31 สิงหาคม 2561

น่ากลัว...ดุจสิงห์คำราม

จงรู้จักบังคับตนเองและตื่นตัวอยู่เสมอ
เพราะมารผู้เป็นศัตรูของท่านวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คำราม
เที่ยวหาเหยื่อเพื่อขย้ำกิน  (1เปโตร 5:8 อมธ.)

ที่ผ่านมา  ผมเข้าใจผิดพลาดมาตลอด
ผมมองคนที่เป็นปรปักษ์ คนที่เป็นศัตรู ปัญหา อุปสรรคของผมเป็นเหมือนสิงโต  
ที่จะต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เป็นการต่อสู้ที่ผมเอาชนะไม่ได้
ดังนั้น  เกือบทุกครั้งผมก็ตัดสินใจหนี หรือ หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมัน
ทั้ง ๆ ที่ “สิงโต” ตัวนั้นยังไม่ได้เข้าใกล้ผมเลย
ผมมักคิดว่า “ฉันจัดการกับเรื่องนี้ไม่ได้   ฉันรับมือกับมันไม่ได้”
ฉันชนะ “สิงโต” ไม่ได้
เชื่อเถิด  ไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดและรู้สึกเช่นนี้   อีกหลายคนก็เป็นเหมือนกัน

แต่พระคัมภีร์บอกเราว่า “มารผู้เป็นศัตรูของท่านวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงห์คำราม
ผมน่าจะรู้และเข้าใจเช่นนี้นานมาแล้ว
ใช่บางครั้งมันก็คำรามเสียงดัง   และทำท่าเหมือนสิงโตด้วย
แต่ผมได้เรียนรู้ว่า  “คนที่แข็งแรงที่สุดมิใช่คนที่เสียงดังที่สุด” เสมอไป
คนที่ขู่กรรโชกด้วยเสียงดังลั่นอาจจะเป็นคนที่อ่อนแอก็ได้  
แต่ที่แผดเสียงดังเพราะกลบเกลื่อนการหมดทางสู้ของเขาต่างหาก
ผมไม่สามารถรู้ถึงสถานการณ์ชีวิตที่ท่านแต่ละคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
ผมขอหนุนใจท่านง่าย ๆ ว่า

ท่านครับ...ผมรู้และมั่นใจว่ามีบางคนที่อยู่เคียงข้างชีวิตท่านในทุกสถานการณ์
คน ๆ นั้นแข็งแรงแต่ไม่แข็งกระด้างหรือหยาบคาย
คน ๆ นั้นเป็นคนที่สุภาพอ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ
คน ๆ นั้นเปี่ยมด้วยสติปัญญาแต่ไม่อวดตัว ยโส
แต่บอกได้ว่า  “ทุกเข่าจะคุกลงต่อหน้าคน ๆ นั้น”
และถ้าคน ๆ นั้นอยู่เคียงข้างเรา “ใครเล่าจะต่อสู้เราได้?”
จงยืนหยัดมั่นคงในชีวิตประจำวัน...แต่ละวันเถิด

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

29 สิงหาคม 2561

อย่าท้อถอยยอมแพ้... เพราะคุณเข้าใกล้เส้นชัยมากกว่าที่คิด

เรื่องราวกำแพงเมืองเยริโคพังทลายลงเป็นเรื่องที่ให้แรงบันดาลใจแก่เรา
โดยเฉพาะเมื่อเราได้อ่านเรื่องนี้ตลอดทั้งเรื่องในพระคัมภีร์
ช่วยทำให้เราเข้าใจถึง “แผนการ” ของพระเจ้า  และความตั้งใจของพระองค์

...โยชูวาได้กำชับประชากรไว้แล้วว่า
“อย่าโห่ร้อง อย่าส่งเสียง อย่าเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว
จนถึงวันที่ข้าพเจ้าสั่งให้โห่ร้อง จึงโห่ร้อง!” (โยชูวา 6:10 อมธ.)

ให้เราลองพิจารณาเรื่องนี้ตามเหตุการณ์ความเป็นจริง  
ถ้าเราเป็นคนหนึ่งในกลุ่มประชากรอิสราเอลในเวลานั้น
เมื่อโยชูวาบอกให้เราเดินรอบกำแพงเมืองเยริโค
แทนที่เราจะถือดาบจับอาวุธเตรียมพร้อมสู้
แต่กลับไปเล่นเครื่องดนตรีให้ศัตรูฟัง (โยชูวา 6:12)
มิเพียงแค่นั้นไม่ให้ใครพูดแม้แต่คำเดียวตลอด 6 วันนั้น (6:10)
แย่จริง...แต่ละคนต้อง “หุบปาก” ตลอด 6 วัน
แล้วรอจนกว่า ท่านผู้นำจะมีคำสั่งให้ส่งเสียง
คุณรู้ไหมว่ามันอึดอัดแค่ไหน? ยุทธศาสตร์บ้าบออะไรนี่?

ในจิตใจของคนกี่คนนะที่คิดอยากจะเอาหินขว้างโยชูวาให้ตาย
ผู้นำคนใหม่ของเราสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ?
กี่คนต้องทำใจที่ยอมทำตามคำสั่งของโยชูวาด้วยความสิ้นหวัง
หลายคนพยายามทำใจยอมเชื่อฟังท่านผู้นำคนใหม่คนนี้
ท่านผู้นำคนใหม่คนนี้สร้างความเครียดแก่ประชากรอิสราเอลมากมายทีเดียว
“แล้วถ้า  ยุทธศาสตร์นี้ไม่เป็นผลล่ะ...”
“แล้วถ้าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะกบฏต่อต้านผู้นำอย่างที่เคยเป็นมาแล้วในสมัยโมเสสล่ะ...”
“แล้วถ้า...”

แต่โยชูวาได้เรียนรู้บทเรียนจากกองสอดแนม 12 คนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
แทนที่จะให้มีคำพูดในเชิงลบ คำพูดที่คิดลบ
ที่สร้างความท้อแท้สิ้นหวังแพร่ขยายอย่างโรคติดต่อในฝูงชนอิสราเอล
ดังนั้น   โยชูวา...
จึงให้ทุกคนไม่พูดแม้แต่คำเดียวจนกว่าเขาจะมีสัญญาณให้ส่งเสียงได้

วันแรกผ่านไป   วันที่สองผ่านไป   วันที่สามก็ผ่านไป
แล้วถ้าเกิดประชากรอิสราเอลยอมแพ้ท้อถอยในวันที่ 6 ล่ะ?
แล้วถ้าพวกเขาสิ้นหวังและยอมแพ้ในวันที่ ในขณะเดินรอบที่ ล่ะ?
“อย่าสิ้นหวังยอมแพ้!  ท่านทั้งหลายกำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว  จงยืนหยัดมั่นคงเถิด!”
แน่นอน...เราที่รู้เรื่องตลอดเรื่อง และจุดสุดยอดของเรื่อง ก็พูดเช่นนั้นได้
แต่ถ้าไม่รู้   คุณคิดว่าจะพูดเช่นนั้นหรือ?

แต่ถ้าท่านอยู่ในกระบวนฝูงชนอิสราเอล  คุณจะยอมแพ้ หยุดเดิน เข้าในแผ่นดินแห่งพระสัญญาไหม?
โดยเฉพาะในวันที่ 6หรือในวันที่ 7  รอบที่ 6?

หรือถ้าต้องอดทนนานถึง 60 วันล่ะ?
ท่านยังจะมีความกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราทำหรือไม่?

“อย่าสิ้นหวังยอมแพ้!  ท่านทั้งหลายกำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว  จงยืนหยัดมั่นคงเถิด!”
เพราะนี่เป็นแผนยุทธศาสตร์ที่มาจากพระเจ้า   จะไม่มีความล้มเหลวพ่ายแพ้!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

27 สิงหาคม 2561

สอนข้าฯให้รู้จักนับวันคืนของตน...เพื่อจะเป็นคนมีปัญญา

ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส  แต่มีคำถามว่า แล้วเราได้ทำอะไรกับโอกาสเหล่านั้น?   หรือเราปล่อยให้โอกาสเหล่านั้นเลื่อนไหลผ่านไปหรือเปล่า?  แล้วบอกกับตนเองว่า “รอไว้โอกาสหน้าก่อน  วันหน้าก็จะมีโอกาสอีก”  หรือ เราคว้าโอกาสเหล่านั้นไว้  แล้วใช้โอกาสนั้น   เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสอีกครั้งอย่างที่เราคิดก็ได้!

ในสดุดี 90:12 ผู้ประพันธ์ได้ทูลต่อพระเจ้าว่า  “ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันคืนของตน   เพื่อจะได้มีจิตใจที่กอปรด้วยสติปัญญา” (อมธ.)  ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งได้แปลแบบตีความว่า  “โปรดสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันคืนของตน  และตระหนักรู้ว่า วันเวลาที่เหลืออยู่นั้นน้อยนิดเต็มที  และโปรดสอนข้าพระองค์ทั้งหลายใช้เวลาเหล่านั้นอย่างที่ควรจะเป็น”

เอเฟซัส 5:15 กล่าวไว้ว่า  พราะฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา” (อมธ.)

พระเยซูคริสต์เล่าถึงเรื่องชายคนหนึ่งที่จะเดินทางไปเมืองไกล  จึงได้มอบเงินให้แก่คนใช้   การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เขากระทำกันในสมัยของพระเยซูคริสต์   คนที่มั่งมีหรือคนชนชั้นปกครองจะมีคนใช้จำนวนมาก   บ้างเป็นคนใช้ในบ้านซึ่งเป็นคนใช้แบบใช้แรงงาน   จะมีคนใช้บางคนที่ทำหน้าที่บริหารจัดการเกี่ยวกับสินทรัพย์ของเจ้านาย  และบ้างจะช่วยบริหารจัดการในธุรกิจของนาย   และคนใช้บางคนจะมีการศึกษาที่สูง และบ้างก็มีความสามารถที่มากกว่าเจ้านาย   สำหรับคนใช้ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง   เมื่อเจ้านายอยู่บ้าน คนใช้คนนั้นจะมีพื้นที่อยู่และทำงานอย่างอิสระ  ในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบการงานที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อเจ้านายจะเดินทางไปเมืองไกล  ก็จะมอบหมายอำนาจเต็มให้รับผิดชอบแก่คนใช้กลุ่มนี้   ในเรื่องที่พระเยซูคริสต์เล่าถึงเศรษฐีคนหนึ่งที่เดินทางไปเมืองไกล   ก็ได้มอบหมายให้คนใช้ที่เขาไว้วางใจดูแลทรัพย์สินและธุรกิจของเขา   เราไม่รู้ชัดแน่นอนว่า เจ้านายได้มอบเงินให้คนใช้แต่ละคน ๆ ละเท่าใดเมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน   อาจจะให้กับคนแรก 50,000 บาท   คนที่สอง 30,000 บาท  และคนที่สาม 10,000 บาท

ท่านได้ลงทุนวันและเวลาในเรื่องอะไร และ อย่างไร?

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ใช้คำว่า “ดูโลส” ในภาษากรีก ที่แปลว่า “ทาส” หรือ “คนใช้”  คำว่า “ดูโลส” นี้ใช้กับทาส หรือ คนใช้ในชั้นพิเศษ   มิใช่คนที่ถูกบังคับ หรือ ฝืนใจให้ต้องเป็นทาส หรือ คนใช้   แต่ “ดูโลส” เป็นทาส หรือ คนใช้ที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้วจากเจ้านาย  แต่ทาสคนนั้นเลือกที่จะรับใช้เจ้านายของตนด้วยใจรักต่อไป   ทาสหรือคนใช้คนนั้นสำนึกในพระคุณของเจ้านายที่ให้อภัย ยกหนี้ หรือ ปลดปล่อยจากการเป็นทาส   แต่เขายังตัดสินใจเลือกที่ยังจะเป็นทาสหรือคนใช้ของเจ้านาย “ด้วยใจสมัคร”

อัครทูตเปาโลมักเรียกตนเองว่า “ดูโลส” ของพระเยซูคริสต์  คือเป็นทาสสมัครใจรับใช้พระคริสต์   และเราแต่ละคนที่เป็นสาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์เฉกเช่นเปาโล กล่าวคือพระคริสต์ทรง “จ่ายหนี้ชีวิต” ที่หนักอึ้งเพื่อเรา   พระองค์ทรงอภัยยกโทษแก่เรา เราจึงเป็นอิสระในชีวิต แต่ที่เราติดตามเป็นสาวกพระคริสต์เพราะเราเลือกตัดสินใจที่ยังจะเป็น “ทาสรับใช้” ของพระคริสต์ด้วยความเต็มใจและสมัครใจ มิใช่เพราะเราต้องรับใช้พระองค์  แต่เพราะเราต้องการและเต็มใจรับใช้พระองค์  เพราะเรารักและสำนึกในพระคุณของพระองค์ที่มีในชีวิตของเรา และเราตระหนักชัดว่า พระองค์ทรง “ใส่ทุนชีวิต” หรือ ประทานสิ่งต่าง ๆ  ตะลันต์ความสามารถ  ทรัพย์สิน และทรัพยากรต่าง ๆ และ โอกาสแก่เราแต่ละคน   เพื่อที่เราจะสามารถใช้ของประทานเหล่านั้นเพื่อทำให้เกิดผลดีตามพระประสงค์ต้องการของพระองค์   เป็นการทำให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า

เปาโลเขียนไว้ว่า  “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง   พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด” (1โครินธ์ 6:19 อมธ.)

พระเยซูคริสต์กล่าวว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา” (ลูกา 9:23 อมธ.)   ในที่นี้มิได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งทุกอย่างทำตนให้ยากจน แต่หมายความว่า สิ่งทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นของพระเจ้า ชีวิตของเราเป็นของพระองค์ ครอบครัวของเราเป็นของพระองค์ ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นของพระองค์   ทุกสิ่งที่เรามีในชีวิตเป็นของพระเจ้า

คนใช้คนแรกในเรื่องเล่าของพระเยซูคริสต์  ได้ใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่เจ้านายให้แก่ตน “ลงทุน” จนเกิดผลร้อยเท่า  และ คนที่สองก็เกิดผลร้อยเท่าเช่นกัน   แม้ “ต้นทุนชีวิต” อาจจจะแตกต่างกัน

นี่แสดงว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดมิใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่พระเจ้าประทานแก่เราแต่ละคน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ  แต่ละคนได้ใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างเกิดผลมากน้อยแค่ไหนต่างหาก 

พระเจ้ามิได้คาดหวังให้เราทำในสิ่งที่เราไม่มี “ต้นทุนชีวิต”   แต่พระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่พระองค์ประทานแก่เราแต่ละคนอย่างเต็มสมรรถภาพ   เราแต่ละคนอาจจะมี “ต้นทุนชีวิต” ที่แตกต่างไม่เท่ากัน   แต่เราจะต้องใช้ “ต้นทุนชีวิต” อย่างเต็มสมรรถนะ และ เต็มความพยายาม

ให้เราใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่เราได้รับจากพระเจ้า  และใช้ด้วยความเชื่อและสุดกำลังชีวิตเพื่อให้เกิดการยกย่องถวายเกียรติแด่พระเจ้า   ถ้าเรามิได้ใช้ “ต้นทุนชีวิต” ทั้งหมดที่เราได้รับเพื่อให้เกิดการถวายพระเกียรติ   เราก็จะไม่เกิดผล แม้เราจะมี “ต้นทุนชีวิต” เพียงน้อยนิด แต่ตั้งใจทำดีที่สุดเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เฉกเช่นเด็กน้อยคนนั้นที่ให้สิ่งที่ตนมีทั้งหมดในเวลานั้นแด่พระคริสต์ เพียงปลาสองตัวขนมปังห้าก้อนเมื่อถวายแด่พระคริสต์  พระองค์ใช้อาหารน้อยนิดนี้พอเลี้ยงฝูงชนที่หิวโหยจำนวนมาก  

พระเจ้าทรงอวยพระพรผ่าน “ต้นทุนชีวิต”  ของเด็กน้อยคนนั้น  แม้จะมีเพียงน้อยนิดแต่เกิดผลอย่างไม่จำกัด   และเกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เราจะนับวันคืนชีวิตของเราอย่างไร?

การนับ “วันเวลาชีวิต”   คือการที่เราใช้ “ต้นทุนชีวิต” ทั้งหมดที่เราได้รับให้เกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้า   และเรายอมเชื่อฟัง และ กระทำตามการทรงชี้นำด้วยใจสัตย์ซื่อ แม้ “ต้นทุนชีวิต” จะดูน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม แต่พระเจ้าจะทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านการที่เราใช้ “ต้นทุนที่น้อยนิด” ที่มีอยู่   เมื่อเรายอมเชื่อฟังและกระทำด้วยความสัตย์ซื่อ   พระเจ้าจะประทาน “ต้นทุนชีวิต” ที่มากขึ้นเพื่อเราจะใช้และรับผิดชอบต้นทุนชีวิตนั้นให้เกิดการถวายเกียรติแด่พระองค์มากยิ่งขึ้น

ให้เรากล้าที่จะใช้ “ต้นทุนชีวิต” เพื่อพระเจ้า และให้เรากล้าที่จะใช้ “ต้นทุนชีวิต” แม้กลัวว่าจะไม่เกิดผล   ให้เราพยายาม แม้อาจจะล้มเหลวก็ดีกว่าไม่ได้ลงมือทำเลย   แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต

แต่ถ้าเราสัตย์ซื่อในการใช้ “ต้นทุนชีวิต”  แม้จะน้อยนิดจนเกิดผลในที่สุด   พระเจ้าจะทรงประทาน “ต้นทุนชีวิต” ที่เพิ่มพูนขึ้น

ให้เราฉวยโอกาสทุกโอกาสที่อยู่หน้าเราในแต่ละวัน  อย่ารีรอ   เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสอย่างที่เราได้รับในวันนี้!   ให้เราใช้ “ต้นทุนชีวิต” ที่เราได้รับในแต่ละวันอย่างเกิดผล   เมื่อเราสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย  พระเจ้าจะให้เรารับผิดชอบในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น

การนับวันคืนชีวิตคือการที่เรารู้เท่าทันว่า  พระเจ้าประทาน “ต้นชีวิต” อะไรบ้างแก่เราในวันนี้   แล้วเราตั้งใจใช้ “ต้นทุนชีวิต” ดังกล่าว ร่วมกับพระราชกิจที่พระเจ้าทำในชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เกิดการถวายเกียรติแด่พระเจ้าในวันนั้น ๆ

ให้เรารู้จักนับวันคืนชีวิตในทุกวันครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

24 สิงหาคม 2561

บทเรียนรู้การอธิษฐานจากพระเยซูคริสต์

ในคำเทศนาสั่งสอนบนภูเขาของพระคริสต์   ได้สอนถึงเรื่องการอธิษฐานไว้ด้วย   สิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้และติดอยู่ในความคิดจิตใจผมตลอดเวลาคือ  เมื่ออธิษฐานมิใช่ส่งเสียงดังในที่ชุมนุมชน แต่   “เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ไม่ปรากฏแก่ตา...” (มัทธิว 6:6 อมธ.)  

จากคำสอนของพระเยซูคริสต์ในเรื่องการอธิษฐานผมได้เรียนรู้ ดังนี้

1. การอธิษฐานที่เรียบง่าย  จุดประสงค์ของการอธิษฐานตามแบบพระเยซูคริสต์ (มัทธิว 6:9-13) สอนเราให้อธิษฐานแบบเรียบง่าย   พระเยซูคริสต์วิจารณ์การอธิษฐานที่คนทำกันในเวลานั้นว่า  เวลาอธิษฐานอย่าอธิษฐานซ้ำซาก  ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า   เพราะคิดว่าพูดมาก ๆ แล้วพระเจ้าจะพอใจและฟังคำอธิษฐานของเรา   ทั้งนี้เพราะพระบิดาที่เราเชื่อศรัทธารู้ก่อนที่เราจะอธิษฐานต่อพระองค์เสียอีก (มัทธิว 6:7-8)  ความจริงที่เราสามารถเข้าใจง่าย ๆ คือ   การที่เราเข้าหาพระเจ้าก็เป็นการอธิษฐานในตัวอยู่แล้ว

2. การอธิษฐานด้วยจิตสำนึกที่ชัดเจน  การอธิษฐานทูลขอการทรงยกโทษจากพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับพระเยซูคริสต์   พระเยซูคริสต์กล่าวว่า  ถ้าเราไม่ยกโทษแก่คนอื่น  พระบิดาของเราในสวรรค์จะไม่ยกโทษแก่เราด้วย (มัทธิว 6:14-15)   และพระองค์สอนอีกว่า  ก่อนที่เราจะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ให้เรากลับไปคืนดีกับคนอื่นก่อน (มัทธิว 4:23-24) ถ้าเราต้องการได้รับการยกโทษจากพระเจ้า  เราจำเป็นต้องยกโทษคนอื่นที่กระทำผิดต่อเรา   และในเวลาเดียวกันเราควรแสวงหาที่จะรับการยกโทษจากคนอื่นเมื่อเรากระทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจด้วย  

ความจริงที่เข้าใจง่าย ๆ ในประเด็นนี้คือ  เมื่อเราจะอธิษฐานต่อพระเจ้า  เราต้องต้องตรวจสอบจิตสำนึกของเราว่า   เราได้สร้างการคืนดี  มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกันแล้วหรือยัง   ก่อนที่เราจะอธิษฐานเพื่อติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า

3. อธิษฐานเสมอไม่ลดละ   ในพระธรรมลูกา บทที่ 18  พระเยซูคริสต์อุปมาถึงการอธิษฐานด้วยความอดทน  ว่ามีหญิงม่ายคนหนึ่งมาขอความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาที่ไม่สนใจใยดีต่อชีวิตหญิงม่ายคนนั้น   แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้มาร้องขอความเป็นธรรมอย่างไม่หยุดหย่อน   จนในที่สุดผู้พิพากษาคนนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนางในการตัดสินคดีเพราะทนรำคาญที่หญิงม่ายมาขอความเมตตาอย่างไม่หยุดหย่อน   พระเยซูคริสต์ตรัสว่า  “แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ?...”(มัทธิว 18:7 มตฐ.) 

ไม่ว่าสถานการณ์ชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร   พระบิดาต้องการให้เราติดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ   ที่เราจะมีจิตใจที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ทุกเวลา

4. อธิษฐานด้วยใจกล้าหาญ   พระเจ้าต้องการให้เราอธิษฐานทูลขอเกินกว่าสิ่งที่เราจะทำได้   พระเยซูคริสต์สอนว่า  “เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” (ลูกา 11:9 มตฐ.)   การที่เรากล้าทูลขอต่อพระเจ้าในสิ่งที่เกินความสามารถของเรานั้น   เพราะเราไว้วางใจในพระเมตตา และ ความสามารถกระทำทุกสิ่งได้   เพราะพระองค์ทรงกระทำในสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้   “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”(มัทธิว 19:26  มตฐ.)

5. อธิษฐานด้วยความเชื่อ   เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงรักษาเด็กที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงซึ่งพวกสาวกไม่สามารถที่จะขับมันออกจากเด็กได้   สาวกถามว่า ทำไมพวกตนขับผีนี้ไม่ออก   พระเยซูบอกพวกสาวกว่า เพราะพวกเขามีความเชื่อน้อย   แล้วพระองค์บอกพวกเขาต่อไปว่า   ถ้าพวกเขามีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด   พวกเขาก็จะสามารถสั่งภูเขานี้ว่า  “จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่นั่น” (มัทธิว 17:14-21)   ความศรัทธาคือการที่เรามีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า  ผู้ทรงสร้างและค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งหลาย   เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อและไว้วางใจพระองค์ว่า  พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งได้แม้จะเป็นเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นไปไม่ได้  เราทำไม่ได้ก็ตาม

ผมไม่จำเป็นยืนขึ้นที่มุมถนนและอธิษฐานออกเสียงดัง   ผมอธิษฐานในจิตใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ผมมองเห็นในชีวิตประจำวัน   และผมได้เห็นคนเจ็บป่วยได้รับการรักษา  คู่ชีวิตสามารถประคับประคองไปด้วยกันได้  ผู้คนมีจิตใจที่เชื่อวางใจในพระเจ้า   พระเยซูคริสต์อธิษฐานเช่นไร   ผมขอทำตาม อธิษฐานอย่างพระองค์ด้วย

ผมเรียนรู้อีกว่า  การอธิษฐานมิใช่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา   การอธิษฐานมิใช่การกระทำให้พระเจ้าพึงพอใจในตัวผม   แต่การอธิษฐานคือการที่ผมมีโอกาสติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้ามากยิ่ง ๆ ขึ้นทุกวัน   การอธิษฐานคือการที่ผมไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของผม การอธิษฐานคือสัญญาณชีพที่บ่งบอกว่าวันนี้ผมยังมีชีวิตอยู่

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

17 สิงหาคม 2561

เราเลือกอธิษฐานแต่ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปได้เท่านั้นหรือ?

ความจริงประการหนึ่งในเรื่องการอธิษฐานของคริสตชนคือ   เมื่อเราทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า   เราไม่ได้ทูลขอให้พระเจ้าทำตามสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เท่านั้น   แต่เมื่อเราอธิษฐานทูลขอพระเจ้า   เราเชื่อว่าพระเจ้าจะตอบการทูลขอของเราตามพระประสงค์ของพระองค์   ที่พระองค์ต้องการให้เกิดสิ่งดีมีค่าสำหรับชีวิตของเรา 

เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าไม่ว่าท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งใด
จงเชื่อว่าจะได้รับแล้วท่านจะได้สิ่งนั้น (มาระโก 11:24 อมธ.)

พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานของเราตามพระประสงค์ของพระองค์   พระองค์จะไม่ตอบสิ่งใด ๆ ที่ขัดต่อพระประสงค์   ถึงแม้เราจะทูลอธิษฐานในเรื่องใหญ่ที่เหนือความเป็นไปได้ของมนุษย์ก็ตาม   แต่ถ้าเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า   สิ่งนั้นก็จะได้รับการตอบจากพระเจ้าและเป็นจริงตามพระประสงค์ของพระองค์  ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็จะได้รับทุกอย่างตามที่อธิษฐานขอ” (มัทธิว 21:22 อมธ.)   และนี่คือพระสัญญาจากพระคริสต์คือ   “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร   สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น (ยอห์น 14:13-14 มตฐ.)

วิกฤติเหนือความสามารถ  จะได้คำตอบที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คิด

เมื่อสาวกเผชิญหน้ากับพายุที่รุนแรงที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย   เขาร้องหาพระเยซูคริสต์ให้ช่วยพวกเขา   พระเยซูอยู่ไหน?   พระองค์กำลังนอนหลับอยู่ในเรือลำเดียวกันกับพวกเขา (มัทธิว 8:24)   พวกเขารีบไปปลุกพระเยซู  และขอให้พระเยซูช่วยกู้พวกเขาจากเรือที่กำลังจะจมน้ำตาย (ข้อ 25)   นี่เป็นการอธิษฐานทูลขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่?   ใช่เป็นการทูลขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา สองมิติด้วยกันคือ   มิติแรก การที่จะรอดพ้นจากภัยร้ายแรงทางธรรมชาติ   มิติที่สอง  เมื่อพระเยซูคริสต์อยู่ในเรือลำเดียวกับพวกเขา   แล้วเรือจะล่มในพายุร้ายนี้ได้อย่างไร?   พระองค์จะปล่อยให้เขาต้องตายในภัยร้ายจากธรรมชาติครั้งนี้ได้อย่างไร?

น่าสังเกตว่า   เมื่อพระเยซูตื่นขึ้น  สิ่งแรกที่พระองค์ทำคือ ตำหนิสาวกว่า  “เหตุใดถึงตื่นตกใจถึงเพียงนี้?  คนที่มีความเชื่อศรัทธาน้อย   แล้วพระองค์ทรงห้ามลมและคลื่นทะเล...” (ข้อ 26)   พระเยซูคริสต์ทรงสยบทั้งความตระหนกตกใจของสาวก พายุและคลื่นทะเลให้สงบลง (ข้อ 26-17)  

ไม่มีพายุวิกฤติชีวิตใดที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระเจ้า   เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าผู้ควบคุมครอบครองเหนือธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง  และเป็นแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตทุกชีวิต   บ่อยครั้งเรามักทูลอธิษฐานอย่างจำกัด  คือการที่เราอธิษฐานทูลขอแต่เรื่องที่เราคิดและคาดว่าเป็นไปได้สำหรับเราเท่านั้น  แต่ความจริงคือเราต้องตระหนักชัดและเชื่ออย่างสุดจิตใจว่า  “เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า” (ลูกา 1:37)

อย่าจำกัดพระเจ้า เพราะความจำกัดของเรา

ยาเบส อธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ขอทรงโปรดอวยพรข้าพระองค์ และขยายพรมแดนของข้าพระองค์! ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และปกป้องข้าพระองค์จากภยันตราย เพื่อข้าพระองค์จะพ้นจากความเจ็บปวด” และพระเจ้าประทานตามที่เขาทูลขอ (1พงศาวดาร 4:10 อมธ.)

นางฮันนาห์ผู้เป็นหมันได้มีบุตรชายตามที่นางทูลขอต่อพระเจ้า(1ซามูเอล 2:1-10)  และยังประทานบุตรชายอีกสามคน และ หญิงอีกสองคนต่อมาภายหลังอีกด้วย (ข้อ 21)

พระเจ้าทรงประทานกำลังแก่แซมสันอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำลายศัตรูของอิสราเอล (ผู้วินิจฉาย 16:28)   คนโรคเรื้อนทูลขอต่อพระเยซูว่า  “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หายได้ถ้าพระองค์เต็มใจ” (มัทธิว 8:2)   เมื่อโยนาห์อยู่ในท้องปลาเขาทูลขอชีวิตจากพระเจ้า (โยนาห์ 2:1-9)   แล้วปลาก็สำรอกเขาออกจากท้องของมันที่ชายฝั่ง,  เมื่อโจรบนกางเขนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ได้ทูลขอต่อพระเยซูคริสต์บนกางเขนในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต   เขาได้รับคำสัญญาจากพระคริสต์ว่าเขาจะอยู่กับพระคริสต์ในแผ่นดินของพระเจ้า (ลูก 23:42)   เมื่อกษัตริย์อาสาทูลขอพระเจ้าทรงช่วยกู้พวกเขาจากกองกำลังชาวคูช   พระเจ้าทรงช่วยกษัตริย์อาสาและประชาอิสราเอลให้เอาชนะกองกำลังมหาอำนาจของคูช   จนศัตรูล่าถอยกลับไปอย่างไม่เป็นขบวน (2พงศาวดาร 14:11-12)

เราเห็นชัดแล้วว่า  คนที่กล่าวถึงข้างต้นนี้เขาไม่ได้จำกัดคำทูลขอต่อพระเจ้า   เพราะพวกเขาเชื่อศรัทธาในพระราชอำนาจที่ไม่มีความจำกัดของพระองค์   ดังนั้นคำถามสำหรับเราท่านคือว่า   ทุกวันนี้เราได้จำกัดคำอธิษฐานทูลขอของเรา ตามความคาดคิดที่จำกัดของเราหรือไม่?   เราทูลขอตามสิ่งที่เราคิดเห็นว่ามันเป็นไปได้เท่านั้นหรือเปล่า?  

เมื่อโยชูวาอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าขอให้ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กับที่   เพื่อว่ากองทัพของอิสราเอลจะได้เปรียบเหนือกองกำลังของอาโมไรต์   เพื่ออิสราเอลจะได้รับชัยชนะในการทำศึกครั้งนั้น   โยชูวารู้อยู่กับใจว่าเขากำลังทูลขอต่อพระเจ้าในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับตัวเขาเอง  

แต่พระเจ้ามิได้ถูกจำกัดด้วยความคิดความเชื่อที่เป็นไปไม่ได้ของเรา   เราต่างหากที่เป็นผู้จำกัดคำอธิษฐานทูลขอของเราต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

15 สิงหาคม 2561

กระบวนการสร้างผู้นำของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเตรียมและเสริมสร้างโมเสสให้เป็นคนของพระองค์  เพื่อนำชนชาติฮีบรูออกจากการเป็นทาสในอียิปต์อย่างไร?  พระเจ้ามิได้ใช้เวลาเสริมสร้างและเตรียมโมเสสในวันเดียว เดือนเดียว หรือ ปีเดียวเท่านั้น   แต่พระเจ้าใช้เวลาในการเตรียมและเสริมสร้างโมเสสผ่านชีวิตประจำวันของเขา วันแล้ววันเล่า   แล้วก็ไม่ได้เสริมสร้างและเตรียมเขาด้วยเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น   แต่พระองค์ทรงเตรียมและเสริมสร้างโมเสสอย่างเป็นกระบวนการใช้เวลาถึง 40 ปี  

“เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่องก็พยายามจะประหารโมเสส แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอาศัยอยู่ในดินแดนมีเดียน...โมเสสตกลงใจอาศัยอยู่กับเรอูเอล เรอูเอลได้ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้เป็นภรรยาของโมเสส” (อพยพ 2:15, 21 อมธ.)

มิใช่เพียงโมเสสเท่านั้นที่พระองค์ทรงเสริมสร้างและเตรียมให้เป็นผู้นำด้วยวิธีนี้   แต่พระองค์ทรงเสริมสร้างและเตรียมคนของพระเจ้าคนอื่น ๆ ด้วยกระบวนการเช่นนี้ด้วยเช่นกัน

โนอาห์     ใช้เวลา 120 ปี ก่อนที่จะมีการบอกถึงแผนการที่จะมีฝนตกน้ำท่วมโลก
อับราฮาม  รอเป็นเวลา 25 ปี เขาจึงจะมีลูกตามพระสัญญา
โยเซฟ     รอคอยและใช้ชีวิตนักโทษอยู่ 14 ปีในคุกหลวง  ที่ตนมิได้กระทำผิด
โยบ         ประมาณว่าโยบต้องใช้เวลาช่วงอายุ 60-70 ปีที่รอคอยความยุติธรรมจากพระเจ้า

พระเจ้าทรงเสริมสร้างและเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย “เตาถ่าน” มิใช่ด้วย “เตาไมโครเวฟ”  แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพระเจ้าทรงใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นในชีวิตของแต่ละคนกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของแต่ละคนที่ทรงเตรียม

ช่วงเวลาที่รอคอยเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง   เพราะเป้าหมายในช่วงการรอคอย เตรียม  และเสริมสร้างนั้น   พระเจ้าทรงช่วยให้คน ๆ นั้นหยั่งรากความเชื่อศรัทธาลงลึก และ เติบโตมีวุฒิภาวะมากยิ่งขึ้น  ปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองในชีวิตของคน ๆ นั้น   ทรงขยายความเข้าใจของคน ๆ นั้นให้ลุ่มลึกและกว้างไกล   ช่วงเวลาแห่งการทรงเสริมสร้างบางครั้งมาในรูปของการทดลอง   ที่จะทำให้คน ๆ นั้นมีความอดทนต่อช่วงเวลาที่ชีวิตดูเหมือนไม่เกิดผลอันใด   อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดว่า เราสามารถรับรู้และคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตนั้นของเราที่พระเจ้าประทานให้  แล้วจัดการชีวิตอย่างรับผิดชอบได้หรือไม่

วันนี้ พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจ  เตรียม และเสริมสร้างในชีวิตของท่านอยู่หรือไม่?   ท่านพร้อมและเต็มใจรับการทรงเตรียม และ เสริมสร้างจากพระองค์หรือเปล่า?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

13 สิงหาคม 2561

ความเชื่อคริสเตียนแบบ ลูกค้า “ร้านสะดวกซื้อ”?

ในคริสตจักรของท่าน มีความเชื่อของคริสเตียนปัจจุบันที่มีลักษณะเหมือนลูกค้าร้านสะดวกซื้อหรือไม่?   เป็นประเด็นที่ ชัค ลอว์เลส (Chuck Lawless) อาจารย์พระคริสตธรรม ในอเมริกา  ชวนสนทนา และ พิจารณาถึงความจริงของคริสเตียนในยุคบริโภคนิยมปัจจุบันนี้

1. ความต้องการของลูกค้ามาก่อน   เป้าหมายหนึ่งของร้านสะดวกซื้อคือการมีสินค้าที่ลูกค้าต้องการและจำเป็น   ในอนาคตร้านสะดวกซื้ออาจจะต้องมีช่องทางให้บริการแบบขับรถผ่านเพื่อซื้อสินค้าโดยลูกค้าไม่จำเป็นลงจากรถเพื่อไปซื้อสิ่งของที่เขาต้องการในร้าน   คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

2. ลูกค้าหาของที่ตนต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ   ในเมื่อร้านประเภทนี้เรียกว่า “สะดวกซื้อ” และแสดงสินค้าต่าง ๆ ในทุกมุม   เป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้สะดวกง่ายดาย  คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?  

3. ลูกค้าสามารถมาซื้อสินค้าตามความสะดวกและเวลาที่ต้องการ   ร้านสะดวกซื้อที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงกล่าวว่า  “ท่านสามารถมาในเวลาใดก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”  ในทางตรงกันข้าม ถ้าท่านไม่มีความต้องการหรือจำเป็น  ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องจอดรถเพื่อเข้าไปในร้าน  คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

4. ลูกค้ากับร้านค้าอาจจะมีความสัมพันธ์แต่มิใช่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง  ร้านสะดวกซื้อบางแห่งเริ่มที่จะมีพื้นที่ที่ลูกค้าใช้เป็นที่ “พักผ่อนหลบร้อน”  และลูกค้ารายนั้นอาจจะเป็นลูกค้าที่คนทำงานในร้านสะดวกซื้อคุ้นชิน(เพราะมาบ่อย) แต่ความสัมพันธ์ไม่ได้ลงลึก และลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ทำเพื่อร้านสะดวกซื้อ   คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

5. การที่ลูกค้าคนนั้นจะมาร้านสะดวกซื้อเป็นประจำมิใช่เพราะลูกค้าจงรักภักดีต่อร้าน   แต่เพราะที่ตั้งของร้าน(อาจจะอยู่ใกล้)  อุปนิสัยของลูกค้า หรือ มีสิ่งชักชวนใจให้มาร้านนั้นบ่อย  ใคร ๆ ก็ต้องการให้ร้านสะดวกซื้อที่ตนชอบตั้งอยู่ใกล้บ้าน หรือ ที่ทำงาน  หรือที่ที่ตนสะดวกในการเดินทาง   สามารถไปได้อย่างรวดเร็ว   หรือ มีรายการพิเศษสำหรับลูกค้าบ่อย ๆ  คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

6. ลูกค้าต้องการร้านค้าสะดวกซื้อที่ให้บริการสินค้าหลากหลายอย่างตามที่ตนต้องการ  ซึ่งเราเห็นว่าร้านสะดวกซื้อจำนวนมากที่ตั้งในบริเวณปั๊มน้ำมัน  มีร้านค้ากาแฟสด  และการบริการที่หลากหลายต่อความต้องการของลูกค้า   รวมถึงมีการบริการห้องน้ำฟรีอีกด้วย   คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

7. แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อ   ลูกค้าก็ยังสอดส่ายมองหาสินค้าที่ลดราคา  การที่จะมีความสะดวกในการซื้อ และ จับจ่ายได้รวดเร็วก็ยังไม่พอ   ลูกค้าต่างชอบช่วงเวลาของการลดราคา หรือ มีโปรโมชั่นพิเศษ   ลูกค้าต้องการประหยัดเวลาและเงินด้วย  เราเห็น “การเสียสละ” ในลูกค้าร้านสะดวกซื้อได้อย่างน้อยนิด   หรืออาจจะพูดได้ว่า คำว่า “เสียสละ” ไม่มีในความคิดลูกค้าร้านสะดวกซื้อ   คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

8. ประเด็นของความไม่สะดวก   สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่   คำว่า “รอ” เป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “สะดวกรวดเร็ว”   และไม่ควรมีในพจนานุกรมของร้านสะดวกซื้อในความรู้สึกของลูกค้า  คริสตจักรมีคนมาโบสถ์แบบนี้ไหม?

ปัจจุบันมีคริสเตียนที่มาร่วมในคริสตจักรของท่านที่มีลักษณะเหมือน ๆ ลูกค้าที่ไปร้าน “สะดวกซื้อ” มากน้อยแค่ไหนครับ?   หรือ ถ้าจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “คริสเตียนแบบเซเว่นฯ  มีลักษณะเหมือนกับลูกค้าเซเว่นฯในลักษณะใดบ้าง?   ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

03 สิงหาคม 2561

จะค้นหา...น้ำพระทัยพระเจ้าอย่างไร?

พระเจ้าไม่ได้เล่นซ่อนหากับเรา!  

พระองค์ประสงค์ให้พวกเราเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระองค์  และแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตของเรา

ถึงแม้เราจะพูดว่า  “ฉันต้องการให้พระเจ้าทรงนำชีวิตของฉัน”   แต่เราก็ยังคงงง สับสน   เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะทำอย่างไรดี    บ่อยครั้ง ปัญหาอยู่ที่เราค้นหาในสิ่งที่ผิด   ก่อนอื่นเราจำเป็นที่จะต้องรู้ว่า เรากำลังค้นหา หรือ แสวงหาอะไร   ก่อนที่เราจะค้นพบใช่ไหม?

ถ้าอย่างนั้น   น้ำพระทัยของพรเจ้าเป็นอะไรกันแน่ล่ะ?

น้ำพระทัยของพระเจ้ามิใช่ความรู้สึก

แต่บางครั้ง เราอาจจะค้นหาความรู้สึก หรือ หมายสำคัญที่อยู่เหนือธรรมชาติ   เราอาจจะต้องการให้พระเจ้าดึงเอาสิ่งที่เป็นความรู้สึกที่เร้นลับของเราออกมา   เพื่อเราจะได้รู้ว่าจะต้องทำอะไร?

ปัญหาคือ ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ   เป็นสิ่งที่โอนเอนเปลี่ยนแปลงได้ง่าย   แล้วมักนำเราไปทางที่ไม่ถูกต้อง   ความรู้สึกอาจมาจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า  อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย  หรือเกิดจากประสบการณ์หนึ่งที่เราเพิ่งประสบพบมา   เยเรมีย์ 17:9 กล่าวว่า  “จิต​ใจ​ก็​เป็น​ตัว​ล่อ​ลวง​เหนือ​กว่า​สิ่ง​ใด​ทั้ง​หมด...” (มตฐ.)   แม้แต่จิตใจของเราเองก็ยังมีกลโกงเล่ห์เหลี่ยมกับเรา   แม้แต่มารก็สามารถทำให้เกิดความรู้สึกในตัวเรา   และถ้าเราต้องฟังความรู้สึกของเราแล้ว   ริก วอร์เรน คงไม่มีโอกาสในการแต่งงานกับคู่รักของเขา   ริก วอร์เรน เล่าให้ฟังว่า   ก่อนวันแต่งงาน 1 วัน  เขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับคู่สมรส  และมีเสียงบอกว่าให้หนีการแต่งงานเสีย   แต่นั่นมิใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า   นั่นเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นในตัวเราต่างหาก

อย่ารอแต่ความรู้สึก  เมื่อเรากำลังแสวงหาแผนการชีวิตของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา

แผนการ หรือ น้ำพระทัยของพระเจ้ามิได้มีแบบตายตัว

ในยุคนี้  คนเราต้องการความสะดวกง่ายดาย   เราต้องการสิ่งต่าง ๆ ที่มีรูปแบบขั้นตอนง่าย ๆ ที่เหมือนกัน หรือ สำเร็จรูป  สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของเรา   เราต้องการขั้นตอนที่ให้ทำตามทีละขั้นที่ชัดเจน

แต่วิธีการขั้นตอนที่ว่ามานี้มันมีปัญหาครับ   ขั้นตอนดังกล่าวไม่มีพื้นที่สำหรับการผิดพลาด   ถ้าน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นสูตรสำเร็จ  มีขั้นตอนปฏิบัติที่ตายตัว   ถ้าเกิดว่าเราทำตกหล่นไปองค์ประกอบหนึ่งละจะเกิดอะไรขึ้น?   ถ้าไม่ได้ใส่ผงฟูจากสูตรที่กำหนด   สิ่งที่ได้ออกมาแทนที่จะเป็นเค้กวันเกิดจะกลายเป็นเพนเค้กหรือไม่?   แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าตามสูตรมี 52 ขั้นตอนในการที่จะรู้จักพระเจ้า  แล้วเราเลือกทำแค่ 37 ขั้นตอน?

พระประสงค์ของพระเจ้ามิใช่สูตรตายตัว ไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป  แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ   ไม่ใช่การที่เราจะต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง เช่น เลือกแดง หรือ ดำ   แท้จริงแล้ว หลายครั้งที่เราสามารถเลือกได้ตั้งแต่ “ก” ถึง “ฮ”  จะเลือกอันใดก็ได้ทั้งนั้น   ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของเราแต่ละคน   ไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะประทานสมองความคิดแก่เราไปทำไม ถ้าพระองค์ไม่คาดหวังที่เราแต่ละคนจะใช้สมองที่ประทานให้นั้นในการคิด ในการตัดสินใจเลือก?   พระเจ้าให้โอกาสแก่เราทุกคนตัดสินใจเลือกไปทำไม?  แต่พระองค์ยังให้โอกาสครั้งใหม่ที่จะตัดสินใจเลือกใหม่อีกครั้งด้วย

ถ้าน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ใช่ความรู้สึก หรือ รูปแบบที่ตายตัว  แล้วน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไรกันแน่?

น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพ

ในพระธรรม 1โครินธ์ 1:9  เขียนไว้ว่า  “พระเจ้า...​ทรง​เรียก​พวก​ท่าน​ให้​สัม​พันธ์​สนิท​กับ​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ คือ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา” (มตฐ.)

ในพระคัมภีร์ เราพบวิธีการหรือเทคนิกที่จะรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าน้อยครั้ง   เราพบเป็นจำนวนพันข้อที่กล่าวถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ที่สนิทใกล้ชิดกับพระเจ้า/พระเยซูคริสต์  ทำไมเป็นเช่นนั้น?   เพราะน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์

ยิ่งเราสัมพันธ์กับพระองค์มากแค่ไหน  เราก็รู้จักพระเจ้าดีขึ้นแค่นั้น  ความสับสนเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าจะลดน้อยลงแค่นั้น   ดังนั้น  การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง   เป็นสิ่งแรกที่เราจะต้องมีกับพระองค์ก่อน   และโดยการที่เราเกิดความสัมพันธ์และสนิทกับพระองค์มากยิ่งขึ้นแค่ไหน   ความเข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าของเราก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น  

ความสัมพันธ์ติดสิทกับพระเจ้ามาก่อนอื่นใด   สิ่งอื่น ๆ จะตามติดมาภายหลังครับ

ในวันนี้ไม่ว่าเราจะต้องทำอะไร ต้องเผชิญสถานการณ์ใด  เริ่มต้นติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าก่อนครับ!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

01 สิงหาคม 2561

เมื่อฝันสลาย...ท่านยังไว้วางใจพระเจ้าอยู่หรือ?

....เมื่อฝันแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ท่านเคยทำแก้วน้ำใบโปรดของท่านตกแตกเป็นชิ้น ๆไหม?  มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่สามารถที่จะเอามาเชื่อมต่อกันให้กลับมาเป็นแก้วใบเดิมอีกได้...

แต่พระเจ้าทรงสามารถทำให้ความฝันของเราที่แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ  กลับเป็นความฝันที่แตกต่างไปจากเดิมและเป็นความฝันที่ดีกว่าเดิมของเราเสียอีก

ท่านเคยเห็นความฝันที่แตกละเอียดลงเป็นเศษเล็กเศษย่อยต่อหน้าต่อตาของท่านหรือไม่?   มันยากหรือไม่ แค่ไหนที่เราจะเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าว่า  พระองค์จะทำให้ความฝันที่แตกสลายกลับมาเป็นความฝันใหม่(มิใช่ความฝันเดิม) ได้?   บางครั้ง ส่วนที่เราไว้วางใจพระเจ้าได้ยากลำบากอย่างยิ่ง  คือความไว้วางใจพระเจ้าในความใฝ่ฝันของเรา ที่เราคิดว่าเป็นส่วนสำคัญในอนาคตของเรา แต่กลับแตกสลายละลายจนไม่เป็นรูปร่าง   

แล้วท่านทำอะไรเมื่อความฝันของท่านแตกสลาย?   ท่านพยายามหยิบขึ้นมาทีละชิ้น ๆ เพื่อพยายามเชื่อมต่อให้มันกลับเป็นความฝันอย่างเดิมอีกครั้งหนึ่งหรือเปล่า?   หรือท่านตัดสินใจล้มเลิกความใฝ่ฝันนั้น?   หวังว่าท่านจะไม่ทำเช่นนั้น

ใจที่แตกสลาย

การที่พระเจ้าจะช่วยกอบกู้ปะติดปะต่อชีวิตจิตใจของคน ๆ นั้นที่แตกสลายได้ก็ต่อเมื่อ  คน ๆ นั้นได้ตระหนักชัดถึงสภาพชีวิตที่ล้มเหลว แตกสลายของตน   นำเอาชีวิตที่ตกในอำนาจความบาปผิดเข้ามายังกางเขนของพระคริสต์  ไม่เช่นนั้นเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพระเจ้า  แต่เมื่อเขาตกลงในสภาพชีวิตที่จิตใจแตกสลาย  พระวจนะของพระเจ้าบอกกับเขาว่า  

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง​อยู่​ใกล้​ผู้​ที่​ใจ​แตก​สลาย  และ​ทรง​ช่วย​ผู้​สิ้น​หวัง (สดุดี 34:18)  
เครื่อง​บูชา​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ปรารถ​นา​คือ​จิต​ใจ​ที่​แตก​สลาย  
ใจ​ที่​แตก​สลาย​และ​สำ​นึก​ผิด​นั้น ... พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ดู​ถูก (สดุดี 51:17)  

ดังนั้น   ใครก็ตามที่ฝันสลาย  พระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะไม่ทรงดูถูกเหยียดหยาม   พระองค์ทรงรักเมตตาต่อคนที่ยอมถ่อมจิตใจลง   และทรงยื่นมือไปถึงคนที่ต้องการความช่วยเหลือ  ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์   แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อความใฝ่ฝันในชีวิตของเราสูญสลายลง?

หยิบชิ้นส่วนที่แตกสลายขึ้นมา

เมื่อความฝันของเราแตกสลาย   เราต้องไว้วางใจพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ  และตระหนักรู้ชัดว่า  พระองค์รู้ว่าพระองค์จะทำอย่างไร   เมื่อความใฝ่ฝันหนึ่งแตกสลายลง   นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากที่เราได้ใฝ่ฝัน   ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีสิ่งที่ดีกว่าความใฝ่ฝันเดิมสำหรับเรา   เมื่อความฝันหนึ่งต้องแตกสลายละลายไป   พระองค์ทรงมีสิ่งใหม่สำหรับเรามาแทนที่ ที่ดีและเหมาะสมสำหรับเรา   เราเองไม่สามารถที่จะมองล่วงหน้าเข้าไปยังในอนาคตเฉกเช่นพระเจ้า   ความใฝ่ฝันเดิมที่เราผลักดันในชีวิตที่ต้องล่มสลายไปนั้นอาจจะเป็นความใฝ่ฝันที่อาจจะให้ร้ายแก่เรามากกว่าให้ดีแก่ชีวิตเราในอนาคต   พระองค์ทรงรู้เสมอว่าอะไรคือสิ่งที่ดีเยี่ยมสำหรับชีวิตของเรา   พระองค์ทรงรู้ดียิ่งกว่าที่เรารู้ชีวิตของเรา  

ผมไว้วางใจในพระเจ้า  แม้ในยามที่ชีวิตของผมตกอยู่ท่ามกลางพายุร้าย   เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควบคุมพายุชีวิตนั้น   และพายุนั้นอาจจะทำให้เราได้ไปพบกับชายฝั่งที่ปลอดภัย ที่ที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะลี้ภัยในเวลาที่ชีวิตกำลังถูกคุกคาม 

ถ้าเราไม่พบกับความล้มเหลว เราก็จะไม่รู้ถึงความสำเร็จ  

จงไว้วางใจในพระเจ้า  จงเชื่อฟังพระองค์  และจงวางใจในผลที่เกิดขึ้นจากการทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเรา อย่าลืมว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้นำเราไปสู่อนาคตที่ดีเยี่ยมและเหมาะสมที่สุดสำหรับเรา  

ผมจะไว้วางใจพระเจ้าเท่านั้นผู้ทรงล่วงรู้อนาคต  และผู้ทรงสัญญากับผมว่า...
 ... “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย”  (ฮีบรู 13:5 มตฐ.)
ผมจะไม่ไว้วางใจในตนเองที่ไม่สามารถเห็นอนาคตของตนเอง  

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499