ที่เรามาเป็นศิษยาภิบาล และ ผู้นำในด้านพันธกิจเพราะเรารักพระเจ้า และ รักมนุษย์ เรารักคนที่มาร่วมกันในคริสตจักรของเรา
ประเด็นปัญหา และ
อันตรายในการทำงาน “เพื่อพระเจ้า” คือ
เมื่อเราเริ่มมีความคิดว่าในการทำงานเพื่อพระองค์เราไม่จำเป็นต้องมี
“พระคุณพระเจ้า” ที่เราเทศนาและสั่งสอนในคริสตจักร กล่าวคือเรามุ่งที่จะทำด้วยกำลังชีวิตของตนเอง
มิได้สำนึกถึงการที่ “พระเจ้ากระทำเพื่อชีวิตของเรา” แย่กว่านั้น เรากลับคิดไปว่า
“เรากำลังทำเพื่อพระเจ้า”
ในข้อเขียนนี้ได้กล่าวถึงขั้นตอนที่
4 และ 5 ในความมุ่งมั่น 5 ขั้นตอนของผู้นำคริสตจักร
4. มุ่งมั่นทุ่มเทใส่ใจชีวิตจิตวิญญาณตน
การใส่ใจต่อจิตวิญญาณนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อสุขภาพในทุกด้านของเรา
สุขภาพทางจิตใจ จิตวิญญาณ อารมณ์ และ ด้านร่างกาย การที่เราเอาใจใส่ต่อ
“วันสะบาโต” เป็นประจำในแต่ละสัปดาห์นั้นทำให้เรามีเวลาโอกาสในการเติมพลังชีวิต ทำให้ชีวิตจิตวิญญาณกลับมีความสุขสดชื่น
นั่นหมายความว่าเรามีเวลาที่จะพักผ่อน
ความเงียบสงบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการดูแลใส่ใจชีวิตด้านจิตวิญญาณ
เครื่องมือสื่อสารที่สะดวกรวดเร็วและทันสมัยทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไปทุก ๆ ที่กับเรา
ทุกที่มีเสียงดัง
เราสูญเสียวินัยชีวิตในความเงียบ ที่เราจะฟังเสียงจากพระเจ้า
ขอย้ำว่า...มิใช่ที่เราจะพูดกับพระเจ้าเท่านั้น
แต่ที่เราจะมีโอกาสที่จะฟังพระเจ้าด้วย
การอยู่โดดเดี่ยว การอยู่กับตนเองก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
ผมชอบที่จะไปเดินตัวคนเดียวทั้งเช้าและเย็น ในเวลาเช่นนั้นผมต้องการมีประสบการณ์ของการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า
การเติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์ต้องการเวลาของชีวิต
เมื่อเราได้รับการทรงสร้างใหม่ เราเริ่มรับการเสริมสร้างที่แก่นหลักของชีวิต แต่ในชีวิตของเรายังมีร่องรอยแผลเป็นของวิถีชีวิตเก่า
ที่วันดีคืนดีถ้ามันได้โอกาสก็จะกลับมาหลอกล่อและหลอกลวงเรา
แผลเป็นนั้นอาจจะอักเสบ และบ่มหนองได้
พระเจ้าใช้เวลาไม่มากนักที่จะนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์
แต่ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตที่จะขจัด “ความเป็นอียิปต์” ออกไปจากชีวิตของอิสราเอล
เรามีผู้นำคริสตจักร
และ ผู้นำบรรดาสมาชิกรับใช้ในคริสตจักร และ ในพันธกิจที่เราสามารถไว้วางใจได้ไหม? ผู้นำในคริสตจักรไม่ได้เป็นผู้เข้มแข็งตลอดกาล
การแสดงออกถึงความอ่อนแอหรือความเปราะบางของผู้นำเป็นเรื่องปกติ
ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เท่านั้น แต่เป็นการดีเหมาะสมที่จะแสดงออกเช่นนั้นด้วยความจริงใจ
5. มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนจากสมาชิกที่คอย
“รับ” ไปเป็นสาวกพระคริสต์ที่ “ให้และมีส่วนร่วม”
ดูเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมของคริสตจักรในบ้านเมืองเรา
ที่ผู้นำคริสตจักรคิดและรู้สึกว่า
หน้าที่ของบรรดาผู้นำคือการตอบสนองความจำเป็นต้องการของสมาชิกในคริสตจักร แต่พระเจ้าทรงเตรียมทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ให้เป็นตัวแทนแห่งพระราชกิจของการทรงกอบกู้ไถ่ถอนสังคมโลก
ที่กล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าสมาชิกทุกคนในคริสตจักรจะต้องเป็นผู้นำในงานพันธกิจใดพันธกิจหนึ่ง
แต่ผู้นำคริสตจักรมีหน้าที่ในการเสริมสร้างโอกาส และ
ช่องทางให้สมาชิกแต่ละคนสามารถเข้าร่วมพันธกิจนของพระคริสต์ตามเวลา
ตะลันต์ความสามารถ และ ทรัพยากรตามที่แต่ละคนมีอยู่
ตัวอย่างเช่น การที่หนุนเสริมให้สมาชิกที่จะให้สิ่งที่เป็นความจำเป็นต้องการของชุมชน
เช่น ด้วยการที่คริสตจักรของเราเข้าไปมีส่วนร่วมงานกับโรงเรียนในชุมชน หรือการมีส่วนร่วมในการจัดหาสิ่งที่โรงเรียนจำเป็นต้องมี
หรือ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอน
นี่มิใช่การช่วยเหลือวัตถุสิ่งของสำหรับเด็ก
ๆ ที่ไม่สามารถมีได้เท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยเหลือลูกหลานของสมาชิกคริสตจักรที่เรียนในโรงเรียนนั้นด้วย
ไม่ว่าคนในชุมชนจะมีจิตวิญญาณหรือความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่นี่เป็นการที่สมาชิกคริสตจักรมีส่วนร่วมในงานแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในชุมชน
แม้บางครั้งจะดูเหมือนว่าคริสตจักรมีส่วนร่วมด้วยสิ่งของวัสดุเครื่องใช้ทางการศึกษาเพียงน้อยนิดก็ตาม
ตอนท้ายของการเทศนาของทุกอาทิตย์
หรือ ในช่วงท้ายของการนมัสการทุกครั้ง ศิษยาภิบาลจะกล่าวในทำนองว่า ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์
ศิษยาภิบาลขอส่งทุกท่านกลับไปยังครอบครัว ที่ทำงาน และชุมชน หรือในที่ที่สมาชิกจะใช้เวลาและชีวิตของเขาตลอดอาทิตย์ข้างหน้า
เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในที่เหล่านั้น