25 มกราคม 2556

มองอีกด้านหนึ่งของเรื่องเดียวกัน


สุภาษิต 18:17
ผู้ที่ให้การก่อนดูเหมือนเป็นฝ่ายถูก   จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาสอบทานเขา   (อมตธรรม)

บ่อยครั้งในองค์กรของเราเกิดกรณีการกล่าวหา  การตีตรา  และการตัดสินความผิดที่รุนแรงเกิดขึ้น   ถ้าเราจะนำเอาคำแนะนำจากพระธรรมสุภาษิต 18:17 เข้าไปในกระบวนการพิจารณาความขัดแย้ง  การกล่าวหาเอาผิด   ก่อนที่จะตีตราตัดสินฟันธงเด็ดขาดลงไป   ก็จะช่วยให้เราได้ค้นหาความจริงด้วยจิตใจเมตตา   ด้วยใจที่เปิดกว้างโอบอ้อมอารี   ด้วยความไม่รีบร้อนด่วนตัดสินลงไป   ให้เวลากับการเปิดใจเปิดหูรับฟังความอีกข้างหนึ่ง  หรือมองหามุมมองอีกด้านหนึ่งในเรื่องเดียวกัน   แล้วค่อยตัดสิน  และต้องตระหนักชัดว่าการตัดสินมักก่อเกิดการตีตรากล่าวหาลงไปทันที

ฟังความจริงรอบด้านในเรื่องเดียวกันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งของผู้บริหาร   แท้จริงแล้วสุภาษิตในตอนนี้ต้องการบอกให้คริสตชน  โดยเฉพาะผู้บริหารว่า ฟังความรอบด้าน  ค้นหาความจริงแวดล้อม   เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการด่วนตัดสิน   เพราะการตรวจสอบแสวงหาความจริงในเรื่องนั้นๆ ต้องใช้เวลา   การใช้เวลาเป็นการที่เรายอมลดความรีบเร่งในชีวิตของเราประการหนึ่ง   อีกประการหนึ่งการฟังความรอบด้าน แสวงหาความจริงหลากหลายมุมมอง  ทำให้เราสามารถกรองได้ว่า  อะไรคือข้อมูลกล่าวอ้างที่มีความจริง  อะไรคือการกล่าวอ้างด้วยอคติ  อะไรคือการกล่าวอ้างเพราะต้องการทำให้บางคนต้องล้มหายตายจากองค์กรของเรา   ต้องการเอาชนะไม่ว่าด้วยวิธีการถูกต้องหรือฉ้อฉลเพียงใดก็ตาม   การกระทำด้วยจิตใจแบบนี้ย่อมสวนทางขัดขวางต่อเส้นทางชีวิตคริสตชน และพระประสงค์ของพระเจ้า

ในขวบปีที่ผ่านมา   เราได้มีความคิดเห็นที่ยืนอยู่บนข้อมูลความจริงของเรื่องเหล่านั้นจากข้อมูลความจริงที่กล่าวอ้างจากฝ่ายเดียวด้านเดียว  แล้วด่วนตัดสินมากน้อยแค่ไหน?   เพื่อนร่วมงานไว้วางใจและหวังพึ่งความถูกต้องยุติธรรมจากเราในฐานะเพื่อนหรือผู้บริหารองค์กร   เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งกลุ่มหนึ่งฟ้องหรือกล่าวหาความผิดของเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งให้เราฟัง   ญาติคนหนึ่งนำเรื่องของอีกคนหนึ่งในครอบครัวมาเล่าให้เราฟัง  เอาเรื่องของอีกคนหนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์และกดดันให้เราตัดสิน จัดการ   หรือการที่เพื่อนคนหนึ่งขอให้เราตัดสินเขากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง   เราตอบสนองอย่างไรต่อเพื่อนร่วมงาน และ มิตรสหายเหล่านี้ของเรา?   เราฟังความข้างหนึ่งจากเขาแน่   แต่เราเองได้ทำอะไรมากกว่านั้นหรือไม่?   เราได้แสวงหาความจริงด้วยใจเมตตา หรือ เราพยายามหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ด่วนตัดสินให้เรื่องมันจบๆ ไปหรือไม่?

เดี๋ยวก่อนครับ  การแสวงหาความจริงเพื่อการเสริมสร้างความถูกต้องยุติธรรม   บนรากฐานของสัจจะและเมตตาเป็นพระลักษณะของพระเจ้าลักษณะหนึ่ง และ เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ประการหนึ่ง    และพระองค์ต้องการให้สาวกของพระองค์  ผู้บริหาร และ คนทำงานในองค์กรคริสตชนมีคุณลักษณะนี้ และ ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ประการนี้ของพระเจ้า

การที่เราแสวงหาสัจจะความจริงอีกด้านหนึ่งในกรณีนั้นๆ  มิใช่เพราะเราไม่เชื่อคนที่มาบอกมาเล่ามาฟ้องและมากล่าวหาอีกคนหนึ่งให้เราฟัง   แต่เพราะเราเชื่อและเข้าใจว่าในแต่ละเรื่องแต่ละกรณีที่เกิดขึ้นนั้นมีเรื่องราวข้อมูลมากมายและซับซ้อนเกินกว่าคนๆ เดียวคนกลุ่มเดียวสามารถมองเห็นและรับรู้ได้   อีกทั้งมีความจำกัด หรือ ถูกจำกัดถึงขนาดและความสมบูรณ์ของเนื้อหาข้อมูลที่เขานำมาสื่อสารแก่เรา   เป็นหน้าที่ และ พระฉายาของพระเจ้าในตัวเราด้านการแสวงหาสัจจะและกรุณาที่จะนำให้เกิดความยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในกรณีที่เกิดขึ้น   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตชนต้องไม่ละเลยเรื่องนี้     และยิ่งถ้าเป็นผู้นำองค์กรคริสตชนจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้และรับผิดชอบต่อพระเจ้าที่ทรงมอบหมายให้ตนเป็นผู้นำผู้บริหาร

เราท่านคงต้องเปิดใจให้มีพื้นที่รับฟังและพิจารณาก่อนว่า   ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน  หรือมีการสื่อสารที่ผิดพลาดเบี่ยงเฉจากความเป็นจริง   หรือถ้าเป็นการกระทำความผิดพลาดจริงเราต้องแสวงหาสัจจะความจริงด้วยใจเมตตากรุณาว่าอะไรที่เป็นสาเหตุชักจูงให้เขากระทำผิดเช่นนั้น?   การที่เราเปิดใจ เปิดหู และ เปิดโอกาสจะช่วยให้เราสามารถที่จะได้ยินได้ฟัง  ได้สัมผัส และพบแนวทางใหม่ที่พระเจ้าจะทรงตรัสและชี้นำเราในเรื่องนี้ได้   ช่วยให้เรามองเห็นและเข้าใจเรื่องกรณีนี้ชัดเจน รอบด้าน  และลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น   และนี่คือสิ่งดีที่คริสตชนไม่ด่วนตัดสิน   ไม่ด่วนปิดหู ปิดตา ปิดใจจากการทรงชี้นำของพระเจ้า

ในปีใหม่นี้   อย่าด่วนตัดสิน ตีตรา หรือ ฟันธงในเรื่องใดหรือคนใด    แต่ก็ไม่ใช่นิ่งเฉยไม่ยุ่งไม่เกี่ยวทำตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง    แต่ให้เราหยุดความเร่งรีบของชีวิตของเรื่องนั้นลง   ใช้เวลาใกล้ชิดพระเจ้า   ขอการทรงชี้แนะและทรงนำจากพระเจ้า   ทูลขอพระปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้าในเวลาที่เราลงไปค้นหาสัจจะความจริงและความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องนั้น   ด้วยจิตใจที่ทุ่มเทต้องการค้นพบความจริงและในเวลาเดียวกันต้องการเรียนรู้ว่า พระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น   ให้เราพร้อมที่จะรอคอยเวลาของพระเจ้า   เพื่อเราจะกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

มนุษย์เอ๋ย  พระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านแล้วว่าอะไรดี
และอะไรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์จากท่าน
คือจงประพฤติอย่างเที่ยงธรรม  รักความเมตตากรุณา
และดำเนิน(ชีวิต)อย่างถ่อมใจไปกับพระเจ้าของท่าน
(มีคาห์ 6:8 อมตธรรม)

และบัดนี้อิสราเอลเอ๋ย
พระยาเวห์พระเจ้าของท่านไม่ได้ทรงประสงค์สิ่งอื่นใด
นอกเสียจากให้ท่านยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจ
(เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น