ความคาดหวังของพระเยซูตอนช่วงท้ายชีวิตบนโลกนี้คือ
พระองค์คาดหวังที่จะเห็นคริสต์ชน/สาวกของพระองค์มีความรักเมตตาต่อกัน หรือ
การรักซึ่งกันและกันอย่างเป็นรูปธรรม
มีผู้กล่าวไว้ว่า ความปรารถนาในชีวิตของเราคือ มิตรภาพ
ความสัมพันธ์ที่เป็นมิตร
ศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้แบ่งปันว่า เขาเคยมีความรู้สึกเหงามาก เหงาเหลือเชื่อจริง ๆ
แต่ก็ไม่สามารถที่จะชี้เจาะจงลงไปว่ามันมีสาเหตุจากอะไร ทั้ง ๆ ที่อยู่ท่ามกลางครอบครัวพร้อมหน้า พบเพื่อนฝูงคนสนิท พาลูก ๆ ไปเล่นกับเพื่อนบ้าน
ศิษยาภิบาลท่านเดิมบอกต่อไปอีกว่า แต่เมื่อชีวิตอายุมากขึ้น อาวุโสมากขึ้นท่านเรียนรู้ว่า อาการความรู้สึก
“เหงา” ที่กล่าวนั้น
มิใช่ความรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวอย่างที่คิด
แต่จริง ๆ แล้วเป็น ความปรารถนาลึก ๆ เพราะอาการความรู้สึกดังกล่าวยังเป็นจนถึงวันแก่เฒ่าด้วย
แต่ในวัยสูงอายุนี้ตนโหยหาความสัมพันธ์ มิตรภาพ แต่ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดภายในชีวิต หรือ ไม่มีใครทำให้ชีวิตรู้สึกเจ็บปวด
เจ้าตัวปรารถนาที่จะเข้าใจเพื่อนฝูงมิตรสหาย และปรารถนาให้เพื่อนเข้าใจตนเอง ศิษยาภิบาลอาวุโสท่านนี้ต้องการที่จะให้ความรักและรับความรักเมตตาจากผู้คน
ท่านต้องการมีมิตรภาพเช่นนี้กับทุกคน
ท่านศิษยาภิบาลอาวุโสแบ่งปันต่อไปว่า ความปรารถนาที่ว่านี้คือความรู้สึกว่าความสัมพันธ์และมิตรภาพที่เรามีต่อคนอื่นยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่ดีพอ เราจึงต้องการที่จะทำให้ดีพอและสมบูรณ์
พระเจ้าทรง “ปลูก”
ความปรารถนานี้ลงในชีวิตของเรา เพราะพระองค์มีพระประสงค์สร้างเราให้มีคุณภาพชีวิตที่อยู่ใน
“สวนเอเดน” มิใช่คุณภาพชีวิตใน “บาบิโลน” เมื่อเกิดความรู้สึกเหงา ว้าเหว่
โดดเดี่ยว
ความรู้สึกดังกล่าวกำลังบอกเราว่า ชีวิตตามพระประสงค์ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ แล้วกระตุ้นเตือนเราให้ค้นและแสวงหาความปรารถนาที่แท้จริงของเราว่า
เรากำลังต้องการอะไรกันแน่!
ทารกน้อยที่บังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมเมื่อหลายศตวรรษก่อนมีภารกิจหลักในโลกนี้คือ การประกาศและการนำ “อาณาจักรแห่งเอเดนใหม่” มาสถาปนาขึ้นบนโลกใบนี้
และทรงเชิญชวนเราท่านทุกคนให้มามีคุณภาพชีวิตแบบ “เอเดนใหม่” หรือที่เรารู้จักในนามว่า
“แผ่นดินของพระเจ้า”
ชายหนุ่มจากนาซาเร็ธคนนี้รู้หลายเรื่องที่เราเองก็ยังไม่รู้ซึ้ง เขาเรียนรู้ถึงประสบการณ์ที่ถูกเพื่อนสนิททอดทิ้งและหักหลัง
เขารู้ถึงเรื่องชีวิตที่พระเจ้าทรงหันหลังให้ เขารู้ชัดเต็มอกว่า เขากำลังรับใช้คนที่ไม่รู้ถึงคุณค่าและความสำคัญในการรับใช้ของเขา
เขาเป็นคนที่ถูกปฏิเสธ ไม่มีใครที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตที่ว้าเหว่
โดดเดี่ยวเหมือนเขา และที่เขายอมรับเอาความว้าเหว่ เจ็บปวด และ
โดดเดี่ยวก็เพื่อเราจะมีสัมพันธภาพที่แนบสนิทกับพระเจ้าตลอดไป
เปาโลได้กล่าวถึง “ความปรารถนา”
ในชีวิตได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเขากล่าวถึงเรื่องความรักเมตตาว่า
เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัว
ๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า
เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน
แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า (1โครินธ์ 13:12 มตฐ.)
อาจจะเป็นเพราะในประสบการณ์ชีวิตประจำวันของเรา เรามักเอา
“ความปรารถนา” ของเราไปโยงสัมพันธ์กับ “สิ่งที่เราไม่มี สิ่งที่เราขาด” ในส่วนลึกของความคิดรู้สึกของเราแล้ว ความปรารถนาเป็นของประทานที่สร้างสรรค์ที่เราได้รับจากพระเจ้า เพราะความปรารถนาทำให้เรามองไปข้างหน้าที่จะมีชีวิตที่
“ครบบริบูรณ์”
คือการที่ชีวิตของเราไปถึงจุดที่รู้และพบว่าเราเป็นคนที่
“พระเยซูคริสต์รู้จัก” และเป็นคนที่ “พระคริสต์ทรงรัก” เมื่อเรามีความปรารถนาไปให้ถึงจุดนี้ ทำให้เรามองไปที่พระเยซูคริสต์และแสวงหา
“ความครบบริบูรณ์ในพระองค์”
ความโดดเดี่ยวว้าเหว่สอนให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าสนิทในความรักเมตตาของพระองค์
ไว้วางใจที่พระเจ้าทรงรู้จักและรักเมตตาเราอย่างเต็มเปี่ยม แม้เราจะเรียนรู้และเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม
และความว้าเหว่ยังสอนเราอีกว่า ไม่ไปยึดเอาคนอื่นมาเป็น “แม่แบบชีวิต” ของเรา แล้วไปคาดหวังว่า
คนดังกล่าวจะให้ความรักแก่เราอย่างพระคริสต์ย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะความรักเมตตาแบบพระคริสต์ที่มีต่อเรานี้เองที่สอนให้เราที่จะรักเมตตาคนอื่นอย่างที่พระคริสต์ทรงมีต่อเรา
เมื่อพลังดังกล่าวขับเคลื่อนในชีวิตประจำวันของเรา จะเป็นพลังแห่งความรักเมตตาที่สุดยอดสำหรับชีวิตประจำวันของเรา
แต่ต้องตระหนักชัดว่านั่นเป็นพลังแห่งความรักเมตตาของพระคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา
14เพราะความรักของพระคริสต์ผลักดันเราอยู่
เพราะเรามั่นใจว่าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง ฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15และในเมื่อพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง
บรรดาผู้มีชีวิตอยู่จึงไม่ควรอยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป
แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขาและคืนพระชนม์ขึ้นมาอีก” (2โครินธ์ 5:14-15 อมธ.)
เมื่อเราเข้าติดสนิทในความสัมพันธ์กับพระคริสต์ ความรักสัมพันธ์ของพระองค์กระตุ้นขับเคลื่อนให้เราไปช่วยคนอื่นให้เข้ามาอยู่ภายใต้ความรักเมตตาของพระเจ้า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถที่จะ กระทำ
ความปรารถนาของเราในความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่เราติดต่อเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
ด้วยความรักเมตตา ให้เกียรติ และกระทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ที่ทรงรักเมตตาเรา ทำให้เรารักพระคริสต์ผ่านการที่เรารักเมตตาและรับใช้คนอื่น
พระคริสต์บอกกับเราว่า ความรักเมตตาที่ว่านี้คือการที่เราให้ชีวิตของเรากับมิตรสหายของเรา
อย่างที่พระคริสต์ให้ชีวิตของพระองค์แก่เรา เพื่อเราจะได้ชีวิตใหม่ การรักคนอื่นคือการที่เราหาทางที่จะให้สิ่งที่เราต้องการได้จากสัมพันธภาพ
หรือ มิตรภาพที่เรามีแก่เขา การรักเพื่อนบ้านคือการให้สิ่งที่เราต้องการแก่เขา มิใช่แสวงหาสิ่งที่เราต้องการจากเขา
เมื่อเรากระทำเช่นนี้ เราก็ได้ประกาศถึงการเกิดขึ้นของแผ่นดินของพระเจ้า ที่เหล่าทูตสวรรค์ประกาศแก่เราถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์
ความจริงก็คือว่า ความรู้สึก โดดเดี่ยว ว้าเหว่
การถูกทอดทิ้ง จะเกิดขึ้นเสมอตราบใดชีวิตของเรายังอยู่ใน “อาณาจักรแบบบาบิโลน” ที่ยังโหยหา ที่ยังปรารถนา “มิตรภาพ”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น