เมล็ดที่ไม่ได้หว่านลงดินให้งอกก็ไม่เกิดผล
พระเยซูได้ใช้เมล็ดเป็นตัวอย่างที่เปรียบเทียบให้เห็นถึงความจริงว่า ทำไมเราถึงต้องยอม “ให้ชีวิต”
ยอมสละชีวิต
ทั้งนี้เพื่อที่เราจะสามารถนำคนเป็นอันมากเข้ามาหาพระองค์ได้ พระคริสต์ได้สอนหลักการ ชีวิตที่เกิดผลคือ
“ชีวิตที่ให้ชีวิต” นี่เป็นหลักการที่สามารถใช้กับชีวิตทุกด้าน
ถ้าความใฝ่ฝัน
ความปรารถนาของเราถูกเก็บรักษาอย่างดี
แยกไว้ต่างหาก เป็นพิเศษ
ปกป้องอย่างมิดชิด และ ให้อยู่ในสภาพที่สะดวกสบาย
และ ปลอดภัย ชีวิตของคน ๆ นี้ก็จะไม่เกิดผลตามที่พระเจ้าต้องการ
แต่การที่คน
ๆ นั้นยอมที่จะสละชีวิต ยอมที่จะให้ชีวิต
ยอมที่จะถูกหว่าน “ลงในดิน”
แล้วยอมอ่อนตัว และ แตกตัวออก งอกเป็นต้นใหม่ ยอมละทิ้งความสำคัญยิ่งใหญ่ของตนเอง ความสามารถที่จะจัดการด้วยตนเอง พึ่งตนเอง
เมื่อนั้นชีวิตของคน ๆ นั้นจะเกิดผล และ
มีประโยชน์ในพระราชกิจของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า...
“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า
ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ได้ตกลงไปในดินและตายไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว
แต่ถ้าตายแล้วก็จะเกิดผลให้มีเมล็ดอื่น ๆ มากมาย
ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิต
ส่วนผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะรักษาชีวิตไว้และมีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 12:24-25 อมธ.)
การที่เรายอมจะให้ชีวิตของเรา
“แตกตัว” ออก
เป็นวิธีการหนึ่งของพระเจ้าที่จะทำให้ลูกของพระองค์มีชีวิตที่เติบโตขึ้น ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูป พลิกฟื้น อาจจะเกิดจากสิ่งท้าทายต่าง
ๆ มาจากการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น
สถานการณ์แวดล้อมอาจจะทำให้เราไม่สามารถพึ่งตนเองได้
บางสถานการณ์ที่เราไม่สามารถจัดการด้วยตนเอง นอกจากที่จะเชื่อฟังและไว้วางใจพระเจ้า
ยอมรับกำหนดเวลาตามแผนการของพระเจ้า
ถ้าเราปฏิเสธที่จะรับการพลิกฟื้นใหม่ ปฏิเสธรับการเปลี่ยนแปลงใหม่
ปฏิรูปใหม่ตามพระประสงค์ที่พระองค์จะปลดปล่อยและสร้างเราให้มีชีวิตใหม่ ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าจะใช้เราร่วมในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระองค์ได้อย่างไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรจากเมล็ดที่ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองแตกตัวออกเพื่องอกเป็นพืชต้นใหม่ เราก็จะเป็นเมล็ดที่ไม่เกิดผล
อะไรที่ทำให้เรายังขัดขืน
ดื้อดึง ต่อการที่จะมีชีวิตตามกระบวนการ “การให้ชีวิต การยอมเสียสละชีวิต” “การยอมที่จะละทิ้งการมีชีวิตที่เพื่อตนเอง” ทำไมถึงไม่ยอม “แตกชีวิต” ของเราออกเพื่องอกเป็นต้นใหม่?
มักมีสาเหตุมาจากการที่เรามี
“ความเชื่อแบบสายตาสั้น” คือ มองเห็นความสำคัญของผลประโยชน์ที่อยู่ข้างหน้าใกล้ตัวเท่านั้น เรามักมองแบบไม่มีกระบวนทัศน์ และไม่ยอมที่จะให้สิ่งดีมีค่าต่าง ๆ หรือ
ความสัมพันธ์ดี ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขต้องหลุดลอยออกไปจากชีวิตตน หรือ ไม่ยอม
“ปล่อย” ให้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นภัยฉุดรั้งความก้าวหน้าเติบโตในชีวิตจิตวิญญาณของเราในระยะยาวให้หลุดลอยจากชีวิต
เรามีความเชื่อแบบสายตาสั้น ที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์ที่ตนจะได้ใกล้มือ ทำให้ชีวิตสาวกพระคริสต์ของเราแคระแกร็นไม่เติบโต เรามักเลือกที่จะมีชีวิตบนเส้นทางที่สะดวกสบาย หรูหรามีเกียรติ ได้รับผลประโยชน์มากกว่าทางอื่น ซึ่งการเลือกเส้นทางชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่สวนกระแส
ต่อต้าน ดื้อดึงต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
เรากลับคาดหวังว่าพระเจ้ายังจะอวยพระพรเราบนเส้นทางที่ดื้อรั้น
สวนทางกับเส้นทางชีวิตของพระเจ้าอยู่อีกหรือ?
อย่ามีจิตใจวอกแวก
หลงไปยึด “ความเชื่อแบบสายตาสั้น”
ซึ่งมิใช่เส้นทางชีวิตที่พระเจ้าเตรียมและเป็นพระประสงค์เพื่อชีวิตของเรา มิใช่เส้นทางชีวิตที่ท่านจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์
เส้นทางชีวิตที่นำเราไปสู่ความอุดมเกิดผลรอเราอยู่ ให้เรา “ปล่อยสิ่งที่เรายึดมั่น”
แล้วหันไปให้พระคริสต์นำชีวิตของท่านไปบนเส้นทาง “ชีวิตที่ให้ชีวิต และ
ยอมเสียสละชีวิต”
แต่เป็นเส้นทางที่เกิดการพลิกฟื้นคืนดีสู่ชีวิตใหม่และเกิดผลอย่างอุดมในชีวิตของเรา
และ คนรอบข้าง
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยพระกิตติคุณของพระคริสต์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น