เมื่อพูดถึง “รูปเคารพ” เรามักคิดถึงรูปปั้น
รูปแกะสลักของพระต่าง ๆ แล้วรูปเคารพทางเศรษฐกิจ มันเป็นรูปเคารพแบบไหนกันแน่?
เมื่ออิสราเอลมีพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าของตน
แล้วทำไมถึงยังไปนมัสการพระบาอัล? ทำไมคริสตชนในยุคปัจจุบัน
นมัสการพระเจ้าในคริสตจักร แต่กลับนมัสการรูปเคารพแห่งเศรษฐกิจทุกที่ในชีวิตประจำวันของตน(รวมทั้งในคริสตจักรด้วย)?
ทำไม คริสตชนทำพันธกิจในรูปแบบต่าง ๆ แต่พันธกิจที่ทำกลับมี “เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องใหญ่โต
จนเป็นรูปเคารพหรือไม่?
เมื่อพูดถึงรูปเคารพในพระคัมภีร์เดิม
ขอตั้งข้อสังเกตว่า รูปเคารพเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “อำนาจ” และ “เศรษฐกิจ” เมื่อเราอ่านเรื่องราวที่คนอิสราเอลนมัสการพระบาอัลใน
1พงศ์กษัตริย์ บทที่ 18 เรามักจะคิดว่าพวกเขาทำรูปเคารพในลักษณะต่าง
ๆ แต่ตัวดึงดูดความสนใจของพระบาอัลมิใช่เป็นรูปเคารพที่สวยงาม แต่เป็นเรื่องคำมั่นสัญญาทางเศรษฐกิจ
ในความเชื่อของผู้คนแถบนั้นรวมถึงอิสราเอลด้วย จะเชื่อและเข้าใจว่า
พระบาอัลขับเคลื่อนมาบนเมฆ เป็นผู้นำเอาฝนที่เป็นพระพรให้ไหลหลั่งสู่พื้นดิน ทำให้บังเกิดพืชพันธุ์ธัญญาหาร
และชีวิตที่เกิดใหม่อุดมสมบูรณ์ และเมื่อกษัตริย์อาหับไปแต่งงานกับหญิงจากแผ่นดินที่เชื่อในพระบาอัล
พวกเกษตรกรอิสราเอลได้สร้างวิหาร และ แท่นบูชาให้พระบาอัล (ดู 1พงศ์กษัตริย์ 16:31)
แน่นอนว่า
อิสราเอลส่วนมากจะไม่ปฏิเสธ หรือ เลิกเชื่อในพระเยโฮวาห์ว่าเป็นพระเจ้าของตนอย่างสิ้นเชิง
พวกเขายังไปประกอบศาสนพิธีที่พระวิหาร ยังถวายสิบลด และร่วมประกอบศาสนพิธีที่สำคัญในพระวิหาร
แล้วก็ผนวกเอาการนมัสการพระบาอัลเพิ่มเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง เพื่อประกันความมั่นใจว่าจะได้รับพระพรทางเศรษฐกิจจากพระบาอัล
เกษตรกรอิสราเอลส่วนใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อที่ตนจะเป็นที่โปรดปรานและรับการอวยพรจากพระบาอัล
พระเยโฮวาห์ไม่พอพระทัยในพฤติกรรมแบบนี้ของอิสราเอล
พระองค์ส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มาบอกให้อิสราเอลเลิกกระทำ “แบบจับปลาสองมือ” ดังกล่าว
“พวกท่านจะเหยียบเรือสองแคมไปนานสักเท่าใด?...” (1พงศ์กษัตริย์ 18:21 อมธ.) พระเจ้าประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ว่า
พระบาอัลไม่สามารถให้สิ่งที่ดีแก่อิสราเอล ประชากรของพระองค์ไม่สามารถที่จะเลือกเชื่อศรัทธาพระบาอัลและพระเยโฮวาห์ไปพร้อม
ๆ กัน
พระเจ้าทรงพิสูจน์สัจจะความจริงในเรื่องนี้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่เหนือกว่าพระบาอัล
บาอัลบอกว่าตนเป็นพระเจ้าที่อำนวยสายฝนและความอุดมสมบูรณ์ แต่พระเจ้ากลับทำให้ไม่มีน้ำค้างหรือฝน
เกิดความแห้งเล้ง (1พงศ์กษัตริย์ 17:1) พวกที่นมัสการพระบาอัลต้องประสบกับความอดอยากในช่วงเวลานั้น แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูเอลียาห์ด้วยเนื้อและขนมปังที่อีกาคาบมาให้ทุกเช้าเย็น
(ข้อ 6)
พระองค์ทำให้ประชากรของพระองค์กลับใจหันมาหาพระองค์
พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ประชากรของพระองค์จงรักภักดี ทั้งในการงาน และในการนมัสการพระเจ้า
และนี่มิใช่การต่อสู้ในสนามรบที่มองเห็นด้วยตาเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้หรือสงครามในจิตใจ
และ จิตวิญญาณของประชากรอิสราเอลด้วย ที่ต่อสู้ในเรื่องอำนาจ รายได้ เศรษฐกิจ
ในชีวิตของพวกเขา
พระเยซูหรือ
ทรัพย์ศฤงคาร
พระเยซูคริสต์ล่วงรู้ลึกลงไปถึงความบอบบางในจิตใจของมนุษย์ที่เผชิญกับการทดลองในรูปแบบใหม่
ๆ และที่รุนแรงกว่า โดยเฉพาะคนในยุคนี้ที่นมัสการเงินทอง อย่างนมัสการพระบาอัล เป็นการนมัสการพระเจ้าหรือเทพทั้งหลายเพื่อจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
แต่มนุษย์เราไม่สามารถที่จะเป็น “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” ได้ พระเยซูคริสต์พูดชัดเจนว่า
เราจะรับใช้พระเจ้าไปพร้อม ๆ กับการรับใช้เงินทองไม่ได้ (ลูกา 16:13)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ สอนว่า
ทรัพย์สินเงินทองและ ความโลภ เป็นรูปเคารพย่อมเสียงดัง และ
มีพลังดึงดูดความสนใจของเรามาก เปาโลประกาศว่า ความโลภเป็นการบูชารูปเคารพด้วย
(โคโลสี 3:5;
เอเฟซัส 5:3)
เปาโลได้พูดอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ รูปเคารพจะปล้นขโมยเอาความรัก
ความไว้วางใจ
และการรับใช้พระเจ้าที่มีในคนของพระองค์ไป และชี้ชัดว่า “ความโลภ”
นั้นเลวร้ายเท่ากับรูปเคารพ และคริสตชนไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปในพระวิหารของความเชื่ออื่นเพื่อนมัสการรูปเคารพ จิตใจที่โลภของคริสตชนได้สร้างรูปเคารพจากเงินทอง
หรือ ทรัพย์สินมีค่าทุกอย่างในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม รวมถึงเมื่ออยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย
ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงเตือนสาวกของพระองค์ “จงระวังให้ดี! จงระวังตนจากความโลภทุกชนิด ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิ่งของเหลือเฟือ”
(ลูกา 12:15 อมธ.) คำอุปมาเรื่องเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมากมายจนคิดสร้างขยายยุ้งฉางเก็บทรัพย์สมบัติมากขึ้น
แต่เขากลับประสบกับการสูญเสียชีวิตเพราะเขา “...สะสมสิ่งของไว้สำหรับตนแต่ไม่ได้มั่งมีต่อหน้าพระเจ้า...”
(ข้อ 16-21)
เงินทองทรัพย์ศฤงคารเป็นรูปเคารพที่หลอกล่อให้เรานมัสการมัน
แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เรามีแท้จริงทุกสิ่งเราได้จากพระเจ้า เราพึงนมัสการพระองค์
มิใช่นมัสการสิ่งที่พระองค์ประทานแก่เรา
ค่าราคาที่เราต้องจ่ายแก่การนมัสการรูปเคารพทางเศรษฐกิจ
พระคัมภีร์สอนเราเช่นกันว่า ค่าจ้างที่เรานมัสการรูปเคารพทางเศรษฐกิจคือความตาย
เปาโล กล่าวว่า “คนที่อยากรวยก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป
ติดกับและตกในความปรารถนาต่าง ๆ อันโง่เขลาและอันตราย
ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ” (1ทิโมธี 6:9 อมธ.)
ตามทัศนะของเปาโล การรักเงินทองทำให้คนที่นมัสการรูปเคารพทางเศรษฐกิจได้รับความเจ็บปวดในชีวิต
และถูกหลอกล่อให้หลงไปจากความเชื่อ และจบลงด้วยตกเป็นเหยื่อของความชั่วร้าย ตรอมตรมในความทุกข์ทรมานมากมาย (ข้อ 10 อมธ.)
เมื่อเรานมัสการเงินทอง ระวังมันจะขย้ำชีวิตเราให้อยู่ในกงเล็บของมัน
เงินทองกลายเป็นพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่จะใช้เรา มากกว่าที่เราจะใช้มัน
เมื่อเรานมัสการรูปเคารพแห่งเงินทอง ชีวิตของเราก็จะมุ่งมั่นทุ่มเทในการหารายได้
ทำให้ได้เงินทอง และเก็บกักสะสมเงินทอง ชีวิตของเราผิดรูปผิดแบบไปจากพระฉายาของพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา
เพราะพระเจ้ามีพระฉายาคือ “การให้” เมื่อเราบูชาเงินทอง ชีวิตของเราจึงมิได้สะท้อนพระฉายาแห่งการให้ของพระเจ้าในชีวิตเรา
แต่กลับสะท้อนท่าทีรูปแบบชีวิตของเงินทองคือ การเน้นความสำคัญของตนเอง เน้นความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ของฉัน” และมุ่งมั่นที่จะ “สะสม” “กักตุน” สมบัติทรัพย์สินสำหรับตนเองมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างสิ้นเชิงจากที่พระคริสต์ต้องการให้เราดำเนินชีวิตในเส้นทางของพระองค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น