อุปสรรคที่กีดขวางอันใหญ่ต่อการเจริญเติบโตของคริสตจักรในยุคนี้คือ
ความเชื่อเกี่ยวกับพระกิตติคุณพระคริสต์ของคริสตจักรถูกบิดเบือนจนผิดรูปผิดแบบจากที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งเกิดจากการเทศนาของคริสตจักร (และอีกส่วนที่คริสตจักรจำเป็นจะต้องพูดให้ชัดเจน แต่กลับไม่พูดถึงในการเทศนาของตน)
ขอตั้งข้อสังเกตว่า พระกิตติคุณพระเยซูคริสต์ที่เทศนาในประเทศที่พัฒนาแล้ว
เป็น “พระกิตติคุณของผู้บริโภค” ที่เน้นแต่เรื่องการอภัยโทษบาปเท่านั้น แต่ไม่พูดถึงชีวิตที่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงจากพระราชกิจของพระคริสต์ภายในชีวิตของแต่ละคน
ปัญหาของพระกิตติคุณประเภทนี้คือ เป็นการเสนอความจริงของพระกิตติคุณเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
และพระกิตติคุณขาดอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ส่วนอีกหลายประเทศที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ก็มีพระกิตติคุณที่บิดเบือนไปอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
จากที่สังเกตเห็น พระกิตติคุณคล้าย ๆ ของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ “พระกิตติคุณเพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย” ทำให้การเสริมสร้างสาวกพระคริสต์เกือบไม่สามารถสอนถึงหัวใจของพระกิตติคุณ
พระกิตติคุณประเภทนี้ทำให้คริสตชนทุกคนกลายเป็นผู้บริโภคสินค้าและบริการทางคริสต์ศาสนา
(ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน) และ การนมัสการเป็นการปลดปล่อยทางอารมณ์ (การบริการทางอารมณ์)
ไม่ว่าจะเป็นพระกิตติคุณที่เน้นเรื่องการอภัยโทษเท่านั้น
หรือ พระกิตติคุณแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย รวมถึงการสร้างสาวกให้เป็นอย่างที่ตนเชื่อในสองกลุ่มนี้
พระกิตติคุณทั้งสองประเภทดังกล่าวไม่มีพื้นที่สำหรับวิถีทาง และ
วิธีการแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูได้ถ่ายทอดส่งต่อผ่านมาทางสาวกที่ติดตามพระองค์
ไม่มีช่องทางที่จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงชีวิต และไม่คาดหวังว่าคนที่ได้รับความรอดจะติดตามพระเยซูคริสต์อย่างจริงจัง
ยิ่งกว่านั้น พระกิตติคุณทั้งสองแบบดังกล่าว ไม่ได้ให้แบบอย่างของการเสริมสร้างสาวก และแบบอย่างสาวกผู้สร้างสาวก ความคิดที่ว่าผู้เชื่อทุกคนในพระคริสต์เป็นผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนศาสตร์ โปรแกรม หรือหลักสูตรของคริสตจักรเหล่านี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระกิตติคุณทั้งสองประเภทเป็นอันตรายถึงกับทำให้คริสตจักรตายได้ เพราะทั้งสองพระกิตติคุณต่างแยกการกลับใจใหม่ออกจากการสร้างสาวกพระคริสต์
แล้วให้การเสริมสร้างสาวกพระคริสต์เป็นสิ่งที่คริสตจักรจะเลือกทำและไม่ทำก็ได้
ประเด็นสำคัญในการเสริมสร้างสาวกพระคริสต์คือ
- เราไม่สามารถเสริมสร้างสาวกที่มีชีวิตตามแบบพระคริสต์โดยสาวกที่ไม่มีพระกิตติคุณที่ถูกต้องของพระคริสต์
- เนื้อหาที่เราเทศน์คือตัวกำหนดลักษณะสาวกที่เราเสริมสร้าง
ถ้าคริสตจักรเทศนาพระกิตติคุณที่ผิดพลาดบิดเบือน
ต่อให้คริสตจักรต่าง ๆ พยายามทำพันธกิจอย่างจริงจังต่อไปอีก 50 ปี เทศนาเช่นนั้นจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก แต่ก็จะทำให้พระเยซูคริสต์ต้องรอเวลาที่จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย
เพราะคริสตจักรเทศนา หรือ สอนพระกิตติคุณที่ผิดพลาดบิดเบือน พระเยซูตรัสว่า “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก
ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง” (มัทธิว 24:14 มตฐ.)
พระกิตติคุณเทียมเท็จกล่าวว่า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งที่
“พระคริสต์ตายเพื่อความบาปผิดของท่าน พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย และเสด็จสู่สวรรค์
แล้วพระองค์จะเสด็จกลับมาในวันใดวันหนึ่ง เพื่อจะมารวบรวมคริสตจักรของพระองค์ ใครก็ตามที่เห็นด้วยกับข้อเท็จจริงนี้ของคริสตจักร
และ เข้ารับบัพติสมา คนนั้นก็เป็นคริสตชนแล้ว คนนั้นก็รอดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก
และเป็นความจริงว่าท่านไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะทั้งสิ้นนี้เป็นไปได้ก็ด้วยพระคุณของพระเจ้า”
แต่ ดร.ดาลัส วิลลาร์ด
นักคริสต์ศาสนศาสตร์ร่วมสมัยได้กล่าวไว้อย่างแหลมคมว่า “เรามิใช่ได้รับความรอดโดยพระคุณเท่านั้น
เรากลายเป็นคริสตชนที่รอดแล้ว แต่ง่อยเปลี้ยหมดแรงโดยพระคุณ(ที่เราเข้าใจ)ด้วย” คริสตจักรปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่เป็นง่อยเปลี้ย
หมดแรง จำนวนมากมาย เพราะมีมุมมองที่บิดเบี้ยวคดงอในเรื่อง “เรื่องพระกิตติคุณของพระคริสต์”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น