ในฐานะคริสตชนในยุคปัจจุบัน
เราดำรงชีวิตภายใต้พลังกระแสเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่มีพลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการมีชีวิตในด้านต่าง
ๆ ทุกมิติ ในที่นี้รวมถึงมิติทางจิตวิญญาณด้วย อีกทั้งเห็นชัดว่า
มีอิทธิพลที่สร้างผลกระทบต่อวิธีคิด การตัดสินใจ
และการทำพันธกิจชีวิตและพันธกิจคริสตจักรอย่างไม่เห็นทางหลีกเลี่ยงได้
ทั้งนี้เพราะไม่ว่าชีวิตประจำวันของคริสตชนจำนวนมาก องค์กร (สถาบัน) ทำพันธกิจคริสตชน
หน่วยงานเสริมพันธกิจคริสตจักร คริสตจักรท้องถิ่น และองค์กรคริสตจักรระดับชาติ
ต่างหยั่งรากเกาะยึดฐานเชื่อกรอบคิดของตนบนระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเกือบทั้งสิ้น
ความจริงที่น่าตกใจ
(สำหรับบางคน) และน่าเสียใจอย่างยิ่งคือ
ฐานเชื่อกรอบคิดเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมดังกล่าวไม่ใช่ฐานเชื่อและกรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์ของพระเยซูคริสต์
และมิใช่ฐานเชื่อกรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่พระคริสต์ต้องการให้สาวกและคริสตจักรของพระองค์มีชีวิตแบบทุนนิยม
ถ้าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมิใช่
“ฐานเชื่อกรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์” ที่พระคริสต์ประสงค์ แล้วคริสตจักร และ
สาวกของพระองค์จะต้องดำเนินชีวิตประจำวันอย่างไร? มีฐานเชื่อกรอบคิดทางเศรษฐกิจ/เศรษฐศาสตร์แบบไหน?
ในพระกิตติคุณทั้ง 4
ฉบับ ทั้งคำสอน และ ตัวอย่างการดำเนินชีวิตของพระเยซูคริสต์ได้ชี้ชัดถึงระบบเศรษฐศาสตร์ที่พระองค์ใช้เป็น
“ฐานเชื่อกรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์” ของพระองค์
และเมื่อรวบรวมประมวลเป็นภาพใหญ่แล้วคงไม่ผิดเพี้ยนที่เราสามารถเรียกระบบเศรษฐศาสตร์ของพระคริสต์ว่า
“เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” หรือ “เศรษฐศาสตร์แห่งพระกิตติคุณของพระคริสต์”
ซึ่งแตกต่างสิ้นเชิงกับระบบเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม
และนี่คือโลกทัศน์เชิงเศรษฐศาสตร์ที่มีความแตกต่างอย่างสวนทางกันของ
“ระบบเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม” กับ “ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระกิตติคุณ”
เศรษฐกิจระบบทุนนิยม
“ระบบทุนนิยม”
เป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้กรอบคิดกรอบเชื่อ (mindset) ในเรื่องความเสมอภาค
กรอบคิดการให้รางวัล กับ การลงโทษ และกรอบคิดเกี่ยวกับความยุติธรรม (ที่เน้นผลประโยชน์ที่ตนได้รับ
+ สิทธิส่วนบุคคลที่ตนไม่ควรสูญเสีย) ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในสังคมเราได้แผ่อิทธิพลครอบงำทั้งระบบชีวิตของเราทุกด้าน
ลงลึกถึงก้นบึ้งแห่งรากฐานความสัมพันธ์ของมนุษย์เราที่มีต่อกัน
และปัจจุบันนี้ยังเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งเป็น “สงครามเศรษฐกิจ” และ
ขยายแพร่เชื้อเป็น “สงครามแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจ”
และส่งผลกระทบต่อประเทศน้อยใหญ่อื่น ๆ อีกกว้างขวาง ที่เรากำลังเห็นผลชัดเจนขึ้น
และอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามต่อไป
นอกจากนั้นแล้วยังแผ่อิทธิพลแทรกซึมเข้าในฐานเชื่อกรอบคิดของแต่ละคน
ให้มีฐานเชื่อกรอบคิดว่าตนสำคัญที่สุด หรือ ตนสำคัญกว่าคนอื่น
ความสำคัญของตนต้องมาก่อน ตนสมควรจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
และที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นกับคริสตชนในปัจจุบันคือ
ตัวเศรษฐกิจระบบทุนนิยมเข้ามาครอบงำฐานเชื่อกรอบคิดของคริสตชนต่อความสัมพันธ์ที่ตนมีต่อพระเจ้าให้บิดเบี้ยวไปด้วย? ...
เราคงต้องยอมรับว่า
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมดูเหมือนคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันยอมรับและยึดเป็นหลัก
และลึก ๆ เราส่วนตัวก็ยอมรับมิใช่หรือ? เพราะเราถูกครอบให้คิดว่าเป็นระบบที่เท่าเทียม
เสมอภาค ยุติธรรม แต่ที่เราน่าจะไม่สบายใจคือ
พระเยซูคริสต์ไม่มีฐานเชื่อกรอบคิดแบบทุนนิยมนี้เลย
แบบอย่างชีวิตและคำสอนของพระองค์ดูสวนทางกับกระแสเศรษฐกิจทุนนิยมอย่างสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้เอง คริสตชนในยุคปัจจุบันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
“กลับใจใหม่” เปลี่ยนฐานเชื่อกรอบคิดจาก "เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม" ไปเป็น
“เศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” หรือเป็นระบบ “เศรษฐศาสตร์แห่งการให้ชีวิต”
อย่างไม่มีเงื่อนไขตามแบบพระเยซูคริสต์
และไม่พยายามบิดเบือนจากพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไปเป็นระบบประชาธิปไตย
ระบบทุนนิยม ระบบเสรีนิยม หรือ การค้าแบบเสรีนิยมอะไรทำนองนั้น
เพราะสำหรับพระคริสต์แล้ว ระบบที่พระคริสต์ยืนหยัดและเป็นแบบอย่างคือ “ระบบพระคุณ”
หรือ “ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการให้ชีวิต” เพื่อคนอื่นจะได้โอกาสใหม่ และ
ได้ชีวิตใหม่ เป็นระบบที่มีรากฐานในความรักเมตตาที่เสียสละ และ
ไร้เงื่อนไขแบบพระคริสต์
ดังนั้น
ถ้าใครก็ตามที่เรียกตนเองว่าเป็นคริสตชน หรือ สาวกของพระเยซูคริสต์
เราจำเป็นต้องกลับมาทบทวนพิจารณาการมีชีวิตของเราว่า
เรามีชีวิตที่เป็นไปตามความจริงของพระกิตติคุณหรือไม่ และการมีระบบเศรษฐศาสตร์แบบพระคริสต์
เป็นระบบการให้โดยไม่หวังการตอบแทน ตัวอย่างที่ชัดเจนในระบบนี้คือ
“การให้อภัยแบบพระคริสต์” เป็นการให้อภัยบนรากฐานความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไข
เป็นการให้ที่ไม่คาดหวังการตอบแทน ที่ยกโทษ มิใช่เพราะเขากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี
แต่เป็นการได้รับการยกโทษโดยมิได้เกิดจากการลงทุนลงแรงชีวิตของเรา
แต่พระคริสต์ให้การอภัยแก่เราเพราะพระองค์รักเมตตาเราให้ชีวิตของพระองค์แก่เรา
เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่ โอกาสใหม่
สิ่งที่ต้องการตั้งข้อสังเกต
และ ประเด็นเน้นย้ำที่สำคัญมากคือ ระบบเศรษฐศาสตร์ของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องของ
“ชีวิตและความสัมพันธ์” ที่นำมาซึ่งคุณค่าของชีวิตมิใช่สำหรับตนเองเท่านั้น
แต่เป็นคุณค่าและความหมายของคนที่เราสัมผัสสัมพันธ์ด้วยกัน เมื่อคน ๆ นั้นได้สัมผัสกับ
“ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการให้แบบพระคริสต์”
เขาได้รับประสบการณ์ตรงจึงเกิดการสำนึกในคุณค่า สำนึกในพระคุณของพระเยซูคริสต์
เขาจึงตัดสินใจใช้ชีวิตตนตาม “ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งการให้” หรือ
“ระบบเศรษฐศาสตร์แห่งพระคุณ” ของพระเยซูคริสต์ ที่สำนึกในความรักเมตตาของพระคริสต์
ด้วยการตอบสนองพระคุณของพระองค์โดยการทำตามอย่างที่พระคริสต์เป็นและทำ และ
ที่ได้บัญชาแก่สาวกของพระองค์แต่ละคนให้กระทำ
***อ่านต่อตอนต่อไปเร็ว
ๆ นี้***
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น