การสะท้อนย้อนคิดถึงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
2020
ข้างนอกยังมืด แต่ข้างในอุโมงค์สว่าง
ในอุโมงค์นั้นว่างเปล่า สิ่งที่สาวกวางแผนในใจที่จะทำ แต่กลับไม่ได้ทำและทำไม่ได้ และในความว่างเปล่านั้นเอง
ทำให้สาวกต้องงงงวย แต่แล้วมาพบว่า พระเจ้ามีแผนการของพระองค์เพื่อพวกสาวก และ
เพื่อพวกเราตอนนี้ด้วย!
พระเจ้าทรงสร้างโลกและในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่เจ็ด
พระองค์กำหนดให้เป็นวันสะบาโต เป็นวันที่หยุดพักจากพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระองค์
แต่น่าเสียดายและเสียใจอย่างยิ่งที่มารได้ทำลายพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า
จนพระเยซูคริสต์ต้องเข้ามาในโลกนี้เพื่อกอบกู้ไถ่ถอนโลกที่พระองค์ทรงสร้างจากอำนาจครอบงำของมาร
และในเช้าวันอาทิตย์พระองค์ทรงมีชัยเหนือความตาย ที่มารหลอกล่อหยิบยื่นยัดเยียดแก่มนุษย์
และนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการทรงสร้างใหม่ของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
ดังนั้น สำหรับคริสตชนวันอาทิตย์จึงเป็นวันแรกของสัปดาห์
(วันต้นสัปดาห์) วันเริ่มต้นของการร่วมสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน
และคริสตชนเริ่มต้นวันแรกของสัปดาห์ด้วยการนมัสการ รับการทรงนำ และ
รับพลังชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
วันเสาร์ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
ส่วนมากมักเข้าใจกันว่าวันนี้เป็น “วันเงียบ” บางคริสตจักรก็จัดให้สมาชิกมีโอกาสเงียบเพื่อทบทวน
และ ใคร่ครวญถึงชีวิต คำสอน และพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำบนแผ่นดินโลกนี้
มีคนถามว่าแล้วในวันเสาร์ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลยหรือ? ทำไม ถึงให้วันนี้เป็นวันที่ “เงียบเชียบ”? แล้วสำหรับคริสตชน
ในวันเสาร์นี้เราทำอะไรกัน? (แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่มีจุดประสงค์เพื่อให้คริสตชนไปเยี่ยมสุสานที่ฝังญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงหลับไปแล้ว
หรือการไปทำการกำจัดความรกแล้วทำสะอาดปีละครั้ง และบ้างก็นำแจกันดอกไม้ไปไว้หน้าอุโมงค์ฝังศพแสดงถึงการคิดถึง...
สิ่งเหล่านี้มิใช่จุดประสงค์ของวันเสาร์ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ตามพระคัมภีร์แน่!)
สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นด้วยวันอาทิตย์ทางปาล์มที่ประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่า
กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะช่วยกู้พวกเขาทางการเมืองให้หลุดรอดออกจากการครอบครองของโรมันได้เริ่มต้นแล้ว
จึงมีการโห่ร้องต้อนรับพระเยซูคริสต์ที่ทรงลาเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็มด้วยการโบกกิ่งไม้
และปูเสื้อผ้าของตนเองบนถนนที่พระเยซูจะเสด็จผ่าน พร้อมกับร้องว่า โฮซันนา (ยอห์น
12:13)
แล้วตามมาด้วยวันพฤหัสฯ
แห่งการสถาปนาความหมายใหม่แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาพระเจ้าทรงกอบกู้และไถ่ถอนชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
และพวกยิวทำพิธีปัสกาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญนั้น แต่ในค่ำคืนวันพฤหัสฯ นั้นพระเยซูคริสต์ได้สถาปนาพิธีมหาสนิท
ซึ่งเป็นความหมายใหม่ของแผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์จะทรงกอบกู้ไถ่ถอนออกจากการตกอยู่ใต้อำนาจของมารและความตายเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า
ซึ่งในแผ่นดินใหม่ของพระเจ้าแตกต่างจากเดิม ทุกคนได้รับการทรงเรียกและบัญชาให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระคริสต์
ดังนั้น จำเป็นที่ทุกคนจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างใหม่ และรับพระกำลังจากเบื้องบนโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
มากกว่านั้น ลักษณะกษัตริย์
หรือ ผู้นำชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่แต่ละคนจะเข้าร่วมนั้น เป็นผู้นำที่ต้องรับใช้คนอื่น
“ต้องล้างเท้าสาวกของตน” ผู้ใหญ่ผู้นำต้องลดตัวลงรับใช้ลูกน้อง สาวก สมาชิกของตน ผู้นำต้องล้างเท้าคนที่ต่ำต้อยยากจนกว่าตน
ผู้นำไม่ใช่เจ้านาย แต่เป็นคนใช้ของคนอื่น และ
การที่ได้เป็นผู้นำมิใช่เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์ ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจ แต่การเป็นผู้นำในแผ่นดินของพระเจ้าคือการให้
ให้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อคนอื่นจะมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะสถาปนาพิธีมหาสนิทพระเยซูคริสต์ทรงล้างเท้าสาวกทีละคน
เพื่อให้สาวกได้สัมผัสกับสัจจะความจริงและพระประสงค์ของพระองค์ด้วยการล้างเท้าสาวกของพระองค์
ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเรียกร้องให้สาวกทุกคนให้สานต่อพระราชกิจของพระองค์ด้วย
“ชีวิตที่ให้ชีวิต” เพื่อให้คนรอบข้างจะได้ชีวิตใหม่
แต่สิ่งที่กล่าวในข้างต้นนี้มิได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเท่านั้น
แต่เป็นประสบการณ์ตรงในชีวิตกับพระคริสต์ ที่จะค่อย ๆ หล่อหลอม บ่มเพาะ
ฐานเชื่อกรอบคิด (mindset) ของสาวกแต่ละคน ให้เป็นฐานเชื่อกรอบคิดในการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันต่อไป
แล้ววันเสาร์ที่เงียบเชียบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยหรือ?
พระกิตติคุณลูกา
ได้เล่าถึงเหตุการณ์คร่าว ๆ โดยสังเขปไว้ดังนี้ “วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม
และใกล้จะถึงวันสะบาโตแล้ว พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น
ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย
แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ”
(ลูกา 23:54-56 มตฐ.)
ดังนั้น วันศุกร์บ่ายใกล้เย็นที่เขาเอาพระศพพระเยซูลงจากกางเขน
แล้วโยเซฟแห่งอริมาเธีย (ซึ่งเป็นสมาชิกสภาศาสนาของยิว เป็นคนดีและชอบธรรม และไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภาฯ
นั้น เป็นคนที่รอคอยแผ่นดินของพระเจ้า และมีบางข้อมูลบอกว่าเขาเป็นคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์)
ได้ขอพระศพจากปิลาต เอาพระศพลงจากกางเขน เอาผ้าป่านพันหุ้มพระศพ แล้วรีบนำไปฝังในอุโมงค์ที่เจาะเข้าในศิลา
เป็นอุโมงค์ใหม่ที่เขาทำไว้ยังไม่มีใครใช้มาก่อน ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้กระทำกันอย่างรีบเร่งเพื่อให้เสร็จก่อนจะถึงเวลาเริ่มต้นของวันสะบาโต
อย่างไรก็ตามสาวกสตรีที่ติดตามพระเยซูคริสต์เห็นการนำพระศพลง การนำพระศพไปอุโมงค์ และการวางพระศพในอุโมงค์
แต่พวกเธอไม่มีโอกาสที่จะชโลมพระศพของพระเยซูคริสต์ด้วยเครื่องหอมกับน้ำมันหอมตามประเพณีปฏิบัติ เพราะไม่มีการเตรียมสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ประจวบกับความรีบเร่งเพราะกำลังจะเริ่มวันสะบาโต
เมื่อเขาเห็นที่ฝังพระศพ และ การฝังพระศพเสร็จแล้ว พวกเธอรีบกลับไปที่พักเพื่อเตรียมเครื่องหอมและน้ำมันหอม
เพื่อเมื่อผ่านวันสะบาโตไปแล้วจะได้นำสิ่งเหล่านั้นที่เตรียมไปชโลมพระศพพระเยซูคริสต์
เมื่อวันสะบาโตสิ้นสุดลง
และเริ่มต้นรุ่งอรุณวันใหม่ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ พวกเธอก็ได้นำน้ำมันและเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้เพื่อหวังที่จะชโลมพระศพของพระอาจารย์ของพวกเธอ
แต่เช้านั้นเองที่พวกเธอได้พบเจอกับเหตุการณ์การอัศจรรย์พันลึก เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
“ฐานเชื่อกรอบคิด” (mindset) ของพวกเธออย่างสิ้นเชิงและตลอดไป
(ดูรายละเอียดในลูกา บทที่ 24)
ในวันสะบาโต
หลายคนคงคิดว่าพวกสาวกโดยเฉพาะกลุ่มสาวกสตรีคงร้องไห้โศกเศร้า และ เกิดความสงสัยในสิ่งที่เคยหวัง
คือความหวังของการกอบกู้ดูริบหรี่ลง ไม่รู้ว่าพวกตนจะเดินต่อไปอย่างไร และอาจจะมีความกลัวที่พวกผู้นำศาสนาจะมาจับพวกตนที่เคยติดตามพระเยซูคริสต์
ในวันสะบาโตพระองค์ยังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์
และเมื่อถึงเวลาที่ทรงกำหนดของพระองค์ ในเช้าวันอาทิตย์นั้นเอง พระราชกิจแห่งความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเชื่อและไม่คิดมาก่อน
ได้เกิดขึ้นเป็นจริง เป็นรูปธรรม
ตามที่พระองค์เคยบอกสาวกก่อนหน้านี้แล้ว แต่พวกเขามิได้เชื่อ จึงมิได้เข้าใจ
เพราะเกินความสามารถที่เขาจะเข้าใจได้ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้าง
“ฐานเชื่อ และ กรอบคิด”
ของสาวกใหม่ด้วยการให้พวกเขาได้มีประสบการณ์กับการเป็นขึ้นใหม่ของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรม
ประสบการณ์ตรงที่เขาได้รับจากพระคริสต์ต่างหากที่ทำให้สาวกเกิดความเชื่อศรัทธาที่แท้จริงที่หยั่งรากลึกในสัจจะความจริง
มิใช่เพียงข้อมูล คำสอนเท่านั้น
ใช่สินะ ความเชื่อศรัทธาที่เกิดจากประสบการณ์ตรงเชิงประจักษ์ต่างหากที่ทำให้ผู้คนเกิดความเชื่ออย่างทุ่มเททั้งชีวิต
เช่น สาวกสองคนที่กำลังเดินทางไปที่เอมมาอุส เปาโลบนเส้นทางไปดามัสกัส โธมัสที่รับคำท้าทายจากพระเยซูคริสต์ให้พิสูจน์ความจริงด้วยการเอานิ้วแยงเข้าไปที่บาดแผลที่มือ
เท้า และสีข้างของพระองค์ เปโตรที่พระเยซูตามหาเขาเมื่อคืนพระชนม์และได้ยกโทษพร้อมกับให้โอกาสใหม่
และบัญชาเขาให้เลี้ยงแกะของพระองค์ และ ฯลฯ
ในวิกฤติโควิด 19 ที่ผ่านมา
คริสตจักรของเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงอะไรบ้างจากพระคริสต์ในเหตุการณ์นี้ ที่ทำให้ “ฐานเชื่อ กรอบคิด”
ของเราในเรื่องการเป็นสาวกของพระคริสต์ และ คริสตจักรที่สานต่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้ได้หยั่งรากลงลึกในพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น