ในช่วงวิกฤตโควิด 19 ผมได้ยินมาว่าศิษยาภิบาลหลายท่านที่ได้พึ่งพิงสมาชิกคริสตจักรของตนที่มีความสามารถในการใช้เครื่องมือสื่อสารทางดิจิตัล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนมัสการพระเจ้า และ ในการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ที่ผ่านมา และตัวศิษยาภิบาลเองก็ได้เห็นแล้วว่าเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่เหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในพันธกิจของคริสตจักร
และได้เรียนรู้และเห็นถึงคุณค่าในของประทานด้านนี้ของสมาชิกเหล่านั้น ผมเองหวังว่า
หลังโควิด 19
ศิษยาภิบาลจะเชิญคนเหล่านี้เข้ามาร่วมในพันธกิจคริสตจักร การเสริมสร้างและมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบแก่สมาชิกที่มีของประทานในทางนั้น
ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่า ศิษยาภิบาลทุกท่านจะทำเช่นว่านี้ ทั้งนี้เพราะศิษยาภิบาลส่วนหนึ่งมีความจำกัด-ติดขัด
(ส่วนตัว) ในการสร้างเสริมสมาชิกให้ร่วมในการทำงานพันธกิจ ดังนี้
1. ศิษยาภิบาลให้คุณค่าของตนอยู่ที่ผลของงานที่ทำ
ในเมื่อเราให้คุณค่าของตนอยู่ที่ความสำเร็จในองค์กรที่ตนเป็นผู้นำ
เราจึงมักจะไม่มอบหมายงานความรับผิดชอบให้คนอื่นทำ เพราะมองว่านั่นเป็นวิธีการที่เสี่ยงเกินไปที่จะทำเช่นนั้น
เพราะคุณค่าความสำคัญจากความสำเร็จจะตกไปอยู่กับคนอื่น เรื่องนี้ติดขัดที่มุมมองของศิษยาภิบาลครับ
2. เพราะเรามิได้ใส่ใจกับภาพของ
(คริสตจักรเปรียบเหมือน) การทำงานในพระกายพระคริสต์ตามใน 1
โครินธ์ บทที่ 12
ถ้าเราเลือกที่จะทำทุกอย่างในคริสตจักรด้วยตัวของเราเอง
เราก็กำลังปฏิเสธภาพการทำงานของพระกายพระคริสต์ จึงไม่แปลกที่ศิษยาภิบาลบางท่านบ่นว่าตนต้องทำหน้าที่เป็นภารโรง
ถึง นักเทศน์ เพราะศิษยาภิบาลมีความอ่อนด้อยในการมอบหมายงานพันธกิจด้านต่าง ๆ ที่เหมาะสมแก่สมาชิกแต่ละคน
มักจะมีคำถามว่า “แล้วเขาจะทำได้หรือ?”
3. เราไม่เคยเห็นรูปแบบตัวอย่างของการมอบหมายงานที่ดี
ศิษยาภิบาลหลายท่านได้รับเอารูปแบบการทำงานจากศิษยาภิบาลเดิมของตนที่มีจุดอ่อนในการมอบหมายงานเช่นกัน
หรือไม่ก็มักคิดว่าเราต้องทำเองทุกอย่างเพื่อเราจะมีคุณค่าในสายตาของคณะธรรมกิจ
ผู้ใหญ่ในคริสตจักร และ สมาชิก ศิษยาภิบาลขาดประสบการณ์ตรงที่สำคัญ และหลายท่านไม่ได้รับสิ่งนี้จากพระคริสต์ธรรม
4. เราต้องปล้ำสู้กับการที่
“ตนเองเป็นรูปเคารพ” ในใจของตน
ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้จะมีความคิดความเชื่อว่า
ในคริสตจักรนี้ไม่มีใครที่สามารถทำได้ดีกว่าตน ดังนั้นจึงสรุปว่า ไม่มีใครที่สมควรจะทำสิ่งเหล่านี้
หรือไม่มีใครทำสิ่งนี้ได้ นอกจากตนเอง
5. เราไม่มีเวลา
หรือ มีกำลังที่จะฝึกสอนให้คนอื่นทำ
การฝึกฝนคนอื่นให้ทำงานพันธกิจใด
ๆ ต้องใช้เวลา ต้องลงทุนลงแรงมาก อีกทั้งเป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ถ้าเราทำเองมันง่ายกว่าเยอะ
อีกทั้งทำให้คนรอบข้างเห็นว่าตนมีงานที่ต้องทำที่เร่งรีบและล้นมือ ศบ.กลุ่มนี้คิดว่านี่คือวิธีสร้างคุณค่าในตนเอง?
6. เราชอบการควบคุมและเราต้องการควบคุม
พูดตรงไปตรงมา ลึก ๆ เรามีความรู้สึกว่า
ถ้าเราฝึกใครสักคนจนทำเป็นดีและมีความสามารถ เมื่อเราให้เขาออกไปทำงานที่เราฝึกให้นั้น
เขาก็เริ่มจะออกห่างจากการควบคุมของเรา เพราะเขาสามารถทำด้วยตนเองได้
เขาจะอยู่ใต้การควบคุมของเราน้อยลง เรารู้สึกสูญเสียอำนาจในการควบคุม?
7. เราเคยมีประสบการที่ไม่ดีกับการมอบหมายงาน
ประสบการณ์ที่แย่ ๆ ของอดีตมันคอยหลอกหลอนเรา
ทำให้เรามัวใส่ใจคอยขจัดความผิดพลาดในอดีตในงานใหม่ที่กำลังมอบหมาย
(ซึ่งสถานการณ์ครั้งใหม่ไม่จำเป็นจะต้องมีสถานการณ์เหมือนซ้ำกับอดีตที่ผ่านมา)
8. เราไม่มีวิธีการและกระบวนการที่จะช่วยให้สมาชิกคริสตจักรในการค้นหาของประทานที่มีอยู่ในตัวของสมาชิกแต่ละคน
เราจะมอบหมายงานและพันธกิจได้อย่างไรถ้าเราไม่รู้ว่าแต่ละคนที่เราจะมอบหมายนั้นมีของประทานอะไรบ้างในตัวเขา
แย่กว่านั้นอีก ถ้าเจ้าตัวไม่รู้ว่าตนเองมีของประทานอะไรบ้าง ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ช่วยให้สมาชิกในการค้นพบของประทานจากพระเจ้าในตัวของเขา
9. คริสตจักรไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนสมาชิกในการทำงานและพันธกิจของคริสตจักร
ทั้งนี้เพราะคริสตจักรมีมุมมองว่า
เขาจ้างศิษยาภิบาลมาก็เพื่อที่จะให้ทำงานและพันธกิจเหล่านี้ของคริสตจักรอยู่แล้ว
10. เรากลัวว่าคนอื่นจะทำดีกว่าตัวเราเอง
(และอาจจะได้รับเกียรติจากงานที่เขาทำ)
ไม่มีใครยอมรับอย่างเปิดเผยหรอกว่าเราคิดเช่นนั้น
แต่ศิษยาภิบาลกลุ่มหนึ่งที่ต้องปล้ำสู้กับความคิดนี้ในตนเอง
11. เรามองไม่เห็นว่าพันธกิจที่ทำนั้นมีความสำคัญจำเป็นต่อชุมชนสังคมโลก
เรามักมองว่าพันธกิจที่เราทำนั้นเป็นเพียงสิ่งที่สำคัญจำเป็นในคริสตจักร
และ บางเรื่องในชุมชนเท่านั้น ไม่ได้เป็นความสำคัญจำเป็นอะไรมากมายต่อสังคมโลกโดยส่วนรวม
ดังนั้นไม่น่าจะต้องทุ่มเทฝึกฝนคนมากมายถึงขนาดนั้น
12. เราไม่ได้อธิษฐานทูลขอเพียงพอสำหรับขอคนทำงานและพันธกิจเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเราอธิษฐานอย่างที่พระคริสต์สอนในลูกา
10:1-2 ทูลขอคนทำงานเพิ่มมากขึ้นแล้ว เราจำเป็นจะต้องเตรียมและฝึกฝนคนอื่น ๆ ในคริสตจักรและเต็มใจแบ่งปันภาระงานกับคนเหล่านี้
การเปลี่ยนแปลง
พัฒนาการทำพันธกิจของคริสตจักรหลังโควิด 19 คงไม่ใช่คริสตจักรท้องถิ่นทุกแห่งที่จะทำให้เกิดขึ้นเองได้
แต่มีคำถามว่า แล้วหน่วยงานเสริมพันธกิจคริสตจักร หน่วยงานศิษยาภิบาล สภาคริสตจักรในประเทศไทย
ได้มีการเตรียมการหนุนเสริมศิษยาภิบาลในเรื่องข้างต้นนี้ หลังโควิด 19 หรือไม่ อย่างไร? อาจจะเป็นประเด็นหลักที่จะต้องพิจารณาร่วมกันกับคริสตจักรท้องถิ่นทั้งหลาย
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น