คนทั้งหลายในสังคมโลกจะรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์
เมื่อคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์รักซึ่งกันและกัน และ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนี่คือบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ให้แก่เรา (ยอห์น
13:34-35)
แต่เราเคยแปลกใจหรือไม่ว่า
ทำไมความขัดแย้งในคริสตจักรยังเกิดขึ้นและใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ? ต่อไปนี้เป็นเหตุผลบางประการที่ไฟแห่งความขัดแย้งในคริสตจักรกำลังลุกลามและบางแห่งยังควบคุมไฟไม่อยู่
และกำลังลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ขยายวงกว้างออกไป
1.
สมาชิกคริสตจักรห่วง/กังวลในบางเรื่อง ความขัดแย้งในคริสตจักรบางเรื่องสุมไฟจากความห่วงใยบางประเด็นที่มีในคริสตจักร
เพราะความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจึงลุกขึ้นมาปกป้องให้ทุกเรื่องเป็นไปอย่างเดิม
กลัวว่าคนอื่นจะทำให้คริสตจักรไปผิดทิศผิดทาง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่ตน
“หวง” และ “ห่วงกังวล”
2.
แสวงหาอำนาจมากกว่าแสวงหาความรักเมตตาแบบพระคริสต์ คริสตจักรกลายเป็นเวที
“การเมือง” เพื่อแสวงหาอำนาจที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ เกียรติยศ ชื่อเสียง ด้วยการเอาชนะคะคานกัน
ซึ่งขัดกับบัญญัติใหม่ที่พระคริสต์ให้แก่เรา
3.
ผู้นำคริสตจักรมักไม่ได้ผ่านการฝีกฝนในการแก้ไขปัญหา
เราส่วนใหญ่มักเรียนรู้การแก้ปัญหาท่ามกลางความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
(เราบางคน)เรียนรู้ผ่านความล้มเหลวที่ประสบ (แต่อีกหลายคนก็ไม่ได้เรียนรู้) คริสตจักรไม่ได้มีการเตรียมตัว สร้างความเข้าใจ
และเรียนรู้การป้องกันและการรับมือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
4.
คริสตจักรเผชิญหน้ากับอำนาจชั่วที่เสี้ยมให้เกิดความขัดแย้ง ตั้งแต่ยุคในสวนเอเดน ซาตานหาทางที่จะทำให้ผู้ติดตามพระเจ้าขัดแย้งต่อสู้กับกันเอง
มันใช้เล่ห์เหลี่ยม กลับกลอก และสร้างความแตกแยก ประเด็นนี้เราไม่ค่อยตระหนักกันสักเท่าใด?
5.
การจุดประกายไฟแห่งความขัดแย้งทั่วคริสตจักร ความขัดแย้งเกิดขึ้นคุกรุ่นลุกลามไปทั่วคริสตจักร
ความขัดแย้งแต่ละอย่างอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เมื่อเอาหลายความขัดแย้งมารวมกันทำให้เป็นความขัดแย้งที่รุนแรงได้
6.
ไม่มีใครสนใจเมื่อประกายความขัดแย้งที่ถูกจุดขึ้น น่าสนใจว่า ผู้นำคริสตจักรสักกี่คนรู้ว่าเกิดประกายความขัดแย้งขึ้นในหมู่คนของตน
นั่นหมายความว่าผู้นำไม่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมาชิก หรือไม่พวกผู้นำก็เป็นต้นเหตุ
เป็นผู้จุดประกายเสียเอง
7.
คริสตจักรไม่สามารถคาดการณ์ถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น คริสตจักรที่จะรับมือกับความขัดแย้งได้
คือคริสตจักรที่มีการสอนให้สมาชิกรู้เท่าทัน รับมือกับความขัดแย้งที่มีในหมู่คนที่มีความสัมพันธ์กัน
ตั้งแต่คน ๆ นั้นเข้ามาเป็นสมาชิกแต่เริ่มแรก
8.
ไม่มีใครอธิษฐานเผื่อการคืนดี และ ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร ในเมื่อพระเยซูคริสต์ยังอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ในเรื่องนี้
(ยอห์น 17:21) เราก็ควรที่จะอธิษฐานเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกคริสตจักรเช่นกัน
9.
จุดประกายความขัดแย้งทย่างลับ ๆ การร้องเรียนโดยไม่เปิดเผยตัวตน จดหมายที่ไม่ลงชื่อ
คนที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลที่ใช้ในการประชุม ฝ่ายตรงกันข้ามปิดบังตนเองเข้ามาร่วมในกลุ่มอธิษฐาน
ทุกอย่างเป็นความลับ และมักเป็นความลับที่ชั่วร้าย
10.
สมาชิกในบางคริสตจักรมีความเชี่ยวชาญในการโหมไฟแห่งความขัดแย้ง พวกเขามีความสุขกับการสร้างความขัดแย้ง
และ แพร่ขยายการซุบซิบนินทา บางครั้งก็สร้าง “ข่าวปลอม” “ข่าวเท็จ” หรือบางพวกก็แพร่ขยายบนสื่อออนไลน์
11.
คนที่ไม่ได้เติบโตเป็นสาวกพระคริสต์จะไม่พร้อมที่จะรับมือกับไฟที่สุมให้เกิดความขัดแย้ง
เขายังเป็นทารกในพระคริสต์ และทารกย่อมไม่รู้ถึงอันตรายของไฟ จำเป็นต้องมีคนที่จะช่วยผู้เชื่อกลุ่มนี้ปลอดภัยจากไฟแห่งความขัดแย้ง
ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะถูกไฟแห่งความขัดแย้งลวกเอา และกลายเป็นบาดแผลในชีวิตได้
12.
สมาชิกบางคนในคริสตจักรเคยมีเรื่องราวในความขัดแย้งมาแล้ว พวกเขาเคยถูกไฟแห่งความขัดแย้งลวกเอาหลายครั้งหลายหน
เคยชินกับความขัดแย้งในคริสตจักร และเมื่อเกิดความขัดแย้งอีกเขารู้สึกชาชินกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกลับดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาในคริสตจักร
13.
คริสตจักรที่มีแต่ความขัดแย้ง คริสตจักรนั้นมีแต่ความแห้งแล้งเหี่ยวเฉา คำเทศนากลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย การประกาศพระกิตติคุณไม่เกิดขึ้น ไม่มีใครพูดถึงงานพันธกิจ
คนหนุ่มสาวหายหน้าไปจากคริสตจักร เมื่อทุกอย่างในคริสตจักรดูแห้งเหี่ยว เมื่อเกิดประกายไฟแห่งความขัดแย้งนิดเดียวย่อมทำให้เกิดไฟลุกลามขึ้น
และเกิดเพลิงไหม้คริสตจักรได้ง่ายดาย
14.
ผู้นำในคริสตจักรไม่ใส่ใจและกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อผู้นำคริสตจักรละเลยความสนใจในสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผย
เมื่อได้ยินถึงเรื่องขัดแย้งกลับมีอาการเฉยเมยไม่กระตือรือร้น หรือแค่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นอย่างผิวเผิน
ความขัดแย้งยังคงอยู่ต่อไป
15.
ไม่มีใครทำตามข้อตกลงข้อบังคับของคริสตจักร ถ้าคริสตจักรไม่ทำตามขั้นตอนตามข้อตกลงข้อบังคับต่อคนที่สร้างความขัดแย้งในคริสตจักร
(หรือ เขาดำเนินการกับตนสร้างความขัดแย้งแต่มิได้เป็นไปตามหลังการทางพระคัมภีร์
หรือ มิได้กระทำด้วยใจเมตตา) นั่นก็เป็นการยืดความขัดแย้งให้ดำเนินต่อไป
16.
ความขัดแย้งแผ่ขยายวงกว้าง จากความขัดแย้งในคริสตจักรหนึ่ง เกิดการลุกลามไปในคริสตจักรอื่น
ลามไปยังคริสตจักรภาค และในที่สุดถูกมารใช้เป็นเครื่องมือทำให้เกิดความขัดแย้งในคริสตจักรระดับชาติ
และคริสตชนหลายต่อหลายคนคือเครื่องมือทำในสิ่งที่มารชั่วต้องการให้เกิดขึ้นในคริสตจักรไทย!
มีสาเหตุอื่นใดอีกไหมครับ?
แล้วเราจะรับมือและจัดการในเรื่องนี้อย่างไร
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น