ในไม่กี่วันที่ผ่านมา
สังคมประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็วเมื่อต้องตกอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน
หวั่นไหว ต้องรับมือกับภัยอันตรายที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และก็มีประสบการณ์ที่จะใช้ในการรับมือที่จำกัดและยากลำบาก เราหลายคนคงไม่เคยคิดมาก่อนว่า ครอบครัวคือปราการด่านสำคัญที่ใช้ในการป้องกันการรับเชื่อไวรัส
โควิด-19
ซึ่งที่ผ่านมาครอบครัวมีความสำคัญน้อยลงมากในสายตามุมมองของหลายต่อหลายคนในปัจจุบัน
แต่วันนี้ เราต้องเก็บกักตนเองอยู่ด้วยกันในครอบครัว ผมว่า
มันก็ดีกว่าที่เราต้องเก็บกักตัวเองในหอพักโดดเดียวตัวคนเดียวยาวนานไม่น้อยกว่าครึ่งเดือน เมื่อมีโอกาสพูดคุย
สนทนากันทั้งทางโทรศัพท์ เฟสบุ๊ค ไลน์ ฯลฯ
มีคำถามคล้ายๆกันว่า...
ต้องอยู่ในบ้านด้วยกันตั้งครึ่งเดือน แล้วเราจะทำอะไรดี?
แล้วภาพและบริบทของแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น
ความคิดที่จะทำอะไรด้วยกันที่คงต้องเลือกแตกต่างกันไปให้เหมาะสมสำหรับแต่ละครอบครัว บางครอบครัวมีลูก และยังขึ้นอยู่กับว่าลูกอยู่ในวัยไหน บางครอบครัวเหลือพ่อแม่สูงอายุอยู่กันสองตายาย และบางบ้านอยู่ตัวโดดเดี่ยวคนเดียว
จุดประสงค์ของข้อเขียนนี้ ต้องการเชิญชวนให้เรามาช่วยกันระดมประสบการณ์
ความคิด ทบทวนว่า ในภาวะเช่นนี้ เราจะทำอะไร อย่างไร
เมื่อใด? และทำไปทำไม
เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแบ่งปันความคิดเห็นเชิงปฏิบัติได้ด้วยกัน ที่จะพลิกจาก “ความรู้สึกที่เบื่อหน่าย” “ความรู้สึกที่เครียด กลัว ไม่มั่นคง” ให้เป็นเวลาของการทบทวนและการค้นพบคุณค่าและความหมายของชีวิตในภาวะที่สั่นคลอน
หวั่นไหว เบื่อหน่าย....
ผมขอเริ่มต้นลองขยับเสนอความคิดเชิงปฏิบัติสักสี่ซ้าห้าประการก่อน
และหวังว่าจะได้รับข้อเสนอที่ดีดีจากท่านผู้อ่านหลายๆท่านนะครับ
1. พูดคุยกันในครอบครัว
เมื่อวิกฤติที่เราต้องเก็บกักตัวให้อยู่แต่ในบ้านในครอบครัว
เราสามารถใช้เวลาที่อยู่ด้วยกัน(แม้ถูกบังคับให้ต้องอยู่ด้วยกัน)ในการพูดคุยสนทนากัน ชวนกับทบทวนถึงประสบการณ์ในอดีต พูดคุยถึงชีวิตที่ผ่านมา ที่มีทั้งประสบการณ์ของความกลัว กังวล
ทุกข์ใจ
แต่หลายครั้งที่เราพบกับความชื่นชมยินดี
ในภาวะเหล่านี้เราแต่ละคนทำเช่นไร
และเกิดผลอย่างไร
แล้วอาจจะวกเข้ามาในสถานการณ์ตอนนี้ที่เราต้องอยู่บ้านด้วยกัน เราแต่ละคนคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร
แต่ละคนคิดว่าเราน่าจะใช้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันนี้ในการทำอะไร อย่างไร
เพื่ออะไร? อะไรคือสิ่งดีดีที่จะเกิดขึ้นจากการที่เราต้องอยู่ด้วยกันในช่วงนี้?
มีข้อพระคัมภีร์บางตอนที่อาจจะใช้อ่าน
ใคร่ครวญ ทั้งส่วนตัวและด้วยกันในครอบครัว
สดุดี 46:1 และ 56:3, ฟิลิปปี 4:6-7, สุภาษิต 5:5-6, มัทธิว 6:31-33, อิสยาห์ 26:3, สดุดี 37:25, เอเฟซัส
6:10-19.
2. อธิษฐานด้วยกันในครอบครัว
ในเวลาที่มีความรู้สึกวิตก
กังวล สั่นคลอน หวั่นไหว
เบื่อหน่าย... ให้เราอธิษฐาน ซึ่งอาจจะอธิษฐานเป็นการส่วนตัว และอธิษฐานด้วยกัน
ในเวลานี้เราควรช่วยให้แต่ละคนเห็นชัดถึงความเชื่อของเรามากกว่าความกังวลห่วงกลัวเท่านั้น และความเชื่อจะทำให้เรามีความมั่นคงไม่สั่นคลอนในชีวิตอย่างไร
คริสต์ชนทุกคนได้รับการทรงเรียกให้อธิษฐานอย่างไม่ย่อท้ออ่อนละอาใจ และ หยุดหย่อน
อย่างเนื้อเพลงไทยนมัสการบทที่ 148
“เมื่ออธิษฐานนมัสการ”
ตอนช่วงท้ายของข้อที่หนึ่งมีเนื้อเพลงว่า
“ถ้าถูกข่มเหงหรือมีโศกทุกข์ จิตใจบรรเทาได้รับความสุข ถ้าถูกทดลองจิตใจทุกข์ร้อน จะได้บรรเทาเมื่อเฝ้าอ้อนวอน”
3. ทำพันธกิจด้วยกันเป็นครอบครัว
ในช่วงที่อยู่ในบ้านในครอบครัวด้วยกัน เราต้องไม่ลืมที่จะอธิษฐานเผื่อคนอื่นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังได้รับความทุกข์มากมายในสถานการณ์เช่นนี้ และเมื่อเราอธิษฐานด้วยกัน
เราอาจจะร่วมกันเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เราอธิษฐานเผื่อ ผู้สูงอายุที่อยู่โดดเดี่ยว แม่หม้าย ลูกกำพร้า คนที่กำลังตกในความตระหนกกลัว
ถ้าการไปเยี่ยมด้วยตัวของเราไม่สะดวก
หรือ ไม่เหมาะสม เราอาจจะเยี่ยมผ่านทางโทรศัพท์ ทางไลน์ หรือ ทางเฟสบุ๊ค หรือ ทางอีเมล์ ด้วยการถามไถ่ สนทนาให้กำลังใจ อธิษฐานเผื่อ
อธิษฐานด้วยกัน
ซึ่งการทำพันธกิจเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับคนที่เราเยี่ยมเยียน
และ สมาชิกในครอบครัวของเราด้วย
แต่ถ้าเป็นการเยี่ยมผู้สูงอายุ
หรือ คนที่อ่านได้ลำบาก ให้ทำเป็นคำสนทนา
หรือ คำอธิษฐานที่เป็น ไฟล์เสียง เช่น
“วอยซ์ไฟล์” “วอยซ์เมล์” ในไลน์ ในเฟสบุ๊ค
เพื่อให้ผู้รับเปิดฟังแทนการอ่าน
4. ให้เราวางใจในพระเจ้าร่วมกัน
พระวจนะของพระเจ้าบอกเราในเวลาที่หวาดหวั่นสั่นคลอนว่า “...พระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา
แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา” (2ทิโมธี 1:7
มตฐ.) ในฐานะที่เป็นคริสต์ชน หรือ
สาวกของพระเยซูคริสต์ ความรู้สึกต่อสถานการณ์ที่น่าหวั่นไหวนี้ควรแตกต่างจากการตอบสนองของคนทั่วไป เพราะเราเชื่อมั่น เรามีความหวังในพระเจ้าของเรา
และพระวิญญาณของพระเจ้าในตัวเราจะหนุนเสริมให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็ง
มั่นคง ด้วยความรักเมตตา และมีชีวิตที่มีวินัยตามพระประสงค์ของพระเจ้า
5. เติบโตเข้มแข็งด้วยกันในครอบครัว
ในเวลาที่สั่นคลอนหวั่นไหวเช่นนี้เป็นสภาวะแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการเติบโตขึ้นในชีวิตจิตวิญญาณของเราร่วมกัน
ลูกๆเรียนจากแบบอย่างชีวิตของพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัว ดังนั้น ในเวลาเช่นนี้ขอพ่อแม่และผู้ใหญ่ในครอบครัวมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน เพื่อเขาจะเรียนรู้ว่าเขาควรจะรับมือกับภาวะสั่นคลอนหวั่นไหวในชีวิตด้วยท่าทีเช่นไรในฐานคริสต์ชน เขาจะมีความเชื่อ
ความไว้วางใจในพระเจ้าด้วยการมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระองค์ในทุกสถานการณ์ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือแบบอย่างชีวิตในการใช้เวลาอย่างมีปัญญา ไม่ใช้เวลากับความบันเทิงทางโทรทัศน์ แต่ใช้เวลาในการอ่าน ในการเล่นด้วยกัน และใช้เวลาในการรับใช้กันและกันในครอบครัว
ให้เราหันความเชื่อ
ความหวังกลับไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราไว้วางใจได้อย่างมั่นคง
และในเวลาเช่นนี้จะช่วยให้ลูกหลานของเรารู้และมีความใกล้ชิดสนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
“แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้
เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย
เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์
หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ
อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า
ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (โรม 8:37-39 มตฐ.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น