เมื่อครั้งพระคริสต์ทรงเรียกซีโมน(เปโตร)และแอนดรูว์
พระองค์ทรงเรียกเขา “จงตามเรามาเถิด” โปรดสังเกตว่า
พระคริสต์ไม่ได้เรียกเขาทั้งสองให้ “จงเชื่อศรัทธาในเรา” แน่นอนครับ
ทั้งสองจะไม่ตามพระองค์ไปถ้าเขามิได้เชื่อและเห็นว่า
พระเยซูคริสต์มีคุณค่าเพียงพอที่เขาจะติดตามพระองค์
เมื่ออ่านพระคัมภีร์ตอนนี้เราจะอ่านด้วยความระมัดระวัง
ที่พระองค์เรียกให้ทั้งสองติดตามพระองค์มิใช่เรียกให้พวกเขามา “เชื่อ” พระองค์
แต่พระองค์ชวนเขาให้มาร่วม “ปฏิบัติการ” กับพระองค์ และจากประสบการณ์ที่เขาได้รับเมื่ออยู่กับพระองค์ต่างหากที่ทำให้เขา
“เชื่อวางใจ” ในพระเยซูคริสต์
การติดตามพระคริสต์ตามการทรงเรียกของพระองค์ มิใช่การตอบสนองการทรงเรียกเพียง
“เชื่อในพระองค์” แล้วกลับไปหาปลา และ ใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ และในวันนี้พระองค์ทรงเรียกเราแต่ละคนให้
“ตามพระองค์ไป” มิใช่มาเรียนรู้เรื่องราวการทรงเรียก และคำสอนของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ทรงเรียกเรา
โดยมีพระประสงค์ให้เรา “ปฏิบัติการ” ในพระราชกิจที่ต้องการให้เราทำ
ในที่นี้ผมไม่มีเจตนาที่จะลดคุณค่าสำคัญของเรื่องความเชื่อ
และ การรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์ หรือการที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ การที่แต่ละคนจะเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงเป็นพระผู้ช่วยเราเป็นเรื่องสำคัญ
และส่วนต่อไปก็สำคัญด้วยเช่นกันคือ เมื่อพระองค์กอบกู้ไถ่ถอนเราให้หลุดรอดจากอำนาจบาปชั่วของมารร้ายแล้ว
พระองค์ต้องการเข้ามาในชีวิตของเราเพื่อเปลี่ยนแปลง ฟื้นฟู และเสริมสร้างชีวิตของเราใหม่ให้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องตามพระประสงค์
ปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อของคริสตชนในปัจจุบันคือ
เราให้ความสำคัญของพระกิตติคุณเพียงส่วนแรกคือ การได้รับการกอบกู้ฉุดช่วยออกจากความบาปเท่านั้น
แต่ไม่ใส่ใจส่วนต่อจากนั้นคือการรับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตขึ้นใหม่จากพระคริสต์
เราแยก “ความเชื่อ” ออกจาก
“ชีวิตและการปฏิบัติ”
ทั้งสองเป็นเรื่องต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
แยกขาดจากกันไม่ได้ ดังนั้น คริสตชนไทยปัจจุบันจึงมีแต่ “ความเชื่อ” แต่ขาดการ “เปลี่ยนแปลงในชีวิต และ
การดำเนินชีวิต” ตามความเชื่อที่มีอยู่
เมื่อชีวิตไม่มี “ความเชื่อที่มีพลังปฏิบัติการในชีวิต” ชีวิตคริสตชนจึง “เหมือนเดิม” เปลี่ยนแต่ศาสนา
หรือ หลักการความเชื่อเท่านั้น แต่ต้องบอกตรงไปตรงมาว่า
“ความเชื่อแบบนี้” สวนกระแสกับพระประสงค์ของพระคริสต์ เพราะคริสตชนคนนั้นมิสามารถที่จะตอบสนองจุดประสงค์ของการทรงเรียก
กลายเป็นคริสตชนที่ “ง่อยเปลี้ยเสียขา”
พระคริสต์มิได้ทรงเรียกเราเพียงเพื่อให้เราเชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น
แต่ทรงเรียกเราให้ไว้วางใจพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจของเรา สารภาพความบาปผิดของเรา รับการอภัยโทษโดยทางพระคุณของพระองค์ แล้วรับการทรงเสริมสร้างชีวิตเราขึ้นใหม่ตามพระประสงค์
เพื่อชีวิตของเราจะมีพลังขับเคลื่อนตอบสนองพระประสงค์ของพระคริสต์
พระคริสต์มิได้ทรงเรียกเราเพียงเพื่อเราจะเชื่อว่า
พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
แต่พระองค์ทรงเรียกเราให้ยอมรับว่า พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา
ที่เราจะต้องมอบกายถวายทั้งชีวิตและดวงจิตให้กับพระองค์
พระองค์ทรงเรียกสาวกในชุดแรกเช่นไร พระองค์ก็ ทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์ไปในชีวิตประจำวัน
ในวันนี้ เราไม่มีโอกาสที่จะเดินตามพระเยซูคริสต์เฉกเช่นสาวกรุ่นแรก
แต่เราได้รับสิทธิพิเศษที่จะเดินติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวัน ในทุกสถานการณ์ที่เราเผชิญในวันนี้และแต่ละวัน ทั้งในชีวิตครอบครัว ในชีวิตการงาน ในความเป็นประชาชนไทยของเรา ในชีวิตคริสตจักร ในทุกมิติชีวิตของเราครับ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น