จากครั้งก่อน ได้ถอดบทเรียนรู้ของโมเสสถึง
“การตัดสินใจ...ที่ย่างก้าวไปด้วยตนเอง” ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด 7 ประการ
ในครั้งนี้เป็น “การตัดสินใจ...ที่ย่างก้าวไปกับพระเจ้า”
เมื่อการคิดตัดสินใจที่ชาญฉลาดกลับเป็นวิธีการที่สร้างปัญญา
เราจึงต้องเลือกและตัดสินใจกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้ามากกว่าที่จะคิดและตัดสินใจทำตามที่เราคิด
ถ้าเราแสวงหาที่จะดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระเจ้า เรามั่นใจผลที่จะเกิดขึ้นแก่เราในที่สุดดังนี้
1)
พระเจ้าจะเตรียมและประทานทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องมี
เมื่อเรามีสัมพันธภาพกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลนี้
เราเข้าเฝ้าและทูลขอต่อพระองค์ด้วยความมั่นใจ เรารู้ว่าพระองค์พร้อมที่จะประทานสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา
ตามทรัพย์อันอุดมของพระองค์ (ฟิลิปปี 4:19)
2)
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้คำแนะนำอย่างเฉพาะเจาะจงแก่เรา
อย่างไรก็ตาม ทางเดียวที่เราจะรับการทรงชี้นำของพระองค์ได้โดยทางพระวจนะของพระองค์
ระวังที่จะไม่กระทำอย่างผิดพลาด ด้วยการอธิษฐานในสิ่งที่เราทูลขอแต่ไม่เคยใคร่ครวญในพระวจนะของพระเจ้า
เราใคร่ครวญไตร่ตรองในพระวจนะเพื่อที่จะฟังว่าพระองค์จะตรัสอะไรแก่เรา เราไม่มีความรู้
หรือ ความเข้าใจว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ในรายละเอียดของทุกเหตุการณ์ทั้งในอดีต
ปัจจุบัน และในอนาคต และพระองค์ประทานพระวจนะที่จะชี้นำการดำเนินชีวิตของเรา พระวจนะของพระเจ้ามีทั้งองค์ความรู้ในด้านจิตวิญญาณ
ในด้านจริยธรรม เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์ ถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้าแล้ว
เราจะไม่รู้ว่าเราควรดำเนินชีวิตแบบใด ความจริงก็คือว่า เราไม่สามารถดำเนินชีวิตคริสตชนได้โดยมิได้ไตร่ตรองใคร่ครวญพระวจนะอย่างสม่ำเสมอ
3)
พระเจ้าจะทรงขจัดความกลัวของเรา
ในเมื่อเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร
การที่ต้องตัดสินใจเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะเกิดผลอย่างไรตามมาจากการกระทำของเรา
ทำให้เราเกิดความกลัว แต่ถ้าเราแสวงหาการทรงชี้นำของพระเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อผ่านทางพระวจนะของพระองค์
พระองค์จะเปลี่ยนความกลัวของเราให้กลายเป็นความมั่นใจในพระองค์
4)
เราจะเห็นพระราชกิจของพระเจ้าที่ไม่ธรรมดาในสถานการณ์ของเรา
อย่างไรก็ตาม เราต้องไว้วางใจในพระองค์
และรอคอยเวลาที่เหมาะสมของพระองค์ ถ้าพระองค์มิได้ตอบคำทูลขอของเราทันที นั่นแสดงว่าพระองค์เห็นว่าเรายังไม่พร้อมที่จะรับคำตอบจากพระองค์
หรือ อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ถ้าเราต้องการมีประสบการณ์ในฤทธานุภาพของพระเจ้าในชีวิตของเรา
เราต้องอ่านใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ รอคอยพระองค์ด้วยความอดทน และเชื่อมั่นว่าพระองค์จะตอบสิ่งที่เราทูลขอในเวลาที่เหมาะสม
5)
เราจะได้เรียนรู้วิถีทางของพระเจ้า
เมื่อเราแสวงหาการทรงชี้นำจากพระเจ้าด้วยการอ่านพระวจนะและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์
เราจะเห็นถึงพระราชกิจของพระองค์จากในพระวจนะ และที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเราด้วย
ถ้าเราต้องการความเข้าใจองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงและมากยิ่งขึ้น เราต้องคุ้นชินกับพระวจนะของพระองค์เป็นอย่างดี
6)
พระเจ้าจะทรงใช้จุดอ่อน และ
ความล้มเหลวของเราเพื่อช่วยเราเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา
ความไม่เพียงพอ หรือ
ความต้องการของเรากระตุ้นเราให้อธิษฐานต่อพระเจ้า ดังนั้น
เราไม่ควรมองการอธิษฐานในแง่ลบ แต่ให้เห็นว่าความรู้สึกไม่เพียงพอและความต้องการ นำเราให้เข้าไปหาพระองค์
7)
พระเจ้าสามารถทำให้สำเร็จในเวลาอันสั้นแทนที่เราจะต้องใช้ตลอดชีวิตของเรา
พระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยแนวทางของพระองค์มากกว่าวิธีการของเรา
ดังนั้น เราควรแสวงหาการทรงชี้นำจากพระองค์มากกว่าที่จะพึ่งพิงในความรอบรู้และความสามารถที่จำกัดของตัวเราเอง
ย้อนพิจารณาตนเอง
เมื่อเราตัดสินใจ ท่านมักคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้น
หรือ คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นของตน? เกิดผลอย่างไรบ้างเมื่อท่านตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นโดยที่ท่านมิได้แสวงหาการทรงนำจากพระเจ้า?
เมื่อท่านต้องตัดสินใจท่านแสวงหาความช่วยเหลือจากที่ใดบ่าง? และพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในส่วนไหนของกระบวนการการตัดสินใจของท่าน?
เมื่อท่านได้รับการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้า
ท่านพร้อมที่จะทำตามการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้า หรือท่านมีข้อแก้ตัวว่าทำไมท่านถึงไม่ใช้คำชี้นำนั้นในสถานการณ์ของท่าน?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น