ทำไมสงครามความขัดแย้งในหลาย
ๆ คริสตจักรจึงต้องสู้กันอย่างดุเดือดยืดเยื้อยาวนาน จนคริสตจักรอ่อนแรงหมดกำลัง หรือไม่ก็แตกเป็นเสี่ยง
ๆ ทั้งนี้เพราะคริสตจักรมิได้ตระหนักชัดเลยว่า ความขัดแย้งในคริสตจักร
เป็นสงครามระหว่างซาตานกับพระเจ้า (ไม่ใช่สงครามระหว่างคนกับคน)
ถ้าคริสตจักรต้องการหลุดรอดและมีชัยในความขัดแย้ง
คริสตจักรต้องใช้ “แผนยุทธศาสตร์ของพระเจ้า” มิใช่ ใช้แผนยุทธศาสตร์ของตนเอง หรือ
โลกนี้ แต่ปัญหาที่เราพบคือ คริสตจักรส่วนมากเลือกที่จะสู้กับความขัดแย้งด้วยแผนยุทธศาสตร์ของตนเอง
แล้วละเลยที่จะสู้ตามแผนยุทธศาสตร์ของพระเจ้า อาการเช่นนี้ปรากฏชัดใน
“คริสตจักรระดับชาติ” ในประเทศไทย
1. เลิกแนวคิดเรื่องความยุติธรรมในความขัดแย้ง
วิถีทางของพระเจ้าในการรับมือกับความขัดแย้งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความถูกต้อง
ยุติธรรม(สำหรับฉัน) โปรดพิจารณาดูว่า
“การที่พระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่?” ตัวท่านเองต้องการให้พระเจ้าทำกับท่านอย่างถูกต้องยุติธรรมไหม? กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านเองสมควรจะได้รับการปฏิบัติแบบไหน? ง่ายที่เราจะกล่าวตำหนิเมื่อมีใครทำกับเราอย่างไม่สมควร ไม่เหมาะสม
ไม่ยุติธรรม หรือ ใครบางคนที่ไม่รับผิดชอบในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้กระทำต่อคนรอบข้างด้วยความรักเมตตา-เสียสละ
พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “อย่าให้ความรักและความซื่อสัตย์ละจากเจ้าไป
จงผูกมันไว้รอบคอ จงจารึกไว้บนแผ่นดวงใจของเจ้า แล้วเจ้าจะได้รับความโปรดปรานและมีชื่อเสียงดี
ทั้งในสายพระเนตรพระเจ้าและในสายตามนุษย์ จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจ(การรอบรู้)ของตนเอง
จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”
(สุภาษิต 3:3-6 อมธ.)
2. สัจจะคือตัวนำวิถีทางของท่านในภาวะขัดแย้ง
สัจจะมีความหมายเข้าใจง่าย
ๆ ดังนี้: “สัจจะคือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้” ความรู้สึกของท่านไม่สามารถให้ความจริงขั้นสุดท้าย
ความคิดของท่านเท่านั้นไม่สามารถเป็นสัจจะความจริงสูงสุด ความคิดเห็นของคนอื่น หรือแม้แต่เสียงข้างมากก็ไม่สามารถให้สัจจะความจริงแท้สุด
พระเจ้าแต่พระองค์เดียวที่ทรงมีสิทธิอำนาจในการอธิบายถึงแต่ละสถานการณ์ตามมุมมองของพระองค์ที่เป็นสัจจะความจริงแท้
ดังนั้น จงให้สัจจะวาทะของพระเจ้านำวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ขัดแย้ง
3. จงเชื่อว่าพระเจ้าต่อสู้เพื่อท่านท่ามกลางความขัดแย้ง
ศัตรูต้องการที่จะให้เราท่านคิดว่า
ในการต่อสู้ในความขัดแย้งนั้น “ท่านกำลังต่อสู้กับมาร" เป็นการง่ายที่ท่านจะเชื่อเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านกำลังเหนื่อยล้าหมดแรง คนที่คิดและเชื่อแบบแยกตนเองจากพระเจ้ามีแนวโน้มที่จะเป็นคนสิ้นหวัง
และคนพวกนี้จะยอมจำนนต่อมาตรการที่สิ้นหวัง เปโตรเป็นตัวอย่างอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องนี้ เขาใช้คำพูดที่โอ้อวดวางโต ใช้ดาบ คำสาปแช่ง และโกหก
เขาต้องพบกับความสิ้นหวังเมื่อเขาแยกตัวเองออกจากพระเจ้า
ให้เราไว้วางใจในพระเจ้าที่พระองค์จะเป็นผู้ต่อสู้กับมารเพื่อเรา
4. ใช้ตรรกะของพระคริสต์
(ไม่ใช่ตรรกะของเราเอง) ในภาวะขัดแย้ง
โดยธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ทำให้ความเข้าใจของตนเป็นความเข้าใจและความคิดที่เป็นมาตรฐาน
และใช้ความคิดเข้าใจของเราในการตัดสินคนอื่น และในที่สุดเรื่องราวของเราจะกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสำหรับเราเอง
แต่พระเจ้าตรัสว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูกต้อง แต่จุดจบของทางเหล่านี้คือความตาย”
(สุภาษิต 14:12 อมธ.) หากสติปัญญาหรือตรรกะของเรา และพลังในการปกป้องตนเอง เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมสำหรับเรา
ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องมีพระปัญญาของพระเจ้า เปาโลกล่าวว่า ให้เรามีความนึกคิดของพระคริสต์
และตรรกะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์บอกเราว่า เราควรฝักใฝ่ใส่ใจคนอื่นมากกว่าตนเอง แนวคิดของพระองค์จะช่วยให้เราสามารถมองเห็นอย่างที่พระองค์มองเห็นในสถานการณ์ความขัดแย้งของเรา
*การรู้เท่าทันความขัดแย้งอีก
3 ประการสำคัญจะนำเสนอในข้อเขียนครั้งถัดไป*
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น