เราท่านได้เฉลิมฉลองวันคริสต์มาส
เราขอบพระคุณพระเจ้า ยกย่องสรรเสริญพระองค์ เราอวยพรผู้คนที่พบเห็น เราให้สิ่งดีดีกับผู้คนต่าง
ๆ เรามีโอกาสพูดคุย ชื่นชม กับผู้คนที่เราไม่ได้พบเจอกันมานาน เรามีจิตใจที่ชื่นชมยินดี
และ ฯลฯ
แต่มีคำถามว่า หลังจากที่เราเฉลิมฉลอง
ขอบพระคุณพระเจ้า และ ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ยกย่องสรรเสริญพระองค์ในคริสตจักรและในบ้านของเราแล้ว
หลังจากเสร็จคริสต์มาสแล้ว เราต่างคนต่างก็กลับไปทำงาน
ทำอาชีพที่เราต้องทำต้องรับผิดชอบ คำถามที่เราต้องถามตนเองในปีนี้คือ...
แล้วเราได้นำ
“จิตวิญญาณแห่งการเฉลิมฉลองขอบพระคุณพระเจ้าในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในวันคริสต์มาสกลับไปที่ทำงาน
หรือ ในงานอาชีพที่เราต้องทำและรับผิดชอบหรือไม่? หรือ เราเกิดความรู้สึกว่า ต้องกลับไปเจอะเจอกับสถานการณ์เดิม
ๆ ที่หนักอกหนักใจในที่ทำงานอย่างเดิม? แถมยังไม่หายเหนื่อยจากการฉลองคริสต์มาสหรือเปล่า?
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะจัดการเฉลิมฉลองบรรยากาศแบบคริสต์มาสตลอดปีใหม่นี้ในที่ทำงาน
หรือ ในที่เราทำอาชีพของเรา แต่หมายความว่า เราจะเอาพลังแห่งวันคริสต์มาสเป็นพลังเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในที่ทำงานในปีใหม่ของเราหรือไม่? อย่างไร?
“เมื่อพวกเขา(คนเลี้ยงแกะ)ได้เห็นพระองค์(พระกุมารเยซู)แล้วก็กระจายข่าว
เรื่องที่ทูตสวรรค์นั้นมาบอกเกี่ยวกับพระกุมาร และคนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสิ่งที่คนเลี้ยงแกะกล่าวแก่พวกเขา
ส่วนมารีย์เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ
คนเลี้ยงแกะกลับไปและยกย่องสรรเสริญพระเจ้า สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นซึ่งเป็นเหมือนที่ทูตสวรรค์ได้แจ้งพวกเขาทุกประการ”
(ลูกา 2:17-20 อมธ.)
จากเรื่องราวใน พระกิตติคุณลูกา
2:17-20 ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองคริสต์มาสครั้งแรก เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เป็นแบบอย่างให้เราเห็นว่า
จะนำพลังและจิตวิญญาณแห่งวันคริสต์มาสกลับไปในที่ทำงาน และ ในงานอาชีพ/การงานที่แต่ละคนรับผิดชอบอย่างไร
คนเลี้ยงแกะมิได้มาเฉลิมฉลองข่าวดีการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอดที่คอกเลี้ยงสัตว์
และทารกที่อยู่ในรางหญ้าเท่านั้น แต่เมื่อเขาออกจากคอกสัตว์ เดินผ่านเข้าไปในเมืองที่มีฝูงชนมากมาย
สิ่งที่เขาทำคือ กระจายข่าวเกี่ยวกับเรื่องพระกุมารมาบังเกิดตามที่ทูตสวรรค์มาบอกพวกเขาแก่ฝูงชนในเมืองนั้น
สร้างความประหลาดใจแก่คนได้ยินได้ฟังข่าวดีจากคนเลี้ยงแกะ มิเพียงเท่านั้น คนเลี้ยงแกะกลุ่มนี้กลับไปดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพในการเลี้ยงแกะอย่างเดิม
แต่ด้วยท่าทีใหม่ในที่ทำงานคือ ทำงานอาชีพให้เกิด “การยกย่องสรรเสริญพระเจ้า”
ในชีวิตประจำวันของพวกเขา
ในพระธรรมตอนเดียวกันนี้
กล่าวถึงมารีย์ว่า “มารีย์เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ” งานอาชีพ
งานชีวิตของมารีย์คือ การเลี้ยงดูทารกน้อยที่พระเจ้าประทานให้ เธอมิได้แค่เลี้ยงดูในฐานะความเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดทารกเท่านั้นต่อไป
แต่เธอ “นำเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ใคร่ครวญอยู่ในใจ” ตั้งแต่ที่ทูตบอกเธอว่าทารกน้อยนี้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
คำบอกเล่ายืนยันของพวกคนเลี้ยงแกะที่ได้รับข่าวดีจากทูตสวรรค์ และอีกสองปีต่อมามีนักปราชญ์ที่มานมัสการพระกุมมารยืนยันว่าทารกน้อยคือกษัตริย์
พร้อมถวายเครื่องบรรณาการ
เรื่องราวเหล่านี้ที่มารีย์ใคร่ครวญภาวนาในจิตใจของเขาตลอดเวลาที่เลี้ยงดูทารกน้อยคนนี้
สำหรับเราในปัจจุบันนี้
เราแต่ละคนสามารถที่จะกลับไปยังที่ทำงานที่ต้องทำ กลับไปยังอาชีพที่เรารับผิดชอบ พร้อมกับคุณค่าของข่าวดีแห่งคริสต์มาส
เราประกอบอาชีพการงานของเราด้วยความชื่นชมยินดีในสัจจะความจริงที่ว่า “อิมมานูเอล
พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” ในที่ทำงาน และ งานอาชีพของเรา ไม่ว่าสถานการณ์แวดล้อมในอาชีพ
การงาน ที่เรารับผิดชอบจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สำนึกของเราต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจากจิตวิญญาณแห่งคริสต์มาสคือ
ไม่ว่าเราจะอยู่งานไหน อาชีพอะไร เราคือ “ผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน”
(ไม่ว่าเธอจะเป็นหญิงบ้านนอก หรือ คนเลี้ยงแกะที่ต่ำต้อย)
ในปี 2020 เราแต่ละคนจะนำเอาจิตวิญญาณแห่งความชื่นชมยินดี
และ การทำทุกอย่างเพื่อยกย่องสรรเสริญพระเจ้ากลับเข้าไปในที่ทำงานของเรา ในงานอาชีพของเรา
ในงานความรับผิดชอบของเราแต่ละคน
เราสามารถกลับเข้าไปที่ทำงาน
งานอาชีพ งานที่รับผิดชอบพร้อมกับพระกุมารเยซู ให้เราเริ่มต้นจากตัวเราเองกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน
ให้มีจิตใจที่ใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตการงานของเรา อย่างที่มารีย์ใคร่ครวญถึงพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเธอ ให้เราอธิษฐานใคร่ครวญตลอดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์กระทำในวันนี้ ในงานที่ทำในวันนี้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญพระองค์”
จากนั้น
ใคร่ครวญถึงการกระทำต่าง ๆ ที่เราทำ และที่ทำต่อเพื่อนร่วมงานรอบข้าง ทำกับคนที่เราต้องพบสัมพันธ์และเกี่ยวข้อง
ให้ท่าทีและการกระทำของเราสำแดงถึงความรักเมตตาของพระองค์ เพื่อคนที่พบเห็นและสัมผัสกับเราจะเกิดความชื่นชมยินดี
และยกย่องสรรเสริญพระเจ้าในที่สุด
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น