13 พฤษภาคม 2562

แบกกางเขนตน ติดตามพระคริสต์ไป

1. ปฏิเสธตนเองก่อน...แล้วจึงจะยกกางเขนตนขึ้นแบก

พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ให้เราแบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ไป เป็นคำบอกที่ชัดเจน  แต่จะเป็นชีวิตจริง การกระทำจริงอย่างไรในชีวิตประจำวันของเราครับ?

ปฏิเสธตนเองก่อน...แล้วจึงจะยกกางเขนตนขึ้นแบก

ก่อนที่เราจะยกกางเขนของตนขึ้นแบก สิ่งก่อนหน้านี้ที่สำคัญคือ เราต้องปฏิเสธตนเอง  มิเช่นนั้นแล้วเราจะไม่ยอมก้มโน้มตัวลงเพื่อที่จะยกกางเขนขึ้น จนกว่าความนึกคิดจิตใจของเรายอมที่จะปฏิเสธตนเอง คือการที่เราปฏิเสธที่จะมีชีวิต/ดำเนินชีวิตตามแผนการชีวิตของเราเอง(ถ้ามี) หรือ ตามความคุ้นชินที่เราทำเป็นประจำ

เราไม่สามารถยอมรับให้พระคริสต์เป็นใหญ่เป็นเอก เป็นต้น หรือ เป็นหลักแก่นในชีวิตประจำวันของเราจนกว่า ตนเองจะปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามแผนการของตนเอง

แต่ถ้าเวลาใดที่เราให้พระคริสต์เป็นเอก เป็นใหญ่ และเป็นเสาหลักในชีวิตประจำวันของเราอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว คนรอบข้างในชีวิตประจำวันของเราก็จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเรา แต่ขอเราเตรียมใจรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาคือ บางคนบางกลุ่มบางพวกจะปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเราต่อไป เพราะเราไปยอมตนเป็นคนของพระคริสต์!  เพราะเพื่อนฝูง หรือ คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา 

การไม่ยอมรับของคนบางคนบางกลุ่มนี้ มิใช่เพราะเรามีเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่เพราะเรามีการมองที่แตกต่างกัน แต่ที่เรามองแตกต่างกันเพราะเป็นเรื่องของอิทธิพลจากกระแสสังคม และ อำนาจมืดในโลกนี้ปิดบังตาของเขา ไม่ให้เห็นทางที่จะนำไปสู่ชีวิตใหม่ เปาโลกล่าวไว้ว่า 3...ข่าวประเสริฐของเราถูกปิดบัง…ไว้จากบรรดาผู้กำลังจะพินาศ 4พระของยุคนี้ทำให้จิตใจของผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป เพื่อพวกเขาจะไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐ...” (2โครินธ์ 4:3-4 อมธ.)  

ดังนั้น พวกนี้จึงปฏิเสธเรา เพราะเราปฏิเสธอิทธิพลและกระแสสังคมโลกตามอำนาจชั่วที่พยายามครอบงำโลกนี้อย่างสุดฤทธิ์ที่พวกเขายอมรับและชื่นชมอยู่ เขาจึงมองว่า เราเป็นคนละพวกกับเขา! และ

ที่สำคัญคือ อำนาจแห่งความบาปชั่วจะยังไม่ยอมปล่อยให้เราลอยนวลไปอยู่ใต้การครอบครองของพระเจ้า มันจะกระทำทุกหนทางที่จะช่วงชิงเราจากพระเจ้าให้กลับไปอยู่ใต้อำนาจชั่วร้ายของมันใหม่! เพียงถ้าวินาทีใดที่เราไม่เต็มใจที่จะปฏิเสธตนเอง เพื่อที่จะมีชีวิตในพระคริสต์   เวลาเช่นนั้นก็จะลำบากและยากอย่างยิ่งที่เราจะแบกกางเขนตนตามพระคริสต์ไป อำนาจชั่วอำนาจเดิมที่เคยเป็นใหญ่ในตัวเราพยายามช่วงชิงเรากลับคืนจากพระคริสต์ (โรม 7:18-19)

ตราบใดที่เรายังไม่ยอม “ฌาปนกิจ” (“เผา” หรือ “ฝัง”) ตัวเก่าชีวิตเก่าของเราก่อน “ฌาปนกิจ” ความตั้งใจของตนเอง การอยู่ตามความปรารถนาของตนเอง ตามความอยากได้ใคร่มีของตนเอง... อย่าหวังว่าตนจะสามารถก้มลงยกกางเขนตนขึ้นแบก และตามพระคริสต์ไปได้

นอกจากว่าเราจะ...ปฏิเสธตนเองก่อน  จึงจะก้มตัวลงรับกางเขนตนแบกขึ้นได้   แล้วดำเนินชีวิตประจำวันตามพระคริสต์ไป!

2. แบกกางเขนของตน...  

เราคนไทยในปัจจุบัน อ่านข้อความนี้แล้วคงไม่รู้สึกอะไรหนักหนา แต่ถ้าเป็นสาวกของพระคริสต์ในเวลานั้นคงหนักอกหนักใจที่จะเป็นสาวกพระคริสต์และติดตามพระองค์ไป เพราะมิใช่ให้เราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและติดตามพระคริสต์ไปเท่านั้น แต่ต้องแบกกางเขนของตน พระคริสต์บอกสาวกใน มัทธิว 16:24 ว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเราให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา”     

สาวกในสมัยพระเยซูคริสต์รู้ซึ้งเลยว่า กางเขน มันคืออะไรกันแน่ กางเขนคือการถูกประหารชีวิตอย่างทรมานให้ตายอย่างช้า ๆ และถูกประจานว่าเป็นคนที่มีโทษฐานความผิดที่รุนแรง เขาจะตรึงกางเขนในที่ที่มีผู้คนผ่านไปมามากมาย เพื่อจะ “เชือดเหยื่อ” สยบผู้คนให้เกิดความกลัวไม่คิดที่จะทำผิด/กบฏต่อการปกครองของโรมัน(ที่คนยิวเกลียดเข้ากระดูกดำ)และ

นี่คือกางเขนที่เราแต่ละคนต้องโน้มตัวคุกเข่าลงบนพื้นดิน แล้วเอาบ่าข้างหนึ่งสอดเข้าใต้มุมของกางเขน แล้วพยายามออกแรงสุดกำลังดันตนเองที่ต้องรับน้ำหนักของไม้กางเขน แล้วพยายามยันตนเองให้ยืนขึ้นให้ได้ แล้วค่อย ๆ เดินไปบนเส้นทางที่ถูกกำหนด คือแบกกางเขนนี้ติดตามพระคริสต์...ไปในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน ที่แน่ ๆ มิใช่ใช้มือยกกางเขนขึ้นมาแล้วจับใส่บ่าของเรา เพราะแรงมือของเราเท่านั้นยกขึ้นไม่ไหว (อย่าลืมว่า กางเขนไม่เหมือนกระเป๋าเดินทางที่มีหูหิ้ว หรือ ล้อลากอย่างสมัยนี้)

กางเขนของตน

พระเยซูบอกชัดว่า “กางเขนของตน” นั่นหมายความว่าไม่มีใครที่จะแบก “กางเขนของเรา” แทนเราได้ ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง คนใช้ หรือแม้แต่พระคริสต์ ดังนั้น พระองค์จึงบัญชาแต่ละคนว่า แบกกางเขนของตนติดตามพระองค์ไปทุกวัน และพระคริสต์กล่าวชัดเจนอีกว่า  “...ผู้ใดไม่รับกางเขนของตนแบกตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา” (มัทธิว 10:38 อมธ.)

พระคริสต์บอกเราแต่ละคนว่า “ให้แบกกางเขนของตน”  เป็นกางเขนของเราแต่ละคน เป็นกางเขนที่แตกต่างกัน จะไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะเอากางเขนตนไปเปรียบเทียบกับกางเขนคนอื่น ๆ และก็ไม่ควรเปรียบว่า กางเขนใครสำคัญกว่ากัน เปาโลกล่าวในเรื่องนี้ไว้ใน  2โครินธ์ 10:12 ว่า  เพราะว่าเราไม่กล้า...เปรียบเทียบตัวเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเองเปรียบเทียบกันและกันแล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเข้าใจ...” (มตฐ.)

ถ้าเราจะเป็นสาวกติดตามพระคริสต์ไป สิ่งแรกเราต้องทำคือ โน้มตัวคุกเข่าลงบนดิน  เอาบ่าสอดเข้าที่มุมของกางเขน นั่นคือเราต้องยอมตนรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของเรา จากนั้นออกแรงทั้งสิ้นที่มีอยู่ในชีวิต ดันตัวและกางเขนที่พาดบนบ่าลุกขึ้นยืนให้ได้   จากนั้น ก้าวดินติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน

กางเขนของเราแต่ละคน ต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตน เช่น บางคนตอนนี้กางเขนที่ต้องแบกคือ “ตกงาน” หรือบางคนถูกเพื่อนร่วมงานกล่าวร้ายใส่ความ บางคนต้องทำงานกับเจ้านายที่ไม่เอาไหน บางคนต้องดูแลทีมงานที่มีเพื่อนร่วมทีมมากมาย บางคนต้องทำงานภายใต้เจ้านายที่ฉ้อฉล กางเขนของบางคนคือการที่เขาต้องทำงานอย่างสัตย์ซื่อท่ามกลางผู้บริหารที่สร้างอำนาจผ่านพรรคพวกของตน บางคนต้องพบกับความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ในครอบครัว บางคนต้องถูกให้ออกจากงาน/ออกจากตำแหน่ง เพราะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อจนกระทบชื่อเสียงของผู้มีอำนาจ บ้างต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ไม่พึงพอใจ เช่น ไปทำงานรถยางแบนกลางทาง ไปถึงที่ทำงานที่จอดรถของตนมีคนมาจอดแทน กลับถึงบ้านเครื่องซักผ้าพังซ่อมเองไม่ได้...นี่แหละครับคือกางเขนที่แต่ละคนต้องแบกไปในชีวิตแต่ละวัน  

คำถามคือ แล้วเราแต่ละคนจะรับมือกับสถานการณ์กางเขนแห่งชีวิตประจำวันของตนเหล่านี้อย่างไรในฐานะสาวกของพระคริสต์?


3. แบกกางเขนของตน ติดตามพระคริสต์ไป

ติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวัน

มีคนถามผมว่า ถ้าจะแบกกางเขนติดตามพระคริสต์ไป นั่นหมายความว่าเราต้องลาออกจากงานที่เราทำ คุยกับครอบครัวให้ดูแลตนเอง ส่วนตนจะออกไปรับใช้พระเจ้า เราทุกคนต้องติดตามพระคริสต์เช่นนี้ไหม?

ความจริงก็คือว่า กางเขนของสมาชิกคริสตจักรแต่ละคนนอกจากจะแตกต่างกันแล้ว ยังแตกต่างจากกางเขนของศิษยาภิบาลอีกด้วย ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น การที่เราจะติดตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวัน จึงมิใช่ต้องทำอย่างศิษยาภิบาล หรือ คนอื่น ๆ

ที่สำคัญที่จะต้องเข้าใจในตอนนี้คือ กางเขนของเราแต่ละคนแตกต่างจากกางเขนพระคริสต์   แต่พระองค์เป็นแบบอย่างในการแบกกางเขนในชีวิตของเรา ดังนั้น เราแต่ละคนจะแบกกางเขนของตนตามแบบอย่างพระคริสต์ ด้วยจิตวิญญาณแบบพระองค์ และที่สำคัญคือด้วยพระกำลังจากพระองค์ผ่านการทำงานขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเราแต่ละคน

“แบกกางเขนของตนและตามพระคริสต์ไป”  มิได้หมายความว่า จะต้องออกจากงานที่ทำ ออกจากบ้านทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง  หรือต้องปลีกตัวปลีกวิเวกออกจากสังคมไปสร้างชุมชนใหม่ของพวกตน แต่การแบกกางเขนของตนตามพระคริสต์ไปนั้น เราแบกกางเขนของตัวเราเองตามพระคริสต์ไปในชีวิตประจำวันแต่ละวัน เราแบกกางเขนของตนตามพระคริสต์เข้าไปในครอบครัว   ในที่ทำงาน และในชุมชน และเราจะตระหนักชัดเสมอว่า เราจะแบกกางเขนของตนด้วยจิตวิญญาณแบบพระเยซูคริสต์ แบกกางเขนด้วยฐานเชื่อและกรอบคิดแบบพระองค์ ด้วยพระกิตติคุณของพระองค์คือ รัก เมตตา และ ให้ชีวิตแก่ทุกคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างไม่มีเงื่อนไข  ด้วยจิตวิญญาณแห่งการรับใช้  เพื่อคนนั้นจะมีโอกาสได้พบกับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ และ นำเขาให้มาพบกับพระคริสต์เพื่อรับชีวิตใหม่จากพระองค์ ตามพระมหาบัญชา

วันนี้ท่านต้องแบกกางเขนของท่านในเรื่องอะไรครับ? ท่านจะแบกอย่างไรที่สำแดงจิตวิญญาณแบบพระคริสต์ที่ผู้คนสามารถสัมผัสได้ครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น