ผมไม่เคยคิดเลยว่า
แผนยุทธศาสตร์สงครามทางจิตวิญญาณที่ซาตานมันกำหนดและใช้ขับเคลื่อน
“ยุทธศาสตร์แพร่เชื้อโควิด 19” มันกลายเป็นแผนยุทธศาสตร์ถล่มทลายสังคมทั้งโลก และยุทธศาสตร์นี้ยังทะลุทะลวงเข้าไปในใจกลางของครอบครัวด้วย
และสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อจิตวิญญาณของผู้คน ซึ่งแสดงออกชัดทางพฤติกรรม ดังนี้
1.
เกิดความวิตกกังวลที่ตระหนกกลัว
ความกลัวสามารถทำให้เกิดความความมึนชาทั้งชีวิตจิตวิญญาณ
ความตื่นตระหนกกลัวต่อสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจย่อมสร้างความสับสนงุนงงเช่นเดียวกับความตระหนกกลัวในสิ่งที่รู้
แต่พระเจ้า
มิได้ให้จิตวิญญาณที่ขลาดประหม่ากลัว (2 ทิโมธี 1:7) ดังนั้น ในภาวะวิกฤตที่เราเผชิญอยู่เราจะต้องตัดสินใจอย่างเท่าทันชาญฉลาด
อย่าตกลงในกับดักแห่งความว้าวุ่น สับสน วิตกกังวลที่มารวางดักไว้
ระวัง...อย่าถลำตัวไปสู้กับมารด้วยกำลังของตนเอง
โดยลืมไปว่า พระเจ้าต่างหากที่จะเป็นกำลังสู้เพื่อเรา
2. กลับไปพึ่ง
“นิสัยเสพติด”
ความเครียดจะทำให้เราเลือกเส้นทางเดินที่ผิดพลาดเบี่ยงเบน
บางคนเมื่อเกิดความเครียดจะหันเข้าหาพวกสื่อลามกอนาจารเพื่อ “คลายเครียด” โดยเฉพาะเมื่อตนเองต้องเก็บกักตัวอยู่แต่ในบ้าน
หรือ แต่ในห้องของตนเอง
ในช่วงเวลาที่แยกตัวเองออกจากคนอื่น ๆ
ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ (แต่เต็มไปด้วยพิษร้าย)
ที่มารหยิบยื่นให้ เพื่อให้เราตกเป็นเชลยสงครามทางจิตวิญญาณ
3.
ความขัดแย้งในชีวิตแต่งงาน
เจ้าศัตรูตัวเดียวกันที่เคยทำให้ชีวิตของอาดัมและอีวาเกิดวิกฤติขัดแย้ง
ตามที่ปรากฏในปฐมกาล บทที่ 3
มารก็ยังใช้วิธีการหลอกล่อเช่นเดียวกันกับคู่สมรสในปัจจุบัน และเมื่อสถานการณ์วิกฤติโควิด
19 กดดันให้คู่สมรสต้องใช้ชีวิตแยกห่างทางสังคมให้อยู่แต่ในบ้าน มักก่อให้เกิดเรื่องความขัดแย้งมากขึ้นได้
และที่น่าเศร้าคือ ลูกที่อยู่ด้วยต้องรับผลของความขัดแย้งนี้เต็ม ๆ
อย่าตกเป็นเครื่องมือของมารในสงครามจิตวิญญาณครั้งนี้
4.
ความท้อแท้สิ้นหวังในการอภิบาล
ในภาวะวิกฤติโควิด 19
ทำให้ผู้อภิบาลหลายท่านต้องพบกับความยากลำบากในการอภิบาลชีวิตสมาชิกคริสตจักร เมื่อสมาชิกต้องพบกับวิกฤติในชีวิตตน ยิ่งในครั้งนี้ครอบครัวสมาชิกและผู้อภิบาลต้องพบกับสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
ทำให้เกิดความมึนงง สับสน ตระหนกกลัว นำไปสู่ความสิ้นหวัง เช่นในกรณีต้องยกเลิกการนมัสการพระเจ้าร่วมกันที่โบสถ์
หรือ ตามบ้าน และเลวร้ายอย่างยิ่งก็คือ
ในการเฉลิมฉลองอีสเตอร์ปีนี้
เราต้องฉลองอีสเตอร์อยู่แต่ในบ้านของแต่ละครอบครัว ดูมันประหลาด? ผู้อภิบาลเกิดคำถามว่า ตนจะจัดให้มีการเฉลิมฉลองอีสเตอร์อย่างไร รูปแบบไหนดี? และนี่เป็นความวิตกกังวลลึก ๆ ของผู้อภิบาล และ ผู้นำคริสตจักรแต่ละท่าน ผู้อภิบาลหลายท่านสิ้นหวังหมดกำลังใจ
ระวัง...มารกำลังโจมตีจิตวิญญาณของผู้อภิบาลในขณะที่เราเผลอ!
5.
ความอหังการที่เห็นแก่ตัว
การที่มีบางคนที่เห็นแก่ตัว
ทำตามใจตนเอง ไม่ยอมที่จะเว้นระยะห่างทางสังคม และ เก็บกักตนอยู่แต่ในบ้านตามคำแนะทางทางการแพทย์และสังคม
เพื่อเป็นการลดและจำกัดการแพร่ขยายของเชื้อไวรัสโควิด 19 คนกลุ่มนี้เห็นแก่ตัวเอาแต่ใจตนเอง
ซึ่งเขาไม่น่าจะเรียกตนเองว่าเป็นคริสตชน เพราะคุณลักษณะหนึ่งของสาวกพระคริสต์คือ ปฏิเสธตนเอง (ปฏิเสธที่จะทำตามใจตนเอง)
แล้วแบกกางเขน (ร่วมในความทุกข์ยากกับพระคริสต์และสาวกคนอื่น ๆ)
แล้วดำเนินชีวิตตามพระองค์ไป
ระวัง...หน้าที่ความรับผิดชอบของคริสตชนต่อพระคริสต์
และ ส่วนรวมสำคัญกว่า “สิทธิเสรีภาพของตนเอง” ที่มารเอามาหลอกล่อเราในนามของ
“ประชาธิปไตย”
6. เมื่อคริสตชนมองว่า“การต้องวางระยะห่างทางสังคม”จะทำให้คริสตจักรพ่ายแพ้
คริสตจักรไทยที่ผ่านมา เราเป็นคริสตจักรที่มาพบปะ
และ ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นประจำ แต่เมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ให้แต่ละคนแต่ละครอบครัวต้องเว้นระยะห่างทางสังคม
บ้างต้องเก็บกักตัวในบ้านในครอบครัว และที่สำคัญคือเมื่อเราไม่สามารถที่จะนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ด้วยกัน
หลายคนเกิดคำถามว่า นี่เป็นชัยชนะของซาตานในการทำลายชุมชนคริสตจักรใช่ไหม? สถานการณ์ที่เลวร้ายนี้จะเป็นไปอีกยาวนานแค่ไหน? และเมื่อเปิดให้มานมัสการร่วมกันใหม่เราจะเหลือสมาชิกมาร่วมนมัสการกันสักกี่คน? จะมีสมาชิกที่หายไปไหม? และที่ผู้อภิบาลห่วงใยคือมีสมาชิกบางคนถ้าต้องแยกอยู่ห่างจากเพื่อนสมาชิกในคริสตจักร
เขาอาจจะถูกโจมตีกระหน่ำทางความเชื่อแล้วใครจะให้การอภิบาล? อภิบาลอย่างไร?
ระวัง...อย่าให้มารมันปิดหูปิดตาทางจิตวิญญาณของเรา
ให้มองว่า...นี่เป็นการทำงานของมารที่กำลังมีชัย แต่ในวิกฤติเช่นนี้อย่าลืมว่า พระเจ้าก็กระทำพระราชกิจของพระองค์มิใช่เอาชนะมารเท่านั้น
แต่ทำให้เกิดผลดีแก่ชีวิตของพวกเราด้วย พระองค์ทรงเปิดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับคริสตจักรและคริสตชน
7.
มารทำให้เรามองพลาด-สำคัญผิดในเรื่องการประกาศพระกิตติคุณ
แท้จริงแล้วเราคงยอมรับกันว่า
การที่สมาชิกของเราเมินเฉยในการประกาศพระกิตติคุณนั้นมีก่อนที่จะมีวิกฤติโควิด 19
แล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤติโควิด 19
ที่หลายคนคิดว่าเป็นโอกาสที่จะประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งขึ้น
เพราะคริสตชนไม่พร้อมที่จะทำ
การเห็นโอกาส กับ
การนำพระกิตติคุณเข้าไปถึงชีวิตของผู้ที่ยังไม่เชื่อ ย่อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน ศัตรูทำให้คริสตชนสบายใจในสถานการณ์เลวร้ายนี้ว่า
นี่เป็นโอกาสในการประกาศพระกิตติคุณ...แต่ไม่สามารถลงมือปฏิบัติได้ ถ้าคริสตชนพยายามนำพระกิตติคุณเข้าถึงชีวิตของคนที่ยังไม่เชื่อมันเตรียมแผนขัดขวางอย่างเต็มที่...
ในวันนี้แม้เราจะอยู่ในภาวะที่ยังไม่พร้อมที่จะนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เข้าถึงชีวิตผู้ที่ยังไม่เชื่อ
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำอะไรไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะเริ่มต้นอธิษฐานอย่างจริงจัง
จริงใจ และต่อเนื่อง โดยการอธิษฐานเผื่อคนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- อธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาล และ ผู้นำในคริสตจักรของท่าน
- เลือกอธิษฐานเจาะจงเผื่อผู้ที่ยังไม่เชื่อ 1 คน ที่ท่านรู้จักและอยู่ใกล้เคียงในพื้นที่ที่ท่านอยู่
- อธิษฐานเผื่อผู้สูงอายุที่มีสภาพชีวิตที่ยากลำบากมากในเวลานี้ที่อยู่ในชุมชนของท่าน
- อธิษฐานเผื่อบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และ สาธารณสุขในชุมชนของท่าน และที่โรงพยาบาลอำเภอของท่าน และอย่าลืม อสม. ในชุมชนของท่าน
- อธิษฐานเผื่อนักการเมืองท้องถิ่น เทศบาล อบต. ผู้นำชุมชน
ศึกสงครามทางจิตวิญญาณครั้งนี้ใหญ่หนักหนา
แต่อย่าสิ้นหวัง และก็ต้องไม่ทำผิดพลาดคิดว่าตนจะสู้กับมารร้ายด้วยกำลังของเราที่มีอยู่
สงครามครั้งนี้เป็นพระราชกิจของพระเจ้าที่สู้เพื่อเราและอยู่เคียงข้างเราในยามที่มารโหมกระหน่ำซ้ำเติมเราอยู่ทุกเวลา
กางเขนและการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ยืนยันชัยชนะในพระราชกิจของพระเจ้าในสถานการณ์โควิด
19 ครั้งนี้
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น