สิ่งต่างๆ ที่เราใช้ในการนมัสการพระเจ้าก็วนเวียนเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ตามบริบทและวัฒนธรรม เช่น เพลงที่ร้อง
เครื่องดนตรีที่ใช้
ระเบียบนมัสการที่มีใช้ในแต่ละคริสตจักร
แต่สิ่งหนึ่งในการนมัสการที่ดูจะไม่เปลี่ยนไปแค่ไหนคือ การเทศนา สิ่งที่พบเกี่ยวกับการเทศนามักมีการวิพากษ์เรียกร้องจากผู้ฟังคือ ขออาจารย์เทศนาภาษามนุษย์ มิใช่เทศนาภาษาพระคัมภีร์!
นั่นเป็นการแสดงความจริงใจและความต้องการลึกๆ ของผู้ฟังเทศน์ เขาไม่ต้องการมาฟังเทศน์เป็นพิธีเท่านั้น เขากำลังแสวงหา แสวงหาคำตอบต่อโจทย์ที่เป็นประเด็นในชีวิตที่เขากำลังประสบ เขาต้องการคำตอบ ต้องการแนวทาง
ต้องการทำตามคำเทศนาครับ
แต่ส่วนใหญ่ก็มาติดอยู่กับว่าแล้วจะนำไปทำตามในชีวิตจริงอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร?
สิบประเด็นต่อไปนี้เขียนจากการรวบรวมข้อมูล
ความคิดเห็นที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้ฟังเทศนา และ
การที่ได้อ่านข้อเขียนและบทความ (เช่นของ Bob Hostetler) เกี่ยวกับความกระหายหาที่จะได้ลิ้มรสสารอาหารที่เป็นประโยชน์ให้กำลังสำหรับชีวิตจิตวิญญาณของตน ว่าผู้ฟังเทศน์ต้องการอะไรจากการเทศนาแต่ละครั้ง
10. คว้าความสนใจของฉันไว้ทันทีที่คุณเริ่มอ้าปากเทศน์
นักเทศน์ในอดีตรู้ว่าจะเชื่อมต่อสื่อสารกับผู้ฟังอย่างรวดเร็วอย่างไร แต่นักเทศน์ในสมัยใหม่ปัจจุบันนี้หลายคน
มักเริ่มต้นดึงความสนใจผู้ฟังด้วยประโยคในลักษณะที่ว่า... “เช้าวันนี้...ให้เราเปิดพระธรรมฮาบากุก...” หรืออะไรทำนองนี้ เป็นนักเทศน์มืออาชีพที่น่าเบื่อหน่ายครับ มาดนักวิชาการที่เราไม่ควรใช้ในปัจจุบัน!
หรือเขาเลิกใช้กันแล้ว
ให้เราคิดถึง 30 วินาทีแรกของภาพยนตร์ หรือ
วีดีทัศน์สมัยใหม่
เป็นการนำเสนอที่จะคว้าความสนใจของผู้ชมผู้ฟังให้อยู่หมัดด้วยวิธีต่างๆ จะด้วยคำถาม
เรื่องสั้น คลิป ดนตรี...ฯลฯ
ที่มีพลังดึงดูดความสนใจของผู้ฟังแบบมีพลังแรงที่ผู้ฟังไม่สนทางเลือกอื่นใด นอกจากสนใจเรื่องราวที่ผู้เทศน์จะเทศน์ต่อไป
9. สอนฉันบางเรื่องที่ฉันยังไม่รู้
นักเทศน์ต้องถามตนเองก่อนเทศน์ในบทเทศน์ที่เตรียมแล้วว่า “ถ้าฉันเป็นผู้ฟังเทศน์วันนี้ จุดไหนประเด็นใดในคำเทศนานี้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วต้องรีบจดไว้ในทันที เพื่อฉันจะไม่ลืม?” ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีเลย” ขอให้กำลังใจว่า ขอให้ท่านเริ่มเตรียมเทศน์ใหม่ครับ
ผู้ฟังเทศนาแต่ละคนต่างมีความจำเป็นและต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่ใช่ “ธนาคารรับฝากคำเทศน์”
แต่เขาต้องการค้นพบบางสิ่งบางอย่างใหม่ในชีวิต ความรู้ใหม่
ความคิดใหม่ มุมมองใหม่ ทางออกใหม่สำหรับชีวิตของเขาและผู้คนที่เขาเกี่ยวข้อง
8. บอกฉันถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการพูด
นักเทศน์พึงตระหนักชัดว่า ผู้ที่มาฟังเทศน์ในวันนี้เขาสนใจและแสวงหาว่าพระเจ้ากำลังตรัสอะไรกับเขาในเรื่องนั้นๆ มากกว่าท่านคิดอย่างไร หรือ ท่านพูดอะไร หรือ
มาบอกว่ามีคนดังๆ พูดว่าอะไรในเรื่องนั้น... การเทศนามุ่งเป้าหลักไปยังคริสตชนที่กำลังแสวงหา
ให้เขามีหลักการความเชื่อศรัทธาและการดำเนินชีวิตที่หยั่งรากลงในพระวจนะของพระเจ้า และสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้คือการที่จะกระทำตามพระวจนะ ดังนั้น นักเทศน์จะต้องมีชีวิตดำเนินชีวิตตามที่ตนเทศน์ด้วย
7. อย่าทำให้ฉันต้องรู้สึกว่าฉันมันโง่
เพราะฉันไม่รู้พระคัมภีร์ตอนนั้นตอนนี้
จากงานวิจัยในคริสตจักรพบว่า ยิ่งผู้ที่เชื่อพระเจ้านานแค่ไหน จะอ่านพระคัมภีร์น้อยลงแค่นั้น อยากจะบอกว่าคริสตชนในปัจจุบันนี้เปิดอ่านพระคัมภีร์น้อยลง ยิ่งในสมัยนี้เมื่อคริสตชนมาโบสถ์นอกจากจะไม่มีพระคัมภีร์ติดมือจากที่บ้านแล้ว
เมื่อมาถึงหน้าโบสถ์ที่เขาแจกสูจิบัตรนมัสการ เพลง
พระคัมภีร์ ผู้คนมักเลือกเอาแต่สูจิบัตร แต่ไม่เอาพระคัมภีร์
เพราะเดี๋ยวอาจารย์เขาก็จะฉายบนจอโปรเจ็คเตอร์ อ่านจากบนจอก็ได้ และสิ่งที่พบมากในเวลานี้ก็คือ ถ้าผู้เทศน์ให้ผู้ฟังเปิดพระธรรมฮักกาย หรือ
รูธ ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถเปิดพบใน 2-3 นาที แต่ในฐานะนักเทศน์พึงตระหนักชัดว่า ในเวลาช่วงสั้นๆ ของการเทศนานี้
เราพุ่งเป้าหมายไปที่พระวจนะที่ตรัสกับผู้ฟัง
ไม่ใช่แย่งเวลาเทศนาไปสอนวิธีเปิดพระคัมภีร์ ด้วยเหตุนี้ หลายคริสตจักรผู้เทศน์จึงใช้โปรเจ็คเตอร์ฉายข้อพระคัมภีร์ที่ใช้เทศนา เพื่อผู้ฟังจะได้เห็น ได้อ่านด้วยตนเอง
แต่ในเวลาเดียวกันก็พึงระวังอีกเช่นกันว่า
ถ้าฉายข้อพระคัมภีร์บนจอโปรเจ็คเตอร์เป็นประจำ โดยไม่มีเวลาอื่นที่จะพัฒนาสมาชิกให้มีความคุ้นชินในการเปิดพระคัมภีร์ จะทำให้ศักยภาพในการเปิดอ่านพระคัมภีร์ของผู้ฟังลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ ดังนั้น คริสตจักรก็ควรมีโอกาสและวิธีที่เหมาะสมในการพัฒนาศักยภาพในด้านนี้ของสมาชิกด้วย
ในคริสตจักรที่ไม่มีโปรเจ็คเตอร์
ผู้เทศนาอาจจะช่วยให้ผู้ฟังเทศน์สามารถเปิดข้อพระคัมภีร์ได้ทัน และ
ได้อ่านไปพร้อมกับคนอื่น
ด้วยวิธีการง่ายๆ
สมมติว่าคริสตจักรนี้ใช้พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน ผู้เทศน์กล่าวนำว่า “พระธรรม ฮาบากุก
เป็นพระธรรมที่อยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เล่มที่ 35
ซึ่งเราจะพบพระธรรมฮาบากุกในฉบับมาตรฐานเริ่มต้นในหน้า 1239...”
นักเทศน์ต้องระมัดระวังไม่ใช้การเปิดพระคัมภีร์ไม่ทัน
หรือ เปิดไม่ได้ของสมาชิกบางท่าน
สร้างความรู้สึกอับอายต่อหน้าผู้คน
หรือความรู้สึกว่าตนเองด้อยในจิตใจของเขา
6. ขอรู้จักคุณหน่อยได้ไหม...ว่าคุณเป็นใคร?
ผู้ฟังเทศน์ก็ต้องการรู้ว่าเขากำลังฟังใครเทศน์
แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เทศน์เล่าประวัติของตนเสียยืดยาว
ต้องไม่ลืมว่าเวลาเทศนาไม่ใช่เวลาเล่าอวดเรื่องตนเอง แต่ขอให้ใช้วิธีแนะนำที่สั้นๆ เพื่อสื่อสัมพันธ์คุ้นชินกับผู้ฟัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเหตุการณ์ชีวิตที่สอดคล้องกับเรื่องในการเทศน์ครั้งนั้น
ทำให้รู้ถึงเบื้องหลังและประสบการณ์ชีวิตของผู้เทศน์
แต่อย่าเริ่มคำเทศนาด้วยการแนะนำตนเองนะครับ...น่าเบื่อหน่าย!
5. ทำให้ฉันได้หัวเราะบ้าง
ความจริงก็คือว่า
ไม่ใช่นักเทศน์ทุกคนที่จะสรรหาและเล่าเรื่องตลกสอดเข้าในคำเทศน์อย่างมีประสิทธิภาพได้ และต้องระมัดระวังมากในเรื่องนี้ เพราะเคยมีอาจารย์สอนในสถาบันคริสต์ศาสนศาสตร์ศึกษาที่เทศนามุ่งเน้นแต่เรื่องตลกโปกฮา
มากกว่าคำตรัสของพระเจ้า นักเทศน์ที่สร้างความบันเทิง มัน
สะใจ และที่แย่กว่านั้นพบว่าเคยมีผู้ใหญ่(ตำแหน่ง)ในคริสตจักรบางท่านใช้เรื่องตลกสองง่ามสองแง่บนธรรมมาสน์ด้วย
การใช้เรื่องตลกสอดเข้าในคำเทศนามิได้มีจุดประสงค์เพื่อผู้ฟังจะได้หัวเราะเท่านั้น มิใช่ให้ผู้ฟังตื่นจากหลับเมื่อฟังเทศน์ หรือมิใช่เพื่อให้ผู้ฟังนิยมชมชอบผู้เทศน์ เพราะเทศนาได้ตลกดี!
(ไม่ใช่นะครับ...)
การสอดเรื่องตลกเข้าในคำเทศนาเพื่อที่จะช่วยให้ผู้ฟังได้มองเห็นสัจจะความจริงเรื่องนั้นๆ
ในชีวิตของผู้ฟังได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยสะท้อนผ่านเรื่องตลก ผู้เทศน์อาจจะใช้เรื่องราว และ ประสบการณ์ตลกในชีวิตของตน เป็นเรื่องตลกที่สอดเข้าในคำเทศน์จะน่าเชื่อถือ
และ ปลอดภัย
4.
แสดงให้ฉันเห็นถึงความเข้าใจของคุณว่า ฉันจะรับมือ จัดการ และเอาทะลุเรื่องนั้นอย่างไร
สิ่งที่สำคัญอย่างมาก และคงเป็นภารกิจแรกๆ ของผู้เทศน์คือ
ต้องสามารถแยกแยะและรู้จักผู้ฟังเทศน์ของตนให้ชัดเจนก่อน และผู้ฟังเทศน์ก็ต้องการรู้และมั่นใจว่า
ผู้เทศน์รู้ถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลม เสี่ยง บาดเจ็บ ตีบตันในชีวิต ความฉีกขาดในความสัมพันธ์ ครอบครัวแตกสลาย การสูญเสียในชีวิต มิใช่เทศนาแต่เรื่องนามธรรมบนหอคอย
หอระฆังโบสถ์! ที่คนไม่รู้เรื่อง และยิ่งกว่านั้นเป็นคำเทศน์ที่ผู้ฟังไม่สนใจ นักเทศน์ต้องรู้ว่าจะนำเสนอคำเทศนาอย่างไร ที่พระวจนะของพระเจ้า และ
พระกิตติคุณของพระคริสต์แตะ สัมผัส เยียวยาชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ข้างต้น มีตัวอย่างชีวิตจริงไหม มีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง เมื่อฉันออกจากโบสถ์นี้ไปแล้วจะต้องทำตามขั้นตอนอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรฉันจะมั่นใจได้ว่า ฉันจะรับมือ จัดการ และเอาทะลุอุปสรรคความทุกข์ยากของฉันเหล่านั้น? (บอกฉันหน่อยได้ไหม?)
อย่าลืมนะครับว่า ผู้ฟังเทศน์แท้จริงกำลังแสวงหา และนักเทศน์จะช่วยให้ฉันได้แสวงหาพบทางออกในชีวิตตอนนี้ได้ไหมครับ?
3. สัมผัสถึงอารมณ์ของฉันบ้าง
พูดอย่างเปิดใจครับ
ผู้ฟังเทศน์เป็นผู้แสวงหาที่ต้องการได้รับแรงบันดาลใจในชีวิตที่เป็นอยู่ครับ
ชีวิตที่เป็นเหมือนสายไฟที่มองหาปลั๊กเสียบที่จะเสียบเข้าไปเพื่อรับกระแสไฟฟ้า ให้เกิดแสงสว่าง เกิดแรงพลังในชีวิตครับ
ผู้ฟังเทศน์แสวงหาแนวทางการจัดการในชีวิตของเขา
พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเทศน์จะช่วยเรามิใช่ในการคิดเป็นเท่านั้นครับ
และให้รู้จักที่จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดในตนเองด้วยครับ คำเทศน์ใดๆ ที่ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อทั้งความนึกคิดและความรู้สึก
ผมคิดว่าการเทศนาครั้งนั้นประสบความล้มเหลวและทำให้ผู้ฟังเทศน์หมดหวังในการฟังเทศน์ครับ
2.
คำเทศน์ตอบโจทย์ชีวิตและความจำเป็นต้องการของฉันหรือไม่
ทุกคนที่มานมัสการพระเจ้าและฟังเทศนาต่างพกเอาโจทย์
ปัญหา ความจำเป็นต้องการในชีวิตมาด้วย
สิ่งเหล่านี้วนเวียน ย้ำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ในห้วงความคิดและความรู้สึกของผู้ฟังเทศน์
และกินพื้นที่มากมายในความคิดจิตใจของเขา ดังนั้น
เมื่อนักเทศน์นำเสนอประเด็นที่เทศน์ในวันนั้น เราไม่สามารถรู้และมั่นใจว่า ผู้ฟังเทศน์แต่ละคนจะสนใจในประเด็นที่นำเสนอเทศน์หรือไม่ แค่ไหน
อย่างไร
คำเทศน์ตอบโจทย์ประเด็นชีวิตที่เขาประสบพบในเวลานั้นหรือไม่? พระกิตติคุณมีคำตอบอะไรกับภาวะ
การตกงานของฉัน?
คำเทศน์มีคำตอบอย่างไรกับลูกสาวที่หนีไปกับแฟน?
แล้วฉันจะทำอย่างไรกับบ้านที่กำลังจะถูกยึด? ฉันจะจัดการอย่างไรกับอ้ายเจ้านายที่โง่บัดซบ?
หลังการนมัสการจะพาครอบครัวไปกินข้าวที่ไหน?
ฉันจะโยกเงินก้อนโตของฉันไปลงทุนในโปรแกรมไหนที่จะได้ผลตอบแทนสูงๆ? ฯลฯ
เมื่อคำเทศน์ของคุณ
ไม่มีคำตอบสำหรับประเด็นชีวิตข้างต้น
ฉันจะฟังเทศน์ไปทำไม?
และฉันคงต้องตัดสินใจว่า ยังจะจมจ่อมในคริสตจักรนี้ต่อไปหรือไม่?
ประการสุดท้าย ที่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งสำหรับผู้ฟังเทศน์ที่เป็นคริสตชน
และ กำลังแสวงหาในชีวิต
1. บอกฉันชัดๆ ว่า แล้วฉันจะประยุกต์สิ่งที่คุณเทศน์ไปใช้ในชีวิตวันนี้ และ
อาทิตย์นี้อย่างไร?
เมื่อนักเทศน์นำเสนอพระวจนะของพระเจ้า
และ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แล้ว
ดึงดูดความสนใจผู้ฟัง
และผู้ฟังก็สนใจที่จะทำตามพระวจนะและพระกิตติคุณที่พระเจ้าตรัสในคำเทศนาในวันนี้
และดูเหมือนว่าพระวจนะนี้มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปปฏิบัติในวันนี้ อาทิตย์นี้แต่ยังไม่ชัดเจน และที่สำคัญที่จะบอกตรงๆ ว่ายังไม่มั่นใจ
อยากบอกนักเทศน์ และ
ศิษยาภิบาลว่า
เราต้องการโอกาสที่จะปรึกษาส่วนตัวกับอาจารย์ มีเวลาอธิษฐานเสริมกำลังใจและความมั่นใจจากอาจารย์ เราต้องการมีโอกาสส่วนตัวที่จะฟังอาจารย์ หรือ
นักเทศน์ช่วยแนะนำถึงแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามบริบทและสถานการณ์จริงในชีวิตของเรา และ
เมื่อนำแนวทางนั้นไปปฏิบัติจริงในชีวิตและการทำงานเราต้องการคนที่ติดตามเราและที่เราสามารถปรึกษาได้
และเราต้องการคนที่จะช่วยถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตที่ทำตามพระวจนะ เพื่อเราจะได้เรียนรู้ และรับบทเรียนใหม่ๆ จากประสบการณ์ และมีความมั่นใจและมั่นคงในความเชื่อศรัทธายิ่งขึ้น พูดง่ายๆ ครับ เมื่อเราฟังเทศน์ และ
ตัดสินใจทำตามพระวจนะแล้ว เราต้องการอภิบาลบ่มเพาะฟูมฟักชีวิตคริสตชนของเราให้เติบโต
แข็งแรง และเกิดผลเยี่ยงพระคริสต์ ครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499