คริสตชน “สามารถ”
ตอบสนองต่อความขัดแย้งหลากหลายทางเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
“ที่คุณอยากจะแต่งงานกับเขาก็เพียงเพื่อคุณจะรีดเอาทุกอย่างที่เขามี เมื่อคุณได้ของเหล่านั้นแล้วคุณก็จะทิ้งเขาไป” นี่คือวาทะเผ็ดร้อนของลูกสะใภ้ที่มีนามว่า
“เจนนี่” (นามสมมติ) ที่พูดจาขัดขวางด้วยการสร้างความเจ็บปวดแก่ว่าที่ภรรยาคนใหม่ของพ่อสามี
ที่ชื่อว่า “ภักดิพร” (นามสมมติ)
ภักดิพร
นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารระเบียงร้านหรู
เมื่อได้ยินการคาดการณ์ตราหน้าของเจนนี่
ที่ผ่าฟาดลงในความรู้สึกของเธอทำให้เกิดความปวดหัวจี๊ดพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน เธอชำเลืองไปรอบๆ ดีที่ยังไม่มีแขกคนอื่นในร้าน ภักดิพรแปลกใจในคำพูดที่ร้อนแรงของเจนนี่ ภายในใจของเธออธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า
เสียงภายในบอกว่า “จงนิ่ง สงบ และเงียบ” ดังนั้น
ภักดิพรจึงไม่พูดอะไรตอบโต้คำกล่าวหาที่รุนแรงของเจนนี่
เจนนี่มองภักดิพรด้วยสายตาที่อยากกินเลือดกินเนื้อ พร้อมกับกล่าวว่า “นี่คุณไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แม้ฉันจะว่าเธอแบบตรงไปตรงมาเธอก็ยังเฉยได้”
ภักดิพร พูดกับตนเองในใจว่า
“ถ้าฉันจะตอบโต้เธอกลับ
แล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นล่ะ?”
ภักดิพรคิดถึงตัวอย่างของพระเยซูคริสต์เมื่อถูกจับในสัปดาห์สุดท้ายในชีวิตของพระองค์ แม้พระองค์จะถูกคนรอบข้างกล่าวคำเย้ยหยัน พูดจาส่อเสียดดูถูก หมิ่นและหยามพระองค์ แต่พระองค์มิได้ตอบโต้ด้วยคำร้อนแรงแต่อย่างไร
(ดู 1
เป-โตร 2:23
)
ถูกของเจนนี่ครับ การที่หลีกเลี่ยงตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนต่อศัตรูคู่ปรปักษ์ เป็นการตอบสนองที่ไม่ธรรมดาครับ เพราะนั่นเป็นการตอบสนอง “เยี่ยงพระคริสต์” ภักดิพร
ต้องอดกลั้นกล้ำกลืนคำพูดเผ็ดร้อนด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อทูลขอ
“พระคุณของพระเจ้า” สำหรับสถานการณ์นี้
ในสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เกิดการสรรเสริญ
ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร
หากเราจะใช้วิธีการแบบ “คมเฉือนคม”
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ยากจะเลี่ยง
ในโลกที่พิกลพิการอย่างทุกวันนี้ เราทุกคนต่างต้องเผชิญกับความขัดแย้ง เกิดความคุกรุ่นระหว่างสามีภรรยา เกิดอาการหนองกลัดในความสัมพันธ์ของครอบครัว เกิดพิษร้ายในความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย และความไม่พอใจที่สะสมเพิ่มพูนจนนำไปถึงจุดเดือดพล่านในที่ทำงาน
ภักดิพร เกิดความรักในตัว ชำนาญ พ่อสามีของเจนนี่ ที่เป็นหม้ายเหมือนกับตน ทั้งสองได้พบคบหากันมาเป็นเวลา 9 เดือนหลังจากที่ภรรยาของชำนาญได้จากโลกนี้ไป แต่เจนนี่ไม่เห็นด้วย!
หลายวันผ่านไปภายหลังที่ภักดิพรถูกกล่าวหาด้วยคำพูดที่ร้อนแรง เธอยังโกรธ และ ร้อนรุ่มจากคำพูดนั้นที่สุมคุกรุ่นในจิตใจของเธอ เธอได้เล่าความรู้สึกโกรธที่เธอมีต่อเจนนี่ให้เพื่อนสนิทของเธอฟัง
เพื่อนคนหนึ่งพูดตรงไปตรงมากับภักดิพรว่า “ฉันรู้สึกว่า
ความสัมพันธ์ของเธอกับคุณชำนาญจะดีได้
ก็ต่อเมื่อเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกสะใภ้ของคุณชำนาญ”
คำพูดดังกล่าวทำให้ภักดิพรต้องครุ่นคิดอย่างมาก
นั่นหมายความว่าการรับมือกับความขัดแย้งนี้จะต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่คิด อีกทั้งเธอเกิดความขัดแย้งในจิตใจ เธอทูลถามพระเจ้าแบบซื่อๆ ว่า “พระเจ้าข้า
จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะรักคนบางคนที่ทำต่อข้าพระองค์อย่างเหยียดหยาม
ดูหมิ่นและชิงชัง?
นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้ทำเช่นนั้นหรือ?”
เพื่อนอีกคนหนึ่งของภักดิพรได้บอกเธอว่า
“ฉันเข้าใจนะว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาสาหัส
เพราะแค่คิดก็เหนื่อยหน่ายใจแล้ว
ฉันคิดว่า เธอคิดถูกนะว่าพระเจ้าประสงค์ให้เธอทำดีกับทุกคน ตอนนี้เธออาจจะรู้สึกว่าเธอไม่สามารถที่จะรักคนบางคนอย่างเช่นเจนนี่ แต่พระเจ้าจะใช้สถานการณ์นี้สร้างความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นถึงคุณค่าในชีวิตของเธอ
เธอจะตระหนักชัดถึงคุณค่าชีวิตของเธอชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่าไปยึดเกาะกับความรู้สึกของตนเองที่เป็นอยู่ในขณะนี้”
ความขัดแย้ง เป็นสิ่งที่เราท่านต่างไม่ชอบ สำหรับภักดิพรถึงขั้นที่ “เกลียด”
ความขัดแย้งเลยทีเดียว
และในหลายต่อหลายครั้งที่เราตอบสนองต่อความขัดแย้งด้วยท่าที และ วิธีการที่แย่มาก และมักมีความคิดว่า เราต้องหลีกลี้หนีจากความขัดแย้ง แต่ความจริงในชีวิตของเรา หลายครั้งยากที่จะเลี่ยงได้
ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง?
เราจะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอย่างไว้วางใจและด้วยทัศนคติ
ด้วยมุมมองชีวิตที่จะให้เกียรติ ยกย่อง และสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไร? ท่านเปาโล ท้าทายเราในเรื่องนี้ว่า...
“อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ใครเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี
ถ้าเป็นได้
เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับเรา
จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” (โรม 12:17-18 ฉบับมาตรฐาน)
มีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องเผชิญหน้าความขัดแย้งแบบซึ่งหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องเผชิญความขัดแย้งที่มีผลกระทบต่อความเป็นความตาย
หรือ ตกในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตของผู้คน
ที่ต้องการการช่วยเหลือ แก้ไข ปกป้องชีวิตผู้คนเหล่านั้น เช่น
การที่ลูกถูกรังแกจากเพื่อนในโรงเรียนเป็นประจำ และดูร้ายแรงขึ้นทุกที หรือการที่เพื่อนของเราถูกทำร้าย เราสามารถกระทำแบบเผชิญหน้าแบบไปตรงมาได้ เช่น
การไปปรึกษากับครูและผู้บริหารโรงเรียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือในกรณีที่สองอาจจำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ตำรวจมาจัดการและรับผิดชอบ
ในบางเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องเผชิญความขัดแย้งรุนแรงแบบซึ่งหน้าตรงไปตรงมา เช่น กรณีที่พระองค์ทรงคว่ำโต๊ะแลกเงิน และกวาดล้างพวกพ่อค้าเครื่องบูชาที่เอารัดเอาเปรียบคนยากจน คนที่มาจากต่างถิ่นแดนไกล ซึ่งเป็นระบบการขูดรีด
เอารัดเอาเปรียบคนเล็กน้อยด้อยอำนาจจากกลุ่มผู้นำศาสนาที่ใช้อำนาจจากตำแหน่งคบคิดกับพ่อค้าขูดรีดเอารัดเอาเปรียบจากประชาชนคนเล็กน้อย
ผู้นำศาสนาใช้พื้นที่พระวิหารสำหรับนมัสการพระเจ้าไปเป็น “ถ้ำของพวกโจร”
(ดู มัทธิว 21:12-13)
พระเยซูคริสต์ทรงเผชิญหน้ากับความขัดแย้งซึ่งหน้าแบบตรงไปตรงมา เมื่อความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องของหลักการความเชื่อศรัทธาที่กระทบต่อสุขภาวะชีวิตของคนยากคนจนคนเจ็บป่วยที่ไม่มีทางช่วย เช่น
กรณีที่พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนเจ็บคนป่วย
คนง่อยคนพิการ คนที่ถูกอำนาจของผีร้ายครอบงำในวันสะบาโต พระเยซูเผชิญหน้าแบบตรงไปตรงมาเพื่อแก้ไขความเชื่อศรัทธาที่ผิดๆ และความเชื่อศรัทธาที่กีดกันหยามเหยียดชีวิตคนยากคนจนคนเล็กน้อย เช่น
ในวันสะบาโตหนึ่ง ที่ธรรมศาลาพระเยซูพบคนมือลีบข้างหนึ่ง พระองค์ถามคนในธรรมศาลานั้นว่า “ในวันสะบาโตควรจะกระทำการดีหรือกระทำการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือควรจะทำลายชีวิต?”
พระองค์ทรงรักษาคนมือลีบคนนั้นให้หายปกติ
การเผชิญหน้าแบบฟันธงสร้างความโกรธแค้นแก่พวกฟาริสีอย่างยิ่ง
พวกเขาออกไปปรึกษากับพวกของเฮโรดที่จะร่วมมือกันหาทางฆ่าพระเยซู (มาระโก 3:1-6
ฉบับมาตรฐาน และดูอีกเรื่องหนึ่งเพิ่มเติม
ลูกา 13:10-17)
ที่พระเยซูทรงเผชิญหน้าความขัดแย้งแบบตรงไปตรงมานี้ก็เพื่อที่จะปกป้องและทรงรักษาชีวิตของคนมือลีบ
และ หญิงที่ป่วยเป็นโรคหลังโกงมา 18 ปี และเป็นการเผชิญหน้ากับหลักการความเชื่อศรัทธาเพื่อความถูกต้อง แต่ในทางตรงกันข้าม
เมื่อพระองค์ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการสงบเงียบ
จงเป็นเหมือนพระคริสต์แม้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง
แล้วถ้าตัวเราเองต้องตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่เจ็บปวด
หรือ ร้อนแรงเราควรจะทำอย่างไร?
และต่อไปนี้เป็นบทเรียนที่เก็บจากประสบการณ์ตรงของบุคคลต่างๆ ที่เผชิญหน้าและผ่านทะลุสถานการณ์ความขัดแย้งในชีวิต
1.
อย่าให้รากแห่งความขมขื่นหยั่งรากในจิตใจของเรา
“จงระวังอย่าให้ใครพลาดไปจากพระคุณของพระเจ้า
และอย่าให้มีรากความขมขื่นงอกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน และทำให้คนเป็นอันมากแปดเปื้อนมลทิน” (ฮีบรู 15:15 อมตธรรม)
ถ้าเราไม่รีบกำจัดหรือถอนรากถอนโคนรากของความขมขื่น
ความขมขื่นจะทำลายทั้งตนเองและคนอื่นรอบข้าง
เราต้องปลดปล่อยความขุ่นเคืองความไม่พออกพอใจให้ออกไปจากจิตใจของเราด้วยการอธิษฐาน การถอนรากถอนโคนรากแห่งความขมขื่นมิได้กระทำเสร็จสิ้นในครั้งเดียว อาจจะต้องกระทำหลายครั้งด้วย
บางครั้งรากของความขมขื่นจะสร้างความท้อแท้ ความเจ็บปวด
หรือความโกรธขึ้นในจิตใจของเรา
เมื่อภักดิพรได้รับการต่อต้าน
ขัดขวางจากคนในครอบครัวของคุณชำนาญ
คุณภักดิพรต้องจัดการกับความรู้สึกในจิตใจของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
สารภาพถึงความโกรธของเธอและทูลขอพระคุณจากพระเจ้า
และที่สำคัญคือภักดิพรอธิษฐานทูลขอพระเจ้าให้รักษาจิตใจของเธอมิให้
“แข็งกระด้าง” ต่อผู้คนที่ทำให้เธอเจ็บปวดในชีวิต
2. สำรวจจิตใจของตนเองก่อนตำหนิข้อผิดพลาดของผู้อื่น
คำตรัสของพระเยซูที่ตรัสกับพวกฟาริสีก็เป็นคำท้าทายสำหรับเรา “คนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้” (มัทธิว 7:5 ฉบับมาตรฐาน)
ก่อนที่จะไปกล่าวถึง หรือ ไปจัดการกับความผิดของคนอื่น ให้เราเริ่มจากการพิจารณาตนเอง ค้นหาจุดบกพร่องหรือความผิดของเราก่อน ภักดิพร กล่าวว่า เธอได้ทูลขอพระเจ้าให้ทรงกระทำการในชีวิตของคนในครอบครัวของคุณชำนาญ แต่เธอพบว่า พระเจ้าทรงเริ่มกระทำการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอก่อน
คือเธอพบสิ่งที่เธอสามารถและจะต้องรับผิดชอบในสถานการณ์ความขัดแย้งนั้น
เธอต้องเปิดชีวิตจิตใจของเธอเพื่อรับการทรงเปลี่ยนแปลงจากพระคริสต์
เพื่อชีวิตของเธอจะเป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น ภักดิพรบอกว่า สิ่งที่ยากแสนยากคือการที่ทูลขออธิษฐานต่อพระเจ้าในการทรงสร้างเธอขึ้นใหม่จากการมีจิตใจขุ่นเคืองใจ
ไม่พอใจต่อคนในครอบครัวของคุณชำนาญ
3. มองความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยมุมมอง “แว่นตา” ของคู่กรณี
คุณภักดิพร
กล่าวจากประสบการณ์ของเธอว่า
ไม่ว่าความเกลียดชัง หรือ ความเป็นปรปักษ์ที่คนในครอบครัวคุณชำนาญมีต่อเธอจะสร้างความเจ็บปวดมากอย่างไรก็ตาม แต่นั่นมิใช่ความขัดแย้งส่วนตัว
(ระหว่างเธอกับเจนนี่)
เพราะเธอมาหวนพิจารณาเห็นว่า
เมื่อครอบครัวของคุณชำนาญต้องประสบกับความสูญเสีย เจ็บปวดเพราะการจากไปของแม่ในครอบครัว เขาได้สูญเสียผู้ที่เป็นคนเชื่อมโยงสัมพันธ์ให้ครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงในวาระอะไรก็ตาม แม่งานที่เชื่อมโยงให้ทุกคนมาร่วมกันได้คือแม่ และพวกเขาได้สูญเสียคนสำคัญคนนี้ แล้วจู่ๆ จะมีคนใหม่มาแทนที่แม่คนเดิมของเขา เมื่อคุณภักดิพรใคร่ครวญถึง “ใจเขาใจเรา”
ในสถานการณ์ดังกล่าว จึงเข้าใจถึงมุมมอง
หรือ ทัศนคติของคนในครอบครัวคุณชำนาญ
คุณภักดิพรบอกว่า
เมื่อตระหนักชัดเช่นนี้จิตใจของเธอก็เปิดออกกว้าง เข้าอกเข้าใจพวกเขามากขึ้น
และเป็นการง่ายยิ่งขึ้นมากที่จะตอบสนองต่อคนในครอบครัวคุณชำนาญด้วยความรักและเมตตาแบบพระคริสต์
4. ค้นให้พบในสิ่งที่ตนเองต้องเปลี่ยนแปลง
คุณภักดิพรเรียนรู้แล้วว่า เธอไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิด
ความรู้สึก และมุมมองในชีวิตของคนอื่นได้
แต่เธอสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมอง ความคิด ความรู้สึกของตนเองให้ถูกต้องได้ เมื่อเข้าใจเช่นนี้เธอเริ่มถามตนเองว่า ฉันจะมีการตอบสนองอย่างรับผิดชอบในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร?
ฉันได้ทุ่มเทเต็มกำลังทั้งสิ้นของฉันเพื่อให้เกิดการคืนดีหรือยัง?
นี่เป็นมาตรการที่จริงจังเข้มงวดของความจริงใจที่ภักดิพรมีต่อตนเอง เธออธิบายว่า
เมื่อเรามองสถานการณ์จากมุมมองของตนเอง
เป็นการง่ายที่ทำให้เราคิดและเชื่อว่า
“เราเป็นฝ่ายถูก” ในสถานการณ์นี้
สิ่งที่เราตอบสนองไปนั้นถูกต้องแล้ว
พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด
แต่เมื่อเราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยสำนึกในความอ่อนแอของตนเอง ทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นความจริงแท้ในตนเอง เราก็จะพบความจริงว่า
แท้จริงแล้วเรามิใช่ฝ่ายถูกเลยในสถานการณ์นี้ ดังนั้น
ต่อพระพักตร์พระเจ้าเราจึงมีโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโตขึ้นจากการทรงเสริมสร้างเราขึ้นใหม่จากพระองค์
ภักดิพร
เริ่มอธิษฐานเผื่อสมาชิกในครอบครัวของคุณชำนาญ
ตอนแรกเธออธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้คนในครอบครัวของคุณชำนาญเปิดโอกาสให้เธอบ้าง และให้พวกเขาชื่นชมในตัวเธอบ้าง
แต่ต่อมาคำอธิษฐานของภักดิพรเปลี่ยนไปเป็นว่า ขอพระเจ้าโปรดเมตตาและประทานพระคุณของพระองค์ทรงช่วยให้เธอตอบสนองต่อทุกสถานการณ์ให้เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
5. ทูลขอพระเจ้าให้การตอบสนองของเราต่อความขัดแย้งสะท้อนถึงพระคุณของพระองค์
ภักดิพร
เล่าต่อไปว่า
เมื่อเธอทูลขอพระเจ้าประทานให้เธอเป็นคนที่สงบสุขุมขณะต้องเผชิญหน้ากับความร้อนแรงของเจนนี่ ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าปรากฏชัดแจ้งแก่เธอ แทนที่เจนนี่จะตอบกลับด้วยความก้าวร้าวรุนแรงอย่างที่เคยเป็นมาก่อน แต่กลับมีช่องว่างโอกาสที่ภักดิพรจะตอบสนองประเด็นคำถามของเจนนี่ด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา
ด้วยความสุภาพ
ซึ่งภักดิพรกล่าวว่า
เธอรู้แน่ชัดเลยว่านี่เป็นการทรงตอบคำอธิษฐานที่เธอทูลขอพระคุณจากพระเจ้า
เมื่อเราทูลขอการทรงนำด้วยความจริงใจจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานแก่เราเสมอ งานของเรา
ความสำเร็จของเราจะตามมาหลังจากที่พระเจ้าทรงนำเรา ประเด็นใหญ่อยู่ที่ว่า เราฟังการทรงนำของพระเจ้า หรือ เรานิ่งเฉย
ละเลย หรือมองข้ามการทรงนำของพระองค์? เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ตอบสนองคำอธิษฐานของเรา เรายอมเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? เราไว้วางใจพระองค์ และ
สนใจในการทรงนำของพระองค์แค่ไหน?
6. แสวงหาจุดเหมือนของเรากับคู่กรณี
เราสามารถแสวงหาจุดเหมือนของเรากับผู้ที่เรามีความขัดแย้งตึงเครียดได้หรือไม่? เรามีระบบคุณค่าอะไรบ้างที่ยึดถือเหมือนกันในชีวิต?
(เช่นเรื่อง ครอบครัว มิตรภาพ สัตว์เลี้ยง
งานอดิเรก)
เจนนี่เป็นคนที่รักเทิดทูนลูกสาวของเธอ ดังนั้น ภักดิพรก็ชื่นชมในลูกสาวของเจนนี่ คุณชำนาญและภักดิพรมีโอกาสไปร่วมงานในโรงเรียนที่ลูกสาวเจนนี่เรียนอยู่หลายครั้ง และลูกสาวของเจนนี่ก็มาหาทั้งคุณชำนาญและภักดิพรด้วย หลานๆ ได้มาช่วยคุณชำนาญในการปลูกดอกไม้ เล่นน้ำในสระว่ายน้ำด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน
ภักดิพรอธิษฐานให้เจนนี่สามารถเห็นถึงความจริงใจที่เธอสนใจลูกสาวของเจนนี่
หลายปีมาแล้ว หลังจากที่ภักดิพรและคุณชำนาญได้แต่งงานกัน
เจนนี่ได้รู้แล้วว่าภักดิพรรักลูกสาวของเธอ ดังนั้น
เมื่อไม่นานมานี้เจนนี่กระทำต่อภักดิพรที่ดีขึ้น แต่ภักดิพรก็รู้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งยังมิได้รับการแก้ไขทั้งหมด เธอเห็นถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์ในเรื่องนี้ และเธอวางใจว่าพระเจ้าจะทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเธอ
และ คนรอบข้างของเธอต่อไปด้วย
7. รักเมตตาและอธิษฐานเผื่อ “ศัตรู” คู่กรณีของเรา
ถึงแม้เจนนี่จะไม่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อภักดิพร แต่ภักดิพรยังตอบสนองต่อเธออย่างดีต่อไป ภักดิพรบอกว่า พระเจ้าตรัสกับเธอให้อธิษฐานเผื่อเจนนี่ต่อไปอีก อธิษฐานเผื่อสถานการณ์ และอธิษฐานต่อพระองค์เพื่อที่ตนจะเติบโตเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ลำบากทุกข์ยากนี้
คำสอนของพระเยซูบนภูเขา ตรัสสอนว่า “แต่เราบอกพวกท่านว่า
จงรักศัตรูของท่าน
และจงอธิษฐานเผื่อบรรดาคนที่ข่มเหงท่าน
เพื่อท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม” (มัทธิว 5:44-45 ฉบับมาตรฐาน)
ภักดิพรบอกว่า
การที่เราเข้าใจถึงความรักเมตตาของพระเจ้าดีขึ้นทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นได้ดีขึ้นด้วย เมื่อเราสามารถมองตนเองว่าเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ใต้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่ต้องการพระคุณของพระเจ้าเหมือนกัน เมื่อนั้น
เราจะสามารถที่จะอธิษฐานเพื่อ “คนๆ นั้น”
บางครั้งเราอาจจะไม่ต้องการที่จะคิดว่า
พระเจ้าทรงรัก “คนๆ นั้น” เท่ากับที่พระองค์ทรงรักเรา แต่พระองค์ทรงรักเขาคนนั้นเท่ากับรักเรา เมื่อรู้ว่า
พระเจ้าทรงชื่นชมในสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
พระองค์ปีติชื่นชมในทุกคนที่ทรงสร้าง
ช่วยให้เราสามารถที่จะอธิษฐานเพื่อศัตรูคู่ปรปักษ์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงยอมตายเพื่อตัวเรา และพระองค์ก็ทรงยอมตายเพื่อคนๆ นั้นด้วย!
พระคุณพระเจ้าในความทุกข์ยากลำบาก
พระเจ้าทรงเรียกให้เราเชื่อฟังพระองค์ ดังนั้น
เราจึงอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยกระทำให้จิตใจของเราถ่อมอ่อนโยนลง และในเวลาเดียวกันก็อธิษฐานเผื่อผู้คนที่เรายังมีความขัดแย้งกันอยู่
และบางครั้งก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเราตั้งใจพยายาม และบางครั้งความเจ็บปวดนี้บาดลงลึกด้วยซ้ำ
ดังนั้น
เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบาก
เราต้องปล้ำสู้กับความโกรธ
จนกว่าเราจะยอมสารภาพและยอมเปิดชีวิตให้พระคุณความรักของพระเจ้าเข้ามาชโลมในชีวิตจิตใจของเรา สิ่งที่เราทำได้คือถ่อมจิตใจลงและอธิษฐาน “ใช่แล้วพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เอง ที่ต้องขอพระองค์ทรงเปลี่ยนจิตใจของข้าพระองค์ใหม่” และด้วยการทรงช่วยของพระเจ้า
เราสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตด้วยพระคุณของพระเจ้าในทุกสถานการณ์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499