โดยปกติ...ผู้นำทุกคนต่างคาดหวังว่า
ทีมงานทุกคนจะช่วยกันขับเคลื่อนงาน และ พันธกิจในองค์กรของตนให้ไปสู่เป้าหมาย และ
วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ และหน้าที่ประการหนึ่งของผู้นำคือ การช่วยและเสริมหนุนให้ทีมงานแต่ละคนรู้และทุ่มเทเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ขององค์กร
แต่ผู้นำคริสตชน มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อทีมงานแต่ละคนมากกว่านั้น! แล้วสิ่งนี้คืออะไร?
ผู้นำคริสตชนได้ทำและรับผิดชอบในสิ่งนี้มากน้อยแค่ไหน? อย่างไร?
ทีมงานแต่ละคนในองค์กรของเรา เข้ามาร่วมทีมกับเรามิเพียงแต่ด้วยแรงงานและความรู้ที่เขามีเท่านั้น
แต่ด้วยจิตใจ ความคิด และด้วยของประทานต่าง ๆ
ตะลันต์ความสามารถ และเวลาชีวิตของเขา พวกเขาแต่ละคนหนุนเสริมวิสัยทัศน์ของผู้นำ
และในบางกรณียังทำให้วิสัยทัศน์ของผู้นำงอกงามชัดเจนขึ้น เมื่อทำงานไปได้ 2-3
ปีแล้วมีเพื่อนร่วมทีมที่เข้มแข็งคนหนึ่งมาบอกท่านว่า เขาจะต้องออกจากงานนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำของทีมงานนี้ท่านจะทำอย่างไร?
ท่านจะตอบสนองอย่างไร? ท่านจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?
ในฐานะผู้นำคริสตชน เราใคร่ครวญเสมอถึงอนาคตของงานที่ทำ
ว่างานที่นำและทำอยู่นี้มุ่งไปสู่ทิศทางและเป้าหมายเดียวกันกับแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่?
งานที่เรานำและทำสอดคล้องกับ “ภาพใหญ่” แห่งพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? เราจะทำอย่างไรให้วิสัยทัศน์ที่พระเจ้าประทานแก่เราเจริญเติบโตงอกงามขึ้น?
เราจะทุ่มเทลงทุนชีวิตของเราในทีมงานในงานที่พวกเขากำลังมุ่งไปได้อย่างไร? คำถามเหล่านี้สำคัญมากที่ผู้นำต้องใคร่ครวญเสมอ
โดยเฉพาะในประเด็นคำถามสุดท้ายเป็นประเด็นที่ผู้นำต้องสนใจมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะคำถามประเด็นหลังที่ผู้นำจะต้องมีความรู้สึกไวต่อความจริงที่ว่าการสร้างวิสัยทัศน์ที่งอกงามเติบโตขึ้นนั้นหมายถึงการได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างความเป็นผู้นำและสมาชิกในทีม
บางครั้ง
เมื่อเรากำลังทำงานตามวิสัยทัศน์ที่เรามีเรามักมุ่งมองเฉพาะไปที่วิสัยทัศน์ของงานที่เรากำลังทำ และ เป็นการง่ายที่เราจะมองข้ามความจริงที่ว่า
ทีมงานของเราแต่ละคนต่างก็มีวิสัยทัศน์ที่พระเจ้าประทานมอบหมายแก่เขาในชีวิต แล้ววิสัยทัศน์ของเราจะกลายเป็นตัวถ่วงหรือหยุดยั้งวิสัยทัศน์ของทีมงานแต่ละคนที่เขาได้รับจากพระเจ้าหรือไม่?
ในฐานะผู้นำคริสตชน เราต้องมีส่วนรับผิดชอบในการทุ่มเททุนชีวิตของเราหนุนเสริมแก่ทีมงานแต่ละคนในการมุ่งไปสู่เป้าหมายปลายทางที่พระเจ้าทรงเรียกเขาแต่ละคน
เราต้องเตรียมทีมงานแต่ละคนสำหรับอนาคตของเขา ซึ่งมีแนวโน้มที่เขาจะแยกตัวออกจากงานที่ทำในปัจจุบัน
ไม่เร็วก็ช้า
ในฐานะผู้นำคริสตชน
เราคาดหวังว่าทุกคนที่เข้ามาร่วมทีมงานกับเราจะมีวิสัยทัศน์ของตนเองที่ชัดเจนเด่นชัดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เขาจะจากองค์กรของเราไป
ในฐานะผู้นำคริสตชนจะต้องใช้เวลาสนทนาปรึกษากับทีมงานแต่ละคนเพื่อช่วยเขาให้ชัดเจนว่าชีวิตของเขากำลังมุ่งไปสู่ทิศทางไหน
และค้นหาว่าเขาจะมีย่างก้าวอย่างไรที่จะไปสู่เป้าหมายปลายทางดังกล่าว
ในเวลาเดียวกันเราก็รู้สึกขอบคุณเขาสำหรับงานอันล้ำค่าที่เขาทำในทีมงานของเรา
เราในฐานะผู้นำไม่สามารถที่จะกำกับและใช้เขาเพื่อวิสัยทัศน์ของเราเท่านั้น และเราจะต้องสามารถที่จะแยกแยะชัดเจนว่า
ทีมงานคนไหนที่จะอยู่กับเราในเวลายาวนาน และทีมงานคนใดที่จะอยู่กับองค์กรของเราเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
เราจะต้องมีโอกาสที่ทุ่มเททุนชีวิตของเราเพื่อวิสัยทัศน์ของเขาแต่ละคนด้วย ท่านจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง?
1. อธิษฐานเพื่อทีมงานแต่ละคนเมื่อท่านอธิษฐานส่วนตัวของท่าน
การที่ท่านอธิษฐานเผื่อทีมงานแต่ละคนของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ท่านรู้เท่าทันว่าเขามีชีวิตอย่างไรและรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำท่านไปสู่สัจจะความจริง รวมไปถึงสัจจะความจริงเกี่ยวกับแผนในอนาคตของเขาแต่ละคน
2. ให้เวลาในการฟังและเรียนรู้จากทีมงานแต่ละคน
ให้ท่านกำหนดเวลาประจำที่ท่านจะมีเวลาสนทนาวิสาสะกับทีมงานแต่ละคนเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขา
บางครั้งคนอื่นไม่แบ่งปันความคิดเห็นของเขาแก่ท่าน เพราะท่านไม่ได้ใช้เวลาที่จะถามเขา ฟังเขาบอกท่านถึงความปรารถนาที่เขามีอยู่ในชีวิต
หรือ ฟังความฝันในจิตใจของเขาที่แบ่งปันแก่ท่าน ท่านในฐานะผู้นำมิเป็นเพียงแหล่งให้การแนะนำเท่านั้น
แต่ท่านสามารถให้การชื่นชมต่องานภายหน้าของเขาด้วย
3. ทุ่มเททุนชีวิตของท่านหนุนเสริมวิสัยทัศน์ของทีมงานแต่ละคน
เมื่อทีมงานคนนั้นแบ่งปันวิสัยทัศน์ของเขาแก่ท่าน
ให้ร่วมกันแสวงหาแนวทางที่จะสนับสนุนให้เขาขับเคลื่อนไปสู่วิสัยทัศน์ของเขาด้วยย่างก้าวที่เหมาะสม
ความสำเร็จของการขับเคลื่อนไปสู่วิสัยทัศน์ของเขาก็หนุนเสริมวิสัยทัศน์ของท่านด้วย
ยิ่งถ้าท่านทุ่มเททุนชีวิตในเขามากเท่าใด ท่านก็เปิดพื้นที่ให้เขาและคนอื่นสามารถทุ่มเททุนชีวิตในท่านมากแค่นั้น
คริสตชนเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์
มีเป้าหมายชีวิตสำหรับแต่ละคน เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้นำคริสตชนที่จะต้องคอยอภิบาลฟูมฟัก
และ หนุนเสริมทีมงานแต่ละคนให้มีความชัดเจน
ความพร้อมที่จะขับเคลื่อนชีวิตของเขาให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย แม้ว่า การเคลื่อนสู่เป้าหมายของพระเจ้าในชีวิตของเขา เขาจะต้องออกจากองค์กรหรือการทำงานให้เราก็ตาม
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น