สุภาษิต 18:17
ผู้ที่ให้การก่อนดูเหมือนเป็นฝ่ายถูก จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาสอบทานเขา (อมตธรรม)
บ่อยครั้งในองค์กรของเราเกิดกรณีการกล่าวหา การตีตรา
และการตัดสินความผิดที่รุนแรงเกิดขึ้น
ถ้าเราจะนำเอาคำแนะนำจากพระธรรมสุภาษิต 18:17
เข้าไปในกระบวนการพิจารณาความขัดแย้ง
การกล่าวหาเอาผิด
ก่อนที่จะตีตราตัดสินฟันธงเด็ดขาดลงไป
ก็จะช่วยให้เราได้ค้นหาความจริงด้วยจิตใจเมตตา ด้วยใจที่เปิดกว้างโอบอ้อมอารี ด้วยความไม่รีบร้อนด่วนตัดสินลงไป ให้เวลากับการเปิดใจเปิดหูรับฟังความอีกข้างหนึ่ง
หรือมองหามุมมองอีกด้านหนึ่งในเรื่องเดียวกัน แล้วค่อยตัดสิน และต้องตระหนักชัดว่าการตัดสินมักก่อเกิดการตีตรากล่าวหาลงไปทันที
ฟังความจริงรอบด้านในเรื่องเดียวกันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งของผู้บริหาร แท้จริงแล้วสุภาษิตในตอนนี้ต้องการบอกให้คริสตชน โดยเฉพาะผู้บริหารว่า ฟังความรอบด้าน ค้นหาความจริงแวดล้อม เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการด่วนตัดสิน เพราะการตรวจสอบแสวงหาความจริงในเรื่องนั้นๆ ต้องใช้เวลา
การใช้เวลาเป็นการที่เรายอมลดความรีบเร่งในชีวิตของเราประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งการฟังความรอบด้าน
แสวงหาความจริงหลากหลายมุมมอง
ทำให้เราสามารถกรองได้ว่า
อะไรคือข้อมูลกล่าวอ้างที่มีความจริง
อะไรคือการกล่าวอ้างด้วยอคติ
อะไรคือการกล่าวอ้างเพราะต้องการทำให้บางคนต้องล้มหายตายจากองค์กรของเรา
ต้องการเอาชนะไม่ว่าด้วยวิธีการถูกต้องหรือฉ้อฉลเพียงใดก็ตาม การกระทำด้วยจิตใจแบบนี้ย่อมสวนทางขัดขวางต่อเส้นทางชีวิตคริสตชน
และพระประสงค์ของพระเจ้า
ในขวบปีที่ผ่านมา
เราได้มีความคิดเห็นที่ยืนอยู่บนข้อมูลความจริงของเรื่องเหล่านั้นจากข้อมูลความจริงที่กล่าวอ้างจากฝ่ายเดียวด้านเดียว แล้วด่วนตัดสินมากน้อยแค่ไหน? เพื่อนร่วมงานไว้วางใจและหวังพึ่งความถูกต้องยุติธรรมจากเราในฐานะเพื่อนหรือผู้บริหารองค์กร เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งกลุ่มหนึ่งฟ้องหรือกล่าวหาความผิดของเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งให้เราฟัง
ญาติคนหนึ่งนำเรื่องของอีกคนหนึ่งในครอบครัวมาเล่าให้เราฟัง เอาเรื่องของอีกคนหนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์และกดดันให้เราตัดสิน
จัดการ
หรือการที่เพื่อนคนหนึ่งขอให้เราตัดสินเขากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เราตอบสนองอย่างไรต่อเพื่อนร่วมงาน และ
มิตรสหายเหล่านี้ของเรา?
เราฟังความข้างหนึ่งจากเขาแน่
แต่เราเองได้ทำอะไรมากกว่านั้นหรือไม่?
เราได้แสวงหาความจริงด้วยใจเมตตา หรือ เราพยายามหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ด่วนตัดสินให้เรื่องมันจบๆ
ไปหรือไม่?
เดี๋ยวก่อนครับ
การแสวงหาความจริงเพื่อการเสริมสร้างความถูกต้องยุติธรรม
บนรากฐานของสัจจะและเมตตาเป็นพระลักษณะของพระเจ้าลักษณะหนึ่ง และ
เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ประการหนึ่ง
และพระองค์ต้องการให้สาวกของพระองค์
ผู้บริหาร และ คนทำงานในองค์กรคริสตชนมีคุณลักษณะนี้ และ
ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ประการนี้ของพระเจ้า
การที่เราแสวงหาสัจจะความจริงอีกด้านหนึ่งในกรณีนั้นๆ
มิใช่เพราะเราไม่เชื่อคนที่มาบอกมาเล่ามาฟ้องและมากล่าวหาอีกคนหนึ่งให้เราฟัง
แต่เพราะเราเชื่อและเข้าใจว่าในแต่ละเรื่องแต่ละกรณีที่เกิดขึ้นนั้นมีเรื่องราวข้อมูลมากมายและซับซ้อนเกินกว่าคนๆ
เดียวคนกลุ่มเดียวสามารถมองเห็นและรับรู้ได้
อีกทั้งมีความจำกัด หรือ
ถูกจำกัดถึงขนาดและความสมบูรณ์ของเนื้อหาข้อมูลที่เขานำมาสื่อสารแก่เรา เป็นหน้าที่ และ
พระฉายาของพระเจ้าในตัวเราด้านการแสวงหาสัจจะและกรุณาที่จะนำให้เกิดความยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในกรณีที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนต้องไม่ละเลยเรื่องนี้ และยิ่งถ้าเป็นผู้นำองค์กรคริสตชนจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้และรับผิดชอบต่อพระเจ้าที่ทรงมอบหมายให้ตนเป็นผู้นำผู้บริหาร
เราท่านคงต้องเปิดใจให้มีพื้นที่รับฟังและพิจารณาก่อนว่า
ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน
หรือมีการสื่อสารที่ผิดพลาดเบี่ยงเฉจากความเป็นจริง หรือถ้าเป็นการกระทำความผิดพลาดจริงเราต้องแสวงหาสัจจะความจริงด้วยใจเมตตากรุณาว่าอะไรที่เป็นสาเหตุชักจูงให้เขากระทำผิดเช่นนั้น? การที่เราเปิดใจ เปิดหู และ
เปิดโอกาสจะช่วยให้เราสามารถที่จะได้ยินได้ฟัง
ได้สัมผัส
และพบแนวทางใหม่ที่พระเจ้าจะทรงตรัสและชี้นำเราในเรื่องนี้ได้ ช่วยให้เรามองเห็นและเข้าใจเรื่องกรณีนี้ชัดเจน
รอบด้าน และลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น และนี่คือสิ่งดีที่คริสตชนไม่ด่วนตัดสิน ไม่ด่วนปิดหู ปิดตา
ปิดใจจากการทรงชี้นำของพระเจ้า
ในปีใหม่นี้
อย่าด่วนตัดสิน ตีตรา หรือ ฟันธงในเรื่องใดหรือคนใด แต่ก็ไม่ใช่นิ่งเฉยไม่ยุ่งไม่เกี่ยวทำตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง
แต่ให้เราหยุดความเร่งรีบของชีวิตของเรื่องนั้นลง ใช้เวลาใกล้ชิดพระเจ้า ขอการทรงชี้แนะและทรงนำจากพระเจ้า
ทูลขอพระปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้าในเวลาที่เราลงไปค้นหาสัจจะความจริงและความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องนั้น
ด้วยจิตใจที่ทุ่มเทต้องการค้นพบความจริงและในเวลาเดียวกันต้องการเรียนรู้ว่า
พระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น
ให้เราพร้อมที่จะรอคอยเวลาของพระเจ้า
เพื่อเราจะกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
มนุษย์เอ๋ย
พระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านแล้วว่าอะไรดี
และอะไรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จากท่าน
คือจงประพฤติอย่างเที่ยงธรรม รักความเมตตากรุณา
และดำเนิน(ชีวิต)อย่างถ่อมใจไปกับพระเจ้าของท่าน
(มีคาห์ 6:8 อมตธรรม)
และบัดนี้อิสราเอลเอ๋ย
พระยาเวห์พระเจ้าของท่านไม่ได้ทรงประสงค์สิ่งอื่นใด
นอกเสียจากให้ท่านยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจ
(เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น