ในทุก ๆ วันอาทิตย์คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่นั่งอยู่ในอาคารโบสถ์ของคริสตจักรทั่วโลกด้วยความรู้สึก
มั่นคงในชีวิตจิตวิญญาณของตน โดยตนเองคิดว่าชีวิตที่มีศีลธรรม
ชีวิตที่เป็นสมาชิกคริสตจักรมายาวนาน หรือ การที่ตนได้รับบัพติสมาแล้ว
สิ่งเหล่านี้ที่จะทำให้เขามีที่อยู่ในสวรรค์ และคนจำนวนมากในกลุ่มนี้ที่ตั้งอกตั้งใจทำตนให้มีชีวิตที่พระเจ้าพอใจ
แท้จริงแล้วคนเหล่านี้กำลังมีความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับเรื่องชีวิตคริสเตียน หรือ
ชีวิตสาวกพระคริสต์
คนกลุ่มนี้จะคิดและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ ตนได้ทำ
มากกว่า ชีวิตที่เป็นจริง ของตน
ดังนั้น เขาจะดำเนินชีวิตด้วยการเลียนแบบ “ทำตามแบบคริสเตียนที่ดี” เช่น จะพยายามไปคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ อธิษฐาน
อ่านพระคัมภีร์ และพยายามที่จะกระทำให้ชีวิตของตนสอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติของคริสเตียนที่ดี ใช่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดี
แต่อย่างไรก็ตาม ความรอดมิใช่ผลงานจากการกระทำดี เราเกิดมาในโลกนี้ด้วยชีวิตที่อยู่ใต้อิทธิอำนาจพลของความบาปชั่ว
และการกระทำผิดกระทำชั่วทั้งสิ้นนั้นมาจากจิตใจที่เลือกที่จะหันหลังให้กับพระเจ้าและเลือกที่จะออกห่างจากพระองค์ เราเป็นคนบาป!
แต่ข่าวดีก็คือว่า การที่เราได้รับ “ความรอด”
นั้น เพราะพระองค์สร้างเราให้มีธรรมชาติใหม่ของความเป็นมนุษย์ “17ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์
เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่า ๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2โครินธ์ 5:17 มตฐ.) เพราะพระคริสต์ได้ชำระบาปขจัดอำนาจชั่วในชีวิตของเราแต่ละคน แล้วสร้างชีวิตเราใหม่ให้เป็นชีวิตที่พระองค์ต้องประสงค์
สิ่งสำคัญในฝ่ายของเราคือ เราเชื่อและวางใจในพระองค์ และด้วยพระกำลังทางพระวิญญาณริสุทธิที่อยู่ในชีวิตของเราแต่ละคนที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่มีความชอบธรรม
โลกนี้ให้คุณค่ากับการกระทำของตนเอง แต่พระเจ้าพระบิดาให้คุณค่าที่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องแน่นแฟ้นกับพระองค์เป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุด
มนุษย์ที่ด่วนโอ้อวดโอหังว่าตนเป็นคนเคร่งศาสนามักพลาดโอกาสในความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้า
และความชื่นชมยินดีในความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้เชื่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
เราสามารถที่จะช่วยคนที่เข้าใจผิดอย่างน่าเศร้านี้ให้พบกับความเป็นจริงด้วยการที่เราจะพยายามอธิบายว่า
ทำไมเราถึงมีความหวัง “...จงเตรียมพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคนซึ่งถามถึงเหตุผลที่ท่านมีความหวังใจเช่นนี้
แต่จงตอบอย่างสุภาพอ่อนโยนและให้เกียรติ” (1เปโตร 3:15 มตฐ.) โดยกล่าวถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีกับพระคริสต์เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่เรายอมรับถึงความจำเป็นที่จะต้องไว้วางใจในพระผู้ช่วยให้รอดคือพระคริสต์เจ้า
และยอมรับการสร้างใหม่จากพระองค์ และด้วยการหนุนเสริมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงมีชีวิตประจำวันที่จะฉายแสงส่องสว่างของพระคริสต์แก่คนรอบข้างได้
เราเป็นเพียงภาชนะของพระเจ้าที่สะท้อน หรือ
สำแดงให้คนอื่นเห็นแสวงสว่างของพระคริสต์
14“ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก
เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15เช่นเดียวกัน
เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ
แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน (มัทธิว 5:14-15 อมธ.)
แต่น่าเศร้า... ที่คริสตชนร้อนรนจำนวนมากในคริสตจักรของเรา
พยายามทำดีใน “รั้ว” คริสตจักร โดยคิดและเชื่อว่า เพื่อตนจะได้ไปสวรรค์และมีที่อยู่ในสวรรค์เมื่อตายแล้ว
แต่ชีวิตมิได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่จากพระคริสต์ ดังนั้น
พฤติกรรมชีวิต “นอกรั้ว” คริสตจักรจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพฤติกรรมชีวิตในรั้วคริสตจักร
เพราะชีวิตของเขามิได้รับพลังหนุนเสริมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ตายอย่างเขียดในรั้วคริสตจักร!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น