมสังคมยิวในสมัยพระเยซูคริสต์
การที่ใครจะเป็นสาวกของใครนั้น คน ๆ นั้นเป็นคนที่ตัดสินใจว่า ตนจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะติดตามและเป็นลูกศิษย์
หรือ เป็นสาวกของใคร แล้วเข้าไปสมัครฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์คนนั้น อาจารย์ท่านนั้นอาจจะพิจารณา
หรือ ทดสอบดูและตัดสินใจว่าจะรับคน ๆ นั้นมาเป็นศิษย์ หรือ สาวกของตนหรือไม่ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมตะวันออกในสมัยก่อน
เช่น จีน อินเดีย และ ไทยเรา
แต่พระเยซูคริสต์กลับกระทำปฏิบัติสวนกระแสกับวัฒนธรรมในสังคมยิวสมัยนั้น พระองค์เป็นผู้ริเริ่มว่า พระองค์จะเป็นผู้เลือกและเรียกใครให้มาติดตามเป็นสาวกของพระองค์ และพระเยซูคริสต์ยังใช้กระบวนการเลือกสรรสาวกวิธีเดียวกันนี้กับการทรงเลือกและเรียกผู้คนในสมัยปัจจุบันให้มาติดตามและเป็นสาวกของพระองค์
แต่คริสตชนส่วนมากในปัจจุบันมักคิดว่า การเป็นคริสตชนเป็นเรื่องของแต่ละคนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าตนจะเชื่อในพระเยซูคริสต์
และคำสอนของพระองค์ไหม และก็มีส่วนเป็นความจริงอยู่บ้าง (ไม่เถียง?)
แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง พระคริสต์ทรงเป็นผู้เรียกและเลือกเรา
การที่เราเป็นของพระเยซูคริสต์เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้แสวงหาเราก่อน ทรงฉุดช่วยเราออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่ว ด้วยความรักและพระคุณ แล้วพระองค์ทรงเสริมสร้างเราให้มีความเชื่อศรัทธา
จากนั้น เปลี่ยนแปลง เสริมสร้างให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราให้ตอบสนองสอดคล้องต่อความเชื่อศรัทธาของเราในพระองค์
เป็นการดำเนินชีวิตประจำวันที่ตอบสนองต่อจุดประสงค์แห่งการทรงเลือกและการทรงเรียกของพระคริสต์
ดังนั้น การเป็นคริสตชน จึงมิใช่ เราเป็นผู้ริเริ่มที่จะตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วยอมรับบัพติสมา และหลายคนเข้าใจผิดพลาดว่า ตนได้เป็นคริสตชนที่ได้รับความรอดที่สมบูรณ์แล้ว
กระบวนการนี้คริสตจักรจึงได้สมาชิกมาเป็นคริสตชนที่ด้อยประสิทธิภาพ และ ไร้คุณภาพ เพราะเราจะพบว่า
หลังจากการรับบัพติสมาแล้ว เขาก็เป็น “คริสตชนที่มีชีวิตเดิม ๆ” ที่ปฏิบัติศาสนกิจ/พิธีตามวัฒนธรรมปฏิบัติของคริสตจักรเท่านั้น?
หัวใจ หรือ แก่นหลักของข่าวประเสริฐ หรือ
พระกิตติคุณคือ แผ่นดินของพระเจ้ามาแล้ว
และกำลังค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น การครอบครอง ปกครอง และ
การปกป้องของพระเจ้าเกิดขึ้นเป็นจริงแล้วบนแผ่นดินโลกนี้ และกำลังขยายแผ่กว้างออกไป
และพระคริสต์ได้เลือกและเรียกแต่ละคนให้ติดตามพระองค์ไปในชีวิตประจำวัน พร้อมกันนั้นพระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแปลง
เสริมสร้าง หนุนเสริมชีวิตที่ติดตามพระองค์ของเราแต่ละคน เพื่อที่แต่ละคนจะสานต่อร่วมงานในพระราชกิจแผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์ได้เริ่มต้นสถาปนาแล้ว
และยังดำเนินการต่อไปร่วมกับสาวกทุกคนที่ติดตามพระองค์
ถ้าเราสำนึกในพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์เป็นผู้ที่แสวงหาเราก่อน
เป็นผู้ทุ่มทั้งชีวิตของพระองค์มากอบกู้ฉุดช่วยเราให้หลุดรอดปลอดภัยจากอำนาจของมารร้าย
แล้วยังเสริมสร้างชีวิตทุกมิติของเราขึ้นใหม่ และให้เกียรติแก่เราแต่ละคนที่จะเป็นผู้สานต่อพระราชกิจของพระคริสต์บนโลกนี้ร่วมกับพระองค์
และสาวกคนอื่น ๆ ที่ติดตามพระองค์ การตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระคริสต์ และ
พระคุณของพระองค์จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราต้องสัตย์ซื่อในชีวิตฐานะสาวกของพระคริสต์
การสร้างสาวกเป็นพระราชกิจที่พระคริสต์ริเริ่มตามแบบของพระองค์
และยังกำลังสร้างสาวกของพระองค์ในปัจจุบัน แล้วชวนคริสตจักรมาเข้าร่วมในพระราชกิจนี้
ดังนั้น เราจึงไม่สร้างสาวกตามแบบ/วิธีที่เราต้องการ แต่ตามกระบวนการสร้างสาวกของพระคริสต์
คำถามที่สำคัญตอนนี้คือ ตัวเราเองได้รับการทรงสร้างให้เป็นสาวกพระคริสต์แล้วหรือยัง?
และถ้าเรายังไม่ได้รับการทรงสร้าง แล้วเราจะร่วมสร้างสาวกพระคริสต์ได้อย่างไร?
เพื่อในสวรรค์เป็นอย่างไร ให้เป็นเช่นนั้นบนแผ่นดินโลก!
ตามพระประสงค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น