ความโกรธสามารถทำร้ายทำลายทั้งร่างกาย จิตใจ
และจิตวิญญาณ
แต่ความโกรธมิได้ก่อผลร้ายกับคนที่โกรธเท่านั้น แต่พ่นพิษร้ายแพร่ฟุ้งกระจายไปยังคนรอบข้างด้วย ในกรณีนี้ถึงแม้ว่า ความขมขื่น
ความไม่พอใจที่ “ระเบิดขึ้นในตัวเราเองอาจจะไร้เสียงปราศจากสำเนียง”
แต่มิใช่เรื่องของเราผู้เดียวเท่านั้นแต่มันสร้างผลกระทบอย่างมหันต์ต่อคนอื่น
และสภาพแวดล้อมด้วย
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า
‘อย่าฆ่าคนและถ้าผู้ใดฆ่าคนจะถูกตัดสินลงโทษ’ แต่เราบอกท่านว่าถ้าผู้ใดโกรธเคืองพี่น้องของตนจะถูกตัดสินลงโทษ
ถ้าผู้ใดพูดดูหมิ่นพี่น้องของตนจะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลแซนเฮดริน และถ้าผู้ใดพูดว่า
‘ไอ้โง่!’ อาจจะต้องโทษถึงไฟนรก (มัทธิว 5:21-22 อมธ.)
จิตวิญญาณแห่งความโกรธฉุนเฉียวนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันฟุ้งกระจายขยายติดต่อไปยังคนรอบข้าง
ไม่ต่างอะไรจากเชื้อโรค
แต่ระวังครับ
ความโกรธเป็นพิษต่อความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนรอบข้าง และสิ่งนี้มิได้เกิดในวงแคบเท่านั้น ในบางกรณีหรือในบางเรื่อง
พิษร้ายของความโกรธแผ่ขยายพ่นพิษจากคนชั่วอายุหนึ่งไปยังอีกชั่วอายุหนึ่งเลยทีเดียว
ถ้าจิตวิญญาณแห่งความโกรธเกิดขึ้นในที่ทำงานก็พ่นพิษทำให้เกิดความตึงเครียดในกลุ่มผู้ทำงาน สภาพแวดล้อมในที่ทำงานเกิดมลพิษ
บรรยายกาศเต็มไปด้วยการกัดกร่อน เซาะแทรกทำร้ายทำลายกัน แต่แน่นอน ก่อเกิดมุมมองต่อกันด้วยสายตาที่เลวร้ายไม่ไว้ใจกัน
กระทบต่องานที่ทำและผลงานที่จะเกิดขึ้น
ถ้าอาการพวกนี้เกิดขี้นในบ้านก็จะเกิดการพูดจาอย่างเผ็ดร้อนต่อกัน
หรือ ไม่บางคนบางฝ่ายก็จะเก็บเงียบด้วยความเจ็บปวดภายในชีวิต
ถ้าเกิดขึ้นในที่ประชุมก็จะเกิดการว่าร้ายป้ายสีสาดโคลน ขุดลอกเอาเรื่องเก่า ๆ มาทับถมฝ่ายตรงกันข้ามให้จมมิด เกิดการทำร้ายทำลายอย่างเจตนา และ
ถ้าสิ่งทำนองนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา หลายต่อหลายคนต้องทนทุกข์จากคำซุบซิบนินทาว่าร้ายจากคนบางคนในคริสตจักร
และเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเพื่อปกป้องพวกตน โจมตีพวกอื่น!
พระเจ้าทรงสร้างเราแต่ละคนให้ดำเนินชีวิตที่เกื้อหนุน
เสริมสร้าง และเอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง
แต่ความโกรธสามารถเป็นพิษต่อความสัมพันธ์ของเรา และที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง คนที่ต้องรองรับผลจากอารมณ์โกรธฉุนเฉียวมากที่สุดก็คือคนที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด ที่เขาจะต้องเกิดความทุกข์ระทมขมขื่นมากที่สุด
อย่าลืมนะครับ
ลูกหลาน เยาวชนของเราเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเขาก็ด้วยการสังเกตเห็นแบบอย่างที่พ่อแม่
ครูบาอาจารย์ ศิษยาภิบาล และผู้ใหญ่ในสังคม
แล้วเขาก็พัฒนา “มุมมอง” ทัศนคติของตน และ รูปแบบพฤติกรรมแสดงออกของตนต่อสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่เลียนแบบจากเรา จำเป็นที่เราจะต้องคิดใคร่ครวญจริงจังว่า
“จิตใจ” แบบไหนที่เรากำลังยื่นส่งให้ลูกหลาน อนุชนชายหญิง และ คนรุ่นต่อไป
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระราชกิจสำคัญหนึ่งของพระองค์คือการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจจิตวิญญาณของเรา เราท่านต่างต้องเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ หรือเผชิญหน้ากับคนช่างโกรธฉุนเฉียวไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
แต่เราสามารถเรียนรู้จากพระเจ้าด้วยการเดินไปในชีวิตประจำวันที่ใกล้ชิดกับพระคริสต์ทุกขณะ
พระคริสต์ทรงเรียกเราแต่ละคนให้ติดตามพระองค์แล้วเรียนรู้และเลียนแบบจากพระองค์ และ ชีวิตจิตใจจิตวิญญาณของเราจะได้ “ผ่อนพัก”
และ “ผ่อนคลาย” และในที่สุดได้รับการเปลี่ยนแปลง
“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา
และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเราแบกไว้และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ
แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะและภาระของเราก็เบา”
(มัทธิว 11:28-29 อมธ.)
วันนี้ท่านต้องเลือกเอาเองครับ ท่านเลือกที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าท่านเป็นฝ่ายถูก หรือ ท่านจะเลือกศานติสุขของพระคริสต์? ไม่ว่าท่านจะเลือกแบบไหน
เราท่านต่างต้องจ่ายค่าราคานั้นครับ
ถ้าเราเลือกที่จะโกรธท่านต้องจ่ายค่าราคาของการสูญเสียสุขภาพกายใจ
จิตวิญญาณ
ท่านต้องเอาความสัมพันธ์ที่มีกับคนรอบข้างเข้าแลกเอา และท่านอาจจะต้องสูญเสียมรดกแห่งความเชื่อศรัทธาที่บรรพบุรุษได้ส่งทอดมอบแก่ท่านในความเชื่อ
แต่ถ้าเราท่านเลือกเอาศานติสุขในพระคริสต์
ท่านต้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าขอช่วยให้ท่านก้าวออกจากภาวะความไม่พึงพอใจที่กำลังเกิดขึ้น ยอมสูญเสียการยึดมั่นในสิทธิส่วนตัวของท่าน วางเครื่องบูชาไว้ที่แท่นก่อน แล้วไปสร้างการคืนดีกับคนนั้นที่ท่านโกรธ! ยอมเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี
“...ถ้าท่านกำลังถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและนึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขุ่นเคืองใดๆ
กับท่าน จงละเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นแล้วไปคืนดีกับพี่น้องก่อน
จึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา” (มัทธิว 5:23-24)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น