3-4
สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์โควิด 19 มวลมนุษยชาติไม่สามารถที่จะคาดการณ์อะไรได้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 อย่างรวดเร็วและรุนแรง จนมวลมนุษย์ประสบความมึนงง แต่พบว่า...พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในสถานการณ์นี้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ธุรกิจ หรือแม้แต่คริสตจักรเอง ต่างก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนควานหาข้อมูลความจริงที่ผุดโผล่ขึ้นมาใหม่
ๆ ในแต่ละวัน เพื่อจะปรับแผนไล่ให้ทันกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ที่ไม่เคยมีในความคาดคิดมาก่อนหน้านี้เลย
ในภาวะที่ไม่แน่นอน-มั่นคงผสมกับความตื่นตระหนกกลัว
จากรายงานทั่วโลกของการแพร่ระบาดทำให้รู้สึกว่า “มันเหนือความสามารถควบคุมของมนุษย์”
ความรู้สึกเช่นนี้ง่ายที่จะทำให้เรามีมุมมองต่อสถานการณ์ดังกล่าวในแง่ร้าย ในฐานะที่เราเป็นผู้นำในการอภิบาลชีวิต และ
ในการทำพันธกิจทำให้เกิดคำถามมากมายขึ้นในความคิดจิตใจของเรา เช่น...
- จากการที่สมาชิกคริสตจักรต้องปฏิบัติ “การอยู่ระยะห่างจากกัน” (Physical Distancing) และการวางระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) ถ้ายิ่งนานออกไปที่ไม่ได้มาร่วมกันที่คริสตจักร (อาคารโบสถ์) จะกลายเป็นความเคยชินและอาจจะมีผลทำให้สมาชิกมาร่วมในคริสตจักรลดน้อยลงไปไหมในอนาคตเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว?
- ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยและยากลำบาก จะต้องมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของคริสตจักรแน่ และยิ่งถ้าไม่มีการพบกันในโบสถ์การถวายจะเป็นอย่างไรในอนาคต? สถานะทางการเงินของคริสตจักรจะอยู่รอดไหม?
- การที่สมาชิกไม่ได้มาพบปะกันที่โบสถ์สร้างผลกระทบต่อกระบวนการสร้างสาวกพระคริสต์ในคริสตจักร
และ มีผลกระทบต่อความเป็นหนึ่งเป็นเอกภาพในคริสตจักรหรือไม่?
ผมได้เฝ้าดูการตอบสนองของผู้อภิบาลและผู้นำคริสตจักรท้องถิ่นต่อสถานการณ์ที่วุ่นวายสับสนนี้ ขอแบ่งการตอบสนองออกเป็น 3 ภาพใหญ่คือ
ภาพแรก
กลุ่มคริสตจักรที่ทำตามคำขอร้องของรัฐบาล
ที่หยุดการรวมตัวทำกิจกรรมของคนกลุ่มใหญ่ (ตามหลักการของ Social
Distancing เพื่อการหยุดและป้องกันการแพร่กระจายของ โควิด 19) แต่ผู้อภิบาลกลุ่มนี้ไม่มีความสามารถ และ ประสบการณ์การ
“อภิบาลด้วยกระบวนการทางไกล” จึงไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่ตามข่าวว่าสมาชิกคนไหนเจ็บป่วยแล้วก็โทรศัพท์ไปอธิษฐานเผื่อ
สำหรับการนมัสการในวันอาทิตย์ ผู้อภิบาลและผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้ขาดความรู้และทักษะในการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์
หรือ เครื่องมือสื่อสารทันสมัย พวกเขาอาจจะส่งข้อพระคัมภีร์ไปให้สมาชิกในกลุ่มไลน์
หรือ ลงในเฟสบุ๊คบัญชีของตน คาดหวังว่าสมาชิกจะเปิดอ่าน นอกนั้นก็อธิษฐานเผื่อรอเวลาที่สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติดังเดิม
ภาพที่สอง
กลุ่มที่สองนี้เป็นคริสตจักรท้องถิ่นที่ผู้อภิบาลหรือ
ผู้นำคริสตจักรบางท่านที่ไม่รู้หรือเข้าใจ หรือ ไม่เชื่อเรื่อง
“การอยู่ระยะห่างทางสังคม” ตามมาตรการการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ดังนั้น จึงยังเปิดอาคารคริสตจักร หรือ การพบปะตามบ้านสมาชิกในการนมัสการ
ซึ่งถูกมองว่า เป็นกลุ่มชนที่ไม่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของทางราชการ
ภาพที่สาม
กลุ่มสุดท้ายนี้เป็นคริสตจักรที่ให้ความร่วมมือตามมาตรการของทางราชการเพื่อเป็นการป้องกัน
และ พยายามหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 แต่ผู้อภิบาลและผู้นำคริสตจักรกลับมีมุมมองว่า
ในภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้พระเจ้ากำลังทำพระราชกิจในตัวเขา ในคริสตจักร
และในชุมชนรอบข้างของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงแสวงหาทางที่จะเข้าร่วมมีส่วนในกระบวนการพระราชกิจของพระเจ้าในวิกฤติโควิด
19 ทั้งในระดับส่วนตน ในชุมชนสมาชิกคริสตจักร และในชุมชนสังคมรอบข้างของตน
ขอตั้งข้อสังเกตว่า คริสตจักรในภาพที่สามนี้ส่วนใหญ่เป็นคริสตจักรที่มีประสบการณ์ในการทำพันธกิจอภิบาลชีวิตคนในชุมชน
และมีการสร้างสมาชิกคริสตจักรของตนให้มีชีวิตสาวกพระคริสต์ที่เข้าร่วมสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในชุมชนอยู่ก่อนที่จะเกิดภาวะวิกฤติโควิด
19 แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตินี้ คริสตจักรเหล่านี้สามารถใช้ความรู้ ทักษะ
และประสบการณ์ในการปรับใช้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ คริสตจักรกลุ่มนี้ตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่
ๆ ในการร่วมพระราชกิจของพระเจ้าในวิกฤตกาลนี้
ยิ่งกว่านั้นเกิดการเรียนรู้และมีประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายพวกเขาให้ใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นโอกาสที่จะสร้างสมาชิกให้เป็นสาวกพระคริสต์มากยิ่งขึ้นผ่านการรับใช้พระคริสต์ในสถานการณ์โควิด
19 นี้ คริสตจักรกลุ่มนี้กำลังพบว่า
หลังความสูญเสีย เจ็บปวด ในวิกฤติโควิด 19
นี้คริสตจักรท้องถิ่นในประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บ้างพูดถึงขนาดที่ว่า “ไม่โตก็ตาย”
(เอ๊ะ! พูดอย่างงี้ไม่แรงไปหน่อยหรือพี่?)
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คริสตจักรกลุ่มนี้มีความหวาดกลัวต่อ
โควิด 19 เช่นกัน แต่คริสตจักรก็พร้อมที่จะเจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด
19 ครั้งนี้ และเรากำลังมองเห็นถึงความเข้มแข็งและเติบโตขึ้นของคริสตจักรด้วย
ดังนี้
แล้วคริสตจักรของท่านเป็นกลุ่มไหนครับ?
แต่ที่แน่นอนคือ ไม่ว่าท่านจะเป็นคริสตจักรในภาพใดก็ตาม
หลังวิกฤติโควิด 19 คริสตจักรจะไม่เหมือนเดิม ดังนี้
1. ช่วงนี้ผู้ทำพันธกิจ
และ ผู้อภิบาล มีโอกาสที่จะแยกตัวเอง “เก็บตัวอยู่เงียบ”
ที่ผ่านมาเนื่องจากคริสตจักรท้องถิ่นมีบุคลากรที่จำกัดในการทำพันธกิจด้านต่าง
ๆ ต้องทำงานมากทำงานหนักเพราะคนน้อย ในเวลาช่วงนี้มีโอกาสที่จะต้องอยู่ห่างทางสังคม
หรือ บางท่านต้องเก็บกักตนเอง ในเวลาช่วงนี้เป็นโอกาสที่จะได้อยู่เงียบใคร่ครวญ
ภาวนา ติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น และบางคนมีโอกาสแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของตนอย่างจริงจัง
บางคนอาจจะมีโอกาสมองไปข้างหน้าเมื่อภาวการณ์เปลี่ยนแปลงเริ่มอยู่ตัว
เพื่อจะดูว่าตนจะมีชีวิตและทำพันธกิจอย่างไรในสถานการณ์ใหม่
2. เปิดประตูใหม่แห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในชุมชน
ในภาวการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 ผู้คนถูกบีบให้ต้องขับเคลื่อนชีวิตให้ช้าลง ด้วยความระมัดระวัง มีเวลาที่จะสนใจถึงข่าวคราวความเป็นไปของสถานการณ์
และสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน
ถ้าคริสตจักรใดมีโอกาสที่จะใช้พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
หรือ ข่าวดีแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์ในช่วงเวลาวิกฤติในชีวิตของผู้คน และหนุนเสริมให้สมาชิกแต่ละคนหาทางติดต่อ
สื่อสารสัมพันธ์กับผู้คนในชุมชน ผ่านเครื่องมือสื่อสารออนไลน์ นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการนำข่าวดีของพระเยซูคริสต์เข้าไปเป็นคำตอบในชีวิตของคนที่สมาชิกคริสตจักรได้ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์ด้วย
และเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสใหม่สำหรับการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์ในชุมชนของตน
มิติใหม่ของการสื่อสัมพันธ์พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นพันธกิจชีวิตของสมาชิกแต่ละคนที่ทำและขับเคลื่อนในชีวิตประจำวัน
และ ในผู้คนชุมชนที่ตนรู้จัก ด้วยศักยภาพความสามารถ หรือ ของประทานที่พระเจ้าประทานที่มีและเป็นอยู่จริงในแต่ละตัวคน
ตามสถานการณ์หรือบริบทที่เป็นจริงในชุมชนนั้น ๆ
3. การทำพันธกิจมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องต่อความเป็นอยู่จริง
และ บริบทในชุมชนตนมากยิ่งขึ้น
หลังสถานการณ์ โควิด 19 การทำพันธกิจนคริสตจักรจะมีประสบการณ์ใหม่ แทนที่จะลอกเลียนรูปแบบการทำพันธกิจตาม
“สูตร” ต่าง ๆ แต่คริสตจักรจะค้นพบว่า ตนเองสามารถทำพันธกิจตามประสบการณ์ในช่วง
“โควิด 19” ที่ผ่านมา
แต่ละคริสตจักรท้องถิ่นจะแสวงหากระบวนการทำพันธกิจบนฐานความเป็นจริงบนศักยภาพและความสามารถตามของประทานของสมาชิกแต่ละคน
ที่จะตอบสนองต่อความเป็นจริงในชีวิตของผู้คนในชุมชนตามที่เป็นอยู่ และจะเป็นโอกาสของการค้นพบวิธีการ
กระบวนการ และขั้นตอนใหม่ ๆ ในการทำพันธกิจของตน
ในเวลาเดียวกัน พันธกิจชีวิตในคริสตจักรก็จะเกิดการปรับเปลี่ยนไปด้วย
แทนที่จะเน้นที่ชั้นเรียนรวีฯ ในวันอาทิตย์ตามขั้นอายุ แต่อาจจะเปลี่ยนมาหนุนเสริมให้แต่ละครอบครัวเอาใจใส่ความเติบโตในชีวิตและความเชื่อของบุตรหลานและคนในครอบครัวของตน
การสร้างสาวกพระคริสต์อาจจะต้องเปลี่ยนจากชั้นเรียนในโบสถ์ ไปสู่การสร้างสาวกในกลุ่มเล็กผ่านสื่อออนไลน์ตามเวลาสะดวกของแต่ละกลุ่ม
และให้นำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งเป็นการสร้างสาวกเชิงปฏิบัติ ในพื้นที่ชุมชนชีวิตประจำวันของสมาชิกในกลุ่มเล็กแต่ละคน
และมีการติดตามหนุนเสริมในกลุ่มเล็กออนไลน์ โดยเน้นการเสริมสร้างสาวกพระคริสต์ในครอบครัว
ในที่ทำงาน ในกลุ่มเพื่อนใกล้ชิด และ ในชุมชนท้องถิ่นของตน
4. คริสตจักรเรียนรู้และเกิดความกล้าขึ้นในการจัดการด้วยเทคโนโลยีใหม่
ๆ
ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 บางคริสตจักรได้ริเริ่มใช้สื่อออนไลน์ทันสมัยในการนมัสการพระเจ้า และ
ในพันธกิจบางด้านของคริสตจักรก่อนแล้ว บางคริสตจักรยังกล้า ๆ กลัว ๆ ในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีทันสมัยเหล่านั้น
บางคริสตจักรกลับมองว่าการทำเช่นนั้นเป็นการสร้างความเด่นดังแก่คริสตจักรของตน จึงต่อต้าน
แต่จากประสบการณ์ และ
สถานการณ์ที่บีบบังคับจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้หลายคริสตจักรได้รับประสบการณ์ใหม่จากการใช้สื่อออนไลน์ทันสมัยในพันธกิจการนมัสการพระเจ้าออนไลน์
และการใช้สื่อออนไลน์ในพันธกิจด้านอื่น ๆ ทำให้มีนิมิตถึงการทำพันธกิจคริสตจักรด้วยสื่อออนไลน์ในลักษณะต่าง
ๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับตนและสภาพบริบทที่เป็นอยู่ของคริสตจักร
ทั้งนี้รวมถึงผู้นำและศิษยาภิบาลส่วนหนึ่งที่ตั้งใจที่จะแสวงหาความรู้และทักษะในการใช้สื่อออนไลน์ทันสมัยเพื่อสามารถนำมาใช้ในงานพันธกิจด้านต่าง
ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานกลางเสริมพันธกิจคริสตจักรจะต้องเข้ามาหนุนเสริมในเรื่องนี้บนความเป็นจริงของคริสตจักร
5. เลิกถกเถียงกันในบางเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์
กลับมาสนทนากันที่เรื่องที่หนุนเสริมเพิ่มพลังกันและกันของคริสตจักร
สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด
19 ทำให้การถกเถียงกันในความแตกต่างของคริสตจักรเอง ไม่ว่าเรื่องลัทธินิกาย พิธีกรรมปฏิบัติ กลับเงียบเสียงลงแต่เสียงขอการปรึกษาแสวงหาว่า
คริสตจักรจะตอบสนอง และ ทำพันธกิจด้านต่าง ๆ อย่างไรที่จะสามารถทะลุอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ค่อย
ๆ เกิดขึ้น
และนี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นนำสู่ความสำเร็จตามพระดำรัสของพระเยซูคริสต์ที่ว่า
“ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35 มตฐ.) ดูเหมือนว่าในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานของโควิด 19
คริสตจักรที่เคยมีแต่ถกเถียงเอาแพ้เอาชนะกันกลับหันหน้าเข้าหากันด้วยท่าทีที่รักเมตตาต่อกัน
และถ้านี่ควรเป็นมุมมองใหม่ของคริสตจักรท้องถิ่นที่มีต่อกัน
เอกภาพความเป็นหนึ่งของคริสตจักรในพระคริสต์ก็จะชัดเจน และ
สังคมโลกจะมีมุมมองต่อคริสตจักรในเชิงบวกและเกิดความสนใจแน่นอน
6. มองให้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด
19
ให้เราคริสตชนอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างร้อนรนจริงใจในสถานการณ์วิกฤตโควิด
19 และในเวลาเดียวกันให้เรารับใช้คนในชุมชนด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม ตามศักยภาพ
ความสามารถ ตามของประทานที่มีในแต่ละตัวคน ตามบริบทของสังคม
ในเวลาเดียวกันให้เรารักและใส่ใจทุกคนในพระกายของพระคริสต์คือสมาชิกคริสตจักรในภาวะที่เราต้องรักษาระยะห่างทางสังคม
แม้ว่าแต่ละคนแต่ละบ้านสมาชิกต่างต้องอยู่ในพื้นที่ของตนเอง แต่เราต้องตระหนักเสมอว่าพระเจ้าสถิตเคียงข้างเราเสมอไม่ว่าเราจะอยู่
ณ ที่ใดก็ตามในสถานการณ์นี้
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ
แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เราเห็นว่าเลวร้าย ทำร้าย และ ทำลาย เราคริสตชนแต่ละคนต้องนิ่ง
และ สงบแล้วมองให้เห็นในแต่ละวันถึง “พระหัตถ์ของพระเจ้า”
ว่าพระองค์กำลังกระทำพระราชกิจอะไรในภาวะวิกฤติของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในช่วงเวลานี้ และเราจะมีส่วนเข้าร่วมในพระราชกิจนี้อย่างไรในชุมชนของเรา
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น