1. ปฏิเสธตนเองก่อน...แล้วจึงจะยกกางเขนตนขึ้นแบก
พระเยซูคริสต์บอกเราว่า
ให้เราแบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ไป เป็นคำบอกที่ชัดเจน แต่จะเป็นชีวิตจริง การกระทำจริงอย่างไรในชีวิตประจำวันของเราครับ?
ปฏิเสธตนเองก่อน...แล้วจึงจะยกกางเขนตนขึ้นแบก
ก่อนที่เราจะยกกางเขนของตนขึ้นแบก สิ่งก่อนหน้านี้ที่สำคัญคือ
เราต้องปฏิเสธตนเอง
มิเช่นนั้นแล้วเราจะไม่ยอมก้มโน้มตัวลงเพื่อที่จะยกกางเขนขึ้น จนกว่าความนึกคิดจิตใจของเรายอมที่จะปฏิเสธตนเอง
คือการที่เราปฏิเสธที่จะมีชีวิต/ดำเนินชีวิตตามแผนการชีวิตของเราเอง(ถ้ามี) หรือ ตามความคุ้นชินที่เราทำเป็นประจำ
เราไม่สามารถยอมรับให้พระคริสต์เป็นใหญ่เป็นเอก
เป็นต้น หรือ เป็นหลักแก่นในชีวิตประจำวันของเราจนกว่า ตนเองจะปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามแผนการของตนเอง
แต่ถ้าเวลาใดที่เราให้พระคริสต์เป็นเอก เป็นใหญ่
และเป็นเสาหลักในชีวิตประจำวันของเราอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว คนรอบข้างในชีวิตประจำวันของเราก็จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรา
แต่ขอเราเตรียมใจรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาคือ บางคนบางกลุ่มบางพวกจะปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเราต่อไป
เพราะเราไปยอมตนเป็นคนของพระคริสต์!
เพราะเพื่อนฝูง หรือ
คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา
การไม่ยอมรับของคนบางคนบางกลุ่มนี้ มิใช่เพราะเรามีเหตุผลที่แตกต่างกัน
แต่เพราะเรามีการมองที่แตกต่างกัน แต่ที่เรามองแตกต่างกันเพราะเป็นเรื่องของอิทธิพลจากกระแสสังคม
และ อำนาจมืดในโลกนี้ปิดบังตาของเขา ไม่ให้เห็นทางที่จะนำไปสู่ชีวิตใหม่ เปาโลกล่าวไว้ว่า
“3...ข่าวประเสริฐของเราถูกปิดบัง…ไว้จากบรรดาผู้กำลังจะพินาศ
4พระของยุคนี้ทำให้จิตใจของผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
เพื่อพวกเขาจะไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐ...” (2โครินธ์ 4:3-4 อมธ.)
ดังนั้น พวกนี้จึงปฏิเสธเรา เพราะเราปฏิเสธอิทธิพลและกระแสสังคมโลกตามอำนาจชั่วที่พยายามครอบงำโลกนี้อย่างสุดฤทธิ์ที่พวกเขายอมรับและชื่นชมอยู่
เขาจึงมองว่า เราเป็นคนละพวกกับเขา! และ
ที่สำคัญคือ อำนาจแห่งความบาปชั่วจะยังไม่ยอมปล่อยให้เราลอยนวลไปอยู่ใต้การครอบครองของพระเจ้า
มันจะกระทำทุกหนทางที่จะช่วงชิงเราจากพระเจ้าให้กลับไปอยู่ใต้อำนาจชั่วร้ายของมันใหม่!
เพียงถ้าวินาทีใดที่เราไม่เต็มใจที่จะปฏิเสธตนเอง
เพื่อที่จะมีชีวิตในพระคริสต์
เวลาเช่นนั้นก็จะลำบากและยากอย่างยิ่งที่เราจะแบกกางเขนตนตามพระคริสต์ไป อำนาจชั่วอำนาจเดิมที่เคยเป็นใหญ่ในตัวเราพยายามช่วงชิงเรากลับคืนจากพระคริสต์
(โรม 7:18-19)
ตราบใดที่เรายังไม่ยอม “ฌาปนกิจ” (“เผา” หรือ
“ฝัง”) ตัวเก่าชีวิตเก่าของเราก่อน “ฌาปนกิจ” ความตั้งใจของตนเอง การอยู่ตามความปรารถนาของตนเอง
ตามความอยากได้ใคร่มีของตนเอง... อย่าหวังว่าตนจะสามารถก้มลงยกกางเขนตนขึ้นแบก
และตามพระคริสต์ไปได้
นอกจากว่าเราจะ...ปฏิเสธตนเองก่อน จึงจะก้มตัวลงรับกางเขนตนแบกขึ้นได้ แล้วดำเนินชีวิตประจำวันตามพระคริสต์ไป!
2. แบกกางเขนของตน...
เราคนไทยในปัจจุบัน อ่านข้อความนี้แล้วคงไม่รู้สึกอะไรหนักหนา
แต่ถ้าเป็นสาวกของพระคริสต์ในเวลานั้นคงหนักอกหนักใจที่จะเป็นสาวกพระคริสต์และติดตามพระองค์ไป
เพราะมิใช่ให้เราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและติดตามพระคริสต์ไปเท่านั้น แต่ต้องแบกกางเขนของตน
พระคริสต์บอกสาวกใน มัทธิว 16:24 ว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเราให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง
รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา”
สาวกในสมัยพระเยซูคริสต์รู้ซึ้งเลยว่า กางเขน
มันคืออะไรกันแน่ กางเขนคือการถูกประหารชีวิตอย่างทรมานให้ตายอย่างช้า ๆ และถูกประจานว่าเป็นคนที่มีโทษฐานความผิดที่รุนแรง
เขาจะตรึงกางเขนในที่ที่มีผู้คนผ่านไปมามากมาย เพื่อจะ “เชือดเหยื่อ” สยบผู้คนให้เกิดความกลัวไม่คิดที่จะทำผิด/กบฏต่อการปกครองของโรมัน(ที่คนยิวเกลียดเข้ากระดูกดำ)และ
นี่คือกางเขนที่เราแต่ละคนต้องโน้มตัวคุกเข่าลงบนพื้นดิน
แล้วเอาบ่าข้างหนึ่งสอดเข้าใต้มุมของกางเขน แล้วพยายามออกแรงสุดกำลังดันตนเองที่ต้องรับน้ำหนักของไม้กางเขน
แล้วพยายามยันตนเองให้ยืนขึ้นให้ได้ แล้วค่อย ๆ เดินไปบนเส้นทางที่ถูกกำหนด คือแบกกางเขนนี้ติดตามพระคริสต์...ไปในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน
ที่แน่ ๆ มิใช่ใช้มือยกกางเขนขึ้นมาแล้วจับใส่บ่าของเรา เพราะแรงมือของเราเท่านั้นยกขึ้นไม่ไหว
(อย่าลืมว่า กางเขนไม่เหมือนกระเป๋าเดินทางที่มีหูหิ้ว หรือ ล้อลากอย่างสมัยนี้)
กางเขนของตน
พระเยซูบอกชัดว่า “กางเขนของตน”
นั่นหมายความว่าไม่มีใครที่จะแบก “กางเขนของเรา” แทนเราได้ ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง
เพื่อนฝูง คนใช้ หรือแม้แต่พระคริสต์ ดังนั้น พระองค์จึงบัญชาแต่ละคนว่า แบกกางเขนของตนติดตามพระองค์ไปทุกวัน
และพระคริสต์กล่าวชัดเจนอีกว่า “...ผู้ใดไม่รับกางเขนของตนแบกตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา” (มัทธิว
10:38 อมธ.)
พระคริสต์บอกเราแต่ละคนว่า “ให้แบกกางเขนของตน” เป็นกางเขนของเราแต่ละคน เป็นกางเขนที่แตกต่างกัน
จะไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะเอากางเขนตนไปเปรียบเทียบกับกางเขนคนอื่น ๆ และก็ไม่ควรเปรียบว่า
กางเขนใครสำคัญกว่ากัน เปาโลกล่าวในเรื่องนี้ไว้ใน 2โครินธ์ 10:12 ว่า “เพราะว่าเราไม่กล้า...เปรียบเทียบตัวเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง
แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดกันและกัน
และเอาตัวเองเปรียบเทียบกันและกันแล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเข้าใจ...” (มตฐ.)
ถ้าเราจะเป็นสาวกติดตามพระคริสต์ไป สิ่งแรกเราต้องทำคือ
โน้มตัวคุกเข่าลงบนดิน
เอาบ่าสอดเข้าที่มุมของกางเขน นั่นคือเราต้องยอมตนรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเรา
จากนั้นออกแรงทั้งสิ้นที่มีอยู่ในชีวิต ดันตัวและกางเขนที่พาดบนบ่าลุกขึ้นยืนให้ได้ จากนั้น ก้าวดินติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน
กางเขนของเราแต่ละคน ต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตน เช่น
บางคนตอนนี้กางเขนที่ต้องแบกคือ “ตกงาน” หรือบางคนถูกเพื่อนร่วมงานกล่าวร้ายใส่ความ
บางคนต้องทำงานกับเจ้านายที่ไม่เอาไหน บางคนต้องดูแลทีมงานที่มีเพื่อนร่วมทีมมากมาย
บางคนต้องทำงานภายใต้เจ้านายที่ฉ้อฉล กางเขนของบางคนคือการที่เขาต้องทำงานอย่างสัตย์ซื่อท่ามกลางผู้บริหารที่สร้างอำนาจผ่านพรรคพวกของตน
บางคนต้องพบกับความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ในครอบครัว บางคนต้องถูกให้ออกจากงาน/ออกจากตำแหน่ง
เพราะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อจนกระทบชื่อเสียงของผู้มีอำนาจ บ้างต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ไม่พึงพอใจ
เช่น ไปทำงานรถยางแบนกลางทาง ไปถึงที่ทำงานที่จอดรถของตนมีคนมาจอดแทน กลับถึงบ้านเครื่องซักผ้าพังซ่อมเองไม่ได้...นี่แหละครับคือกางเขนที่แต่ละคนต้องแบกไปในชีวิตแต่ละวัน
คำถามคือ แล้วเราแต่ละคนจะรับมือกับสถานการณ์กางเขนแห่งชีวิตประจำวันของตนเหล่านี้อย่างไรในฐานะสาวกของพระคริสต์?
3. แบกกางเขนของตน
ติดตามพระคริสต์ไป
ติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวัน
มีคนถามผมว่า ถ้าจะแบกกางเขนติดตามพระคริสต์ไป นั่นหมายความว่าเราต้องลาออกจากงานที่เราทำ
คุยกับครอบครัวให้ดูแลตนเอง ส่วนตนจะออกไปรับใช้พระเจ้า เราทุกคนต้องติดตามพระคริสต์เช่นนี้ไหม?
ความจริงก็คือว่า กางเขนของสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนนอกจากจะแตกต่างกันแล้ว
ยังแตกต่างจากกางเขนของศิษยาภิบาลอีกด้วย ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น
การที่เราจะติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวัน จึงมิใช่ต้องทำอย่างศิษยาภิบาล หรือ
คนอื่น ๆ
ที่สำคัญที่จะต้องเข้าใจในตอนนี้คือ กางเขนของเราแต่ละคนแตกต่างจากกางเขนพระคริสต์
แต่พระองค์เป็นแบบอย่างในการแบกกางเขนในชีวิตของเรา ดังนั้น เราแต่ละคนจะแบกกางเขนของตนตามแบบอย่างพระคริสต์
ด้วยจิตวิญญาณแบบพระองค์ และที่สำคัญคือด้วยพระกำลังจากพระองค์ผ่านการทำงานขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเราแต่ละคน
“แบกกางเขนของตนและตามพระคริสต์ไป” มิได้หมายความว่า จะต้องออกจากงานที่ทำ ออกจากบ้านทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง
หรือต้องปลีกตัวปลีกวิเวกออกจากสังคมไปสร้างชุมชนใหม่ของพวกตน แต่การแบกกางเขนของตนตามพระคริสต์ไปนั้น
เราแบกกางเขนของตัวเราเองตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวันแต่ละวัน เราแบกกางเขนของตนตามพระคริสต์เข้าไปในครอบครัว ในที่ทำงาน และในชุมชน และเราจะตระหนักชัดเสมอว่า
เราจะแบกกางเขนของตนด้วยจิตวิญญาณแบบพระเยซูคริสต์ แบกกางเขนด้วยฐานเชื่อและกรอบคิดแบบพระองค์
ด้วยพระกิตติคุณของพระองค์คือ รัก เมตตา และ ให้ชีวิตแก่ทุกคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยจิตวิญญาณแห่งการรับใช้
เพื่อคนนั้นจะมีโอกาสได้พบกับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ และ
นำเขาให้มาพบกับพระคริสต์เพื่อรับชีวิตใหม่จากพระองค์ ตามพระมหาบัญชา
วันนี้ท่านต้องแบกกางเขนของท่านในเรื่องอะไรครับ?
ท่านจะแบกอย่างไรที่สำแดงจิตวิญญาณแบบพระคริสต์ที่ผู้คนสามารถสัมผัสได้ครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น