25 กุมภาพันธ์ 2553

โอกาสอันทรงคุณค่าในวันนี้

เวลาที่ท่านเข้ามาใกล้ชิดติดสนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้
เป็นโอกาสที่ทรงคุณค่าในชีวิต
เป็นโอกาสที่ท่านต้องตัดสินใจเลือกเอง
เป็นโอกาสที่ท่านมิควรพลาดหรือขาดไปแม้สักวันเดียว

โอกาสเช่นนี้สำคัญและมีคุณค่า...
มิใช่เพราะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงสิ่งต่างๆ แก่ท่าน
มิใช่เพราะท่านต้องการให้พระองค์ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อท่าน
แต่เพราะเป็นโอกาสชีวิตของท่านที่ได้เข้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์

เป็นโอกาสที่ท่านจะได้สัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระองค์
เป็นโอกาสที่ความเปราะบางและความอ่อนแอในชีวิตของท่าน
ได้ติดสนิท ใกล้ชิด สัมผัสกับพระกำลังและ
ความเข้มแข็งอันหาความจำกัดมิได้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พระกำลังและความเข้มแข็งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พร้อมแล้วที่จะทรงเคลื่อนตัวเข้าสู่ชีวิตของท่าน
พร้อมแล้วที่จะทรงเคลื่อนผ่านชีวิตของท่านไปสู่คนอื่นๆ
พร้อมแล้วที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานพระพรเหลือล้นและอุดม
ได้สัมผัสสัมพันธ์กับชีวิตของท่าน
นี่คือโอกาสอันทรงคุณค่าสำหรับชีวิตของท่านในวันนี้

บ่อยครั้งใช่ไหมที่ท่านวุ่นวาย สับสน วิ่งวนซ้ำซากเหมือน “หนูติดจั่น”
ท่านมักคิดย้อนไปซ้ำมาเมื่อเผชิญกับวิกฤติชีวิตว่า
ท่านจะต้อง “ทำ” อะไร/อย่างไรดี

มีเพียงสิ่งเดียวที่ท่านต้อง “ทำ” เมื่อเผชิญกับวิกฤติ
จงให้ชีวิตของท่านเกาะชิดผูกติดกับพระกำลังและพระปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จากนั้น จงนิ่งและรู้เถิดว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของท่าน
พระองค์ทรงจัดการให้ชีวิตดำเนินไปบนเส้นทางที่ควรจะเป็นตามพระประสงค์ของพระองค์
ท่านต้องไว้วางใจในพระองค์
เฉกเช่นท่านไว้ใจและมั่นใจอย่างแน่นอนว่า
ดวงอาทิตย์จะขึ้นมาทางทิศตะวันออกและทอแสงอรุณรุ่งอย่างไม่สงสัยในวันใหม่ที่จะมาถึง

มิใช่การทูลขออย่างร้อนรนเร่าร้อน
แล้วพระองค์จะได้ยิน
แล้วพระองค์จะทรงตอบ

แต่จงวางวิกฤติ ความยากลำบาก ความวิตกกังวลไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ด้วยความไว้วางใจ
ด้วยสุดจิตสุดใจ
จิตใจที่คร้ามกลัวจึงมลายหายหมดสิ้นไป

เหมือนเด็กน้อย
เอาไจไหมพรมที่พันกันจนยุ่งเหยิง
ไม่รู้จะแกะได้อย่างไร
มาไว้ในมือของคุณแม่
แล้ววิ่งออกไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ

เด็กน้อยไว้วางใจแม่อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
ไม่ต้องอ้อน หรือ ทำอะไรให้แม่พอใจ
เพื่อแม่จะช่วยแกะไหมพรมที่พันกันจนยุ่งเหยิงไจนั้น

เด็กน้อยเพียงมั่นใจและวางใจอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่า
แม่ที่รัก จะแกะไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิงออก และ
พันเป็นไจไหมพรมที่เรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งสำคัญของการเริ่มต้นในวันนี้
มิได้อยู่ที่ว่า
ท่านจะจัดการอย่างไรกับวิกฤติ ปัญหา และความยุ่งวุ่นวายในชีวิต
มิได้อยู่ที่ว่า
ท่านจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฟัง และช่วยแก้ปัญหาและวิกฤติของท่าน

แต่ท่านจงสงบและไว้วางใจเถิดว่า
พระสติปัญญา พระกำลัง และพระประสงค์ของพระเจ้าจะไหลผ่านชีวิตของท่าน
ท่านจะได้รับการสัมผัส สัมพันธ์
ท่านจะเรียนรู้
ท่านจะได้รับพระพร และ
ท่านจะเป็นเส้นทางแห่งพระพรที่ไหลไปสู่คนอื่นๆ ที่ท่านสัมผัสสัมพันธ์ด้วย

ท่านพึงตระหนักชัดเสมอว่า
อย่าพยายามหาทาง “บีบคั้น” และ “นำทาง” พระปัญญาของพระเจ้า
แต่จงรู้เถิดว่า พระปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นยิ่งใหญ่ กว้างไกล
เกินกว่าที่มนุษย์จะ “เอาใจ” เพื่อให้พระปัญญา “ทำตามใจ” ของมนุษย์

พระปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มีแนวทางที่แตกต่างจากปัญญาและวิธีคิดของมนุษย์
วันนี้จงวางใจในพระปัญญาและพระกำลังขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

21 กุมภาพันธ์ 2553

พบพระเจ้าในทุกที่

การมีชีวิตอยู่คือการที่...
เราตระหนักรู้ชัด และ
มั่นใจถึงการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ด้วย
เราจึงไม่กลัว เพราะเรามั่นใจและอุ่นใจในการอยู่ด้วยของพระองค์

เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมอนาคตที่เหมาะสม มีคุณค่า เติบโต และงดงามสำหรับเรา
เพราะในทุกเหตุการณ์ที่เราจะประสบพบในวันนี้

ในทุกสถานการณ์ที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
ในทุกแผนงานที่เราจะต้องรับผิดชอบ

พระองค์จะทรงประกอบกิจในชีวิตของเราในวันนี้
เราจะได้ชีวิตใหม่ในทุกเหตุการณ์ ในทุกสถานการณ์ และในทุกแผนงาน
เพราะเราจะพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกที่ ทุกเวลา ทุกเหตุการณ์
เพราะพระองค์ทรงอยู่ด้วย และ
เราร่วมในทุกการงานและเหตุการณ์ตามพระประสงค์สำหรับชีวิตของเรา

นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์คือที่เขา...
รู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และ
รู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา (ยอห์น 17:3)

ในทุกขณะจิต ทุกเหตุการณ์ในวันนี้
ให้เรารู้ตระหนักชัดถึงการทรงอยู่ด้วยของพระองค์
ในความคิด ในจิตใจ ในการตัดสินใจ และในการกระทำของเรา
ให้ยึดมั่นพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตของเราในเหตุการณ์เหล่านั้น

เราจึงเข้าส่วนในชีวิตนิรันดร์
เพราะเราจะรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน มากยิ่งขึ้นในทุกสถานการณ์
เราจึงไว้วางใจและอยู่ภายใต้การทรงนำของพระองค์
เราจึงรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น ละเอียดลุ่มลึกยิ่งขึ้น

มิเพียงแต่การรู้จักพระองค์เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีในชีวิต
มิเพียงแต่เราไว้วางใจพระองค์เท่านั้น แต่เราปีติยินดีในพระองค์ทุกเหตุการณ์และเวลา
มิเพียงแต่คนอื่นจะเห็นชีวิตความสวยงามในชีวิตของเรา
แต่เห็นพระบิดาและพระคริสต์ทรงประกอบกิจในชีวิตของเราด้วย
นี่แหละ คือชีวิตนิรันดร์ ให้เรารับชีวิตนิรันดร์ในวันนี้

18 กุมภาพันธ์ 2553

พระพรเหลือล้น(มากเกินพอ)

โลกนี้ ชีวิตนี้ มิใช่มีแต่สิ่งที่เราเห็นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่เรามองไม่เห็นแต่สัมผัส สัมพันธ์ รับรู้และเรียนรู้ได้
บางครั้ง เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงต้องเจ็บปวดรวดร้าวในชีวิต หรือ ทำไมต้องพบกับความทุกข์ยาก
บางครั้ง เราก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรเราถึงประสบชัยชนะในชีวิต เอาชนะความลำบากยากเข็ญได้

แต่ท่านจงชื่นชมยินดีเถิด เพราะมีผู้หนึ่งที่ล่วงรู้ถึงความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้
ท่านผู้นั้นรู้เท่าทันในทุกวิกฤติ รับรู้ในทุกความทุ่มเทอุตสาหพยายามของท่าน และรู้ถึงความเจ็บปวดในชีวิตของผู้คน

สำหรับผู้ที่ได้ยินถึงพระสุรเสียงจากภายในชีวิตแห่งตน แล้วมิได้นิ่งเฉยเฉื่อยชาแต่ตอบสนองทันที
ผู้นั้นก็จะรู้ถึงจิตใจและจิตวิญญาณที่กำลังทุกข์ลำบากของผู้ที่พระเจ้าพามาหาท่าน เพื่อให้ท่านได้ช่วยเหลือ ท่านต้องช่วยคนเหล่านี้เต็มกำลังชีวิตของท่าน ที่ผ่านมาท่านยังช่วยเหลือคนเหล่านี้ไม่มากพอ

เมื่อท่านให้ความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือนั้นจะย้อนสะท้อนกลับมาหาท่าน และวงจรแห่งความช่วยเหลือก็จะขยายวงกว้างออกไป กว้างออกไปอย่างทรงพลัง เมื่อท่านต้องให้ความช่วยเหลือ ท่านจงหวนระลึกว่า ท่านเป็นเหมือนสาวกคนหนึ่งในเหล่าสาวกที่อยู่กับพระคริสต์ ที่พระองค์กำลังประทานอาหารแก่ประชาชนห้าพันคน ท่านเป็นคนหนึ่งที่รับขนมปังและชิ้นปลาจากพระเยซู แล้วส่งต่อไปให้ประชาชนแต่ละคน ครั้งแล้วครั้งเล่า มากมายเหลือล้น

ในชีวิตประจำวันของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับวิธีคิดและความเชื่อของสาวกในสมัยนั้น เราต่างยังพูดเสมอในสิ่งที่เรามีว่า “เรามีเพียงเท่าที่จำเป็นสำหรับเราเท่านั้น”

มิใช่เพียงการที่พระคริสต์ทรงอธิษฐานขอบพระคุณและพระบิดาทรงอวยพระพรเท่านั้น แต่ผนวกรวมกับการที่เหล่าสาวก “ส่งต่อพระพรนั้น” ไปยังประชาชนทีละคน ที่ทำให้ประชาชนอิ่มหนำสำราญ ที่เกิดการอัศจรรย์

จงระลึกถึงพระพรของพระเจ้าที่มากมาย ที่มีในชีวิตของท่าน ถ้าท่าน “ส่งต่อพระพร” เหล่านั้นไปยังผู้มีความจำเป็นรอบข้าง พวกเขาก็จะ “อิ่มทุกคน” และยังมีเหลืออีก

เมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพร และ ท่าน “ส่งต่อพระพรนั้น” ไปยังคนที่ต้องการ การอัศจรรย์เกิดขึ้น พระพรในชีวิตมีมากล้นเกินพอ

พระเจ้านั้น “มือใหญ่ใจโต” ในการทรงอวยพระพร
เมื่อพระคริสต์รู้ว่าสาวกหาปลาคืนยันรุ่งแต่ไม่ได้ปลา พระองค์จึงบอกให้เขานำเรือไปที่น้ำลึก แล้วให้หย่อนอวน สาวกทำตาม

เขาได้ปลาเต็มเรือ อวนขาด เรือจวนจม ต้องขอเรือหาปลาลำอื่นมาช่วย เพราะพระพรที่ได้นั้นมิเพียงแต่ “พอ” เท่านั้น แต่เหลือและล้น มากเกินพอ จงมองพระพรของพระเจ้าให้ทะลุกว้างไกลกว่า “กรอบคิดกรอบเชื่อ” ของท่าน

ความอุดมล้นเหลือเป็นของประทานจากพระเจ้า ท่านจงออกจากกรอบคิดกรอบเชื่อที่จำกัดคับแคบในเรื่องพระพรจากพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับพระพรมากมาย และท่านจะต้อง “ส่งต่อพระพรนั้น” ไปยังคนอื่นรอบข้าง จนเป็นพระพรที่เหลือและล้น ที่มากเกินพอ

16 กุมภาพันธ์ 2553

พระเยซูจะรู้ถึงความยากของการทำงานในยุคนี้หรือ?

เพราะเรามิได้มีมหาปุโรหิต ซึ่งไม่อาจจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา
แต่ทรงถูกลองใจเช่นเดียวกับเราทุกประการ กระนั้นก็ทรงปราศจากบาป
(ฮีบรู 4:15 อมตธรรมร่วมสมัย)

หลักคิดในการทำงาน
พระเยซูรู้ด้วยประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการต่อสู้กับการทดลอง ชัยชนะจะเป็นของเราได้โดยผ่านทางพระองค์

ในที่ทำงานเต็มไปด้วยการทดลอง นี่คือคำตอบจากคุณสมทรง เธอเป็นเลขานุการทางด้านกฎหมายในสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เธอนั่งเงียบในที่ทำงานของเธอแต่ภายในกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับการทดลอง

ไม่รู้ว่าคุณพจมานจะทำอย่างไร ถ้าเขารู้ว่าสุดารัตน์เป็นคนไร้ความสามารถ แต่ถ้าฉันจะบอกคุณพจมานถึงความผิดพลาดบางประการของสุดารัตน์ เขาอาจจะชื่นชอบฉันมากขึ้น... แน่นอน เธอกับฉันเป็นเพื่อนซี้กันอยู่แล้ว... แต่ว่าบางครั้งการที่เราจะได้เปรียบทางธุรกิจ คุณก็ต้องระมัดระวังตนเองให้ดีด้วย...

ถ้าอีตาสามารถแสดงอาการเย้ยหยันแดกดันฉันอีกครั้งหนึ่งล่ะก็..

จำเนียร ขอฉันช่วยซื้อกล่องใส่แผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์สำหรับงานโครงการที่โรงเรียน ในสำนักงานของเรามีกล่องใส่แผ่นดิสก์มากมาย ฉันคิดว่าถ้าฉันจะเอาไปสักใบหนึ่งคงไม่มีใครในสำนักงานนี้จะรู้ แค่นี้ขนหน้าแข้งบริษัทไม่ร่วงหรอก

ถ้าเราไม่ระมัดระวัง ในเวลาที่เราถูกทดลองให้ทำในบางสิ่งบางอย่างที่รู้ในส่วนลึกของจิตใจว่าผิด เราก็ตกอยู่ในภาวะของการต่อสู้ภายในระหว่างตัวตนเดิมของเรากับชีวิตใหม่ที่เราได้รับทางพระคริสต์ “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (กาลาเทีย 5:17) แม้เราจะพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราถูกครอบงำให้ทำในสิ่งที่ผิด

ไม่มีใครที่เข้าใจเรื่องนี้ดีเกินไปกว่าพระเยซู ผู้ต่อสู้กับการทดลอง พระองค์ก็เป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ลองคิดดูซิว่า พระองค์จะมีความรู้สึกเช่นใดเมื่อคนในเมืองของพระองค์ไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้แต่สาวกของพระองค์ก็ทำให้พระองค์เสียพระทัยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีใครชื่นชมและเข้าใจถึงพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ เหตุการณ์เหล่านี้น่าจะชวนให้พระองค์ท้อแท้ใจ “พอที...พระบิดา ข้าพระองค์ยอมแพ้แล้ว การที่พระองค์ส่งข้าพระองค์มาทำพันธกิจในโลกนี้ดูเป็นการไร้ค่า อุปสรรคมากมายใหญ่หลวงนัก”

มั่นใจได้ว่า พระเยซูถูกทำให้เกิดความรู้สึกที่ต้องการแก้เผ็ดศัตรูของพระองค์ เพราะพวกนี้ได้รวมหัวกันคิดอุบายวางกับดักทางบทบัญญัติ หลักการทางศาสนศาสตร์ และ กับดักทางการเมืองเพื่อจะจับผิดพระองค์ หาเหตุที่จะทำร้ายทำลายพระองค์เสีย เป็นการง่ายแค่ไหนที่พระองค์จะโต้ตอบศัตรูที่โป้ปดมดเท็จด้วยกับดักซ้อนกับดัก โต้ตอบความรุนแรงด้วยความรุนแรง

เมื่อฝูงชนห้อมล้อมและกลุ้มรุมยัดเยียดเข้าหาพระองค์ที่เหน็ดเหนื่อย ต่างไขว่คว้าจับฉวยพระองค์ให้ได้ ส่งเสียงร้องหาพระองค์ ในสภาพการณ์เช่นนี้เป็นการง่ายที่พระองค์จะหันมาตะโกนบอกฝูงชนว่า “ถอยออกไป... เราไม่สามารถช่วยทุกคนได้”

พระเยซูมีประสบการณ์ในความเป็นมนุษย์ที่ต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องต่อสู้กับสถานการณ์ที่บีบคั้นให้พระองค์ต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พระองค์ได้ต่อสู้กับการทดลองที่ต้องการให้พระองค์ยอมจำนนต่ออารมณ์และความปรารถนาในความเป็นมนุษย์ในตัวของพระองค์ แต่พระองค์ยืนหยัดจงรักภักดีและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า

พระองค์ต้องการประทานพลังดังกล่าวแก่เราด้วยความรัก ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเข้าใจเราเมื่อเราต้องพ่ายแพ้ต่อการทดลอง พระองค์พร้อมที่จะยกโทษแก่เราเมื่อเรายอมเข้ามาหาพระองค์ด้วยการสารภาพอย่างจริงใจ


อธิษฐาน

พระเจ้าที่รัก วันนี้ถ้าข้าพระองค์ถูกทดลอง...
ให้ข้าพระองค์ตอบแทนความเจ็บแสบด้วยการยอมรับความเจ็บปวด
ให้ทำงานเต็มความสามารถที่ทรงประทานให้ในตัวข้าพระองค์
ตั้งความปรารถนาของตนเองที่พระประสงค์ของพระองค์

โปรดเตือนให้ข้าพระองค์ระลึกถึง พระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงรู้ถึงความเป็นมนุษย์
โปรดประทานชัยชนะแก่ข้าพระองค์ โดยทางกำลัง และ การอภัยโทษจากพระองค์ และ
โดยทางความรักของพระองค์ อาเมน

14 กุมภาพันธ์ 2553

ที่เจ้ายืนอยู่นี้ศักดิ์สิทธิ์

อ่านอพยพ 3:1-6

พระเจ้าตรัสว่า ”อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์”

อพยพ 3:5

เมื่อโมเสสตั้งใจที่จะเดินเข้าไปดูความแปลกประหลาดที่ไฟลุกโชนแต่ต้นไม้นั้นไม่ไหม้ พระเจ้าตรัสเตือนโมเสสว่าอย่าเข้าไปใกล้ ให้ถอดรองเท้า เพราะที่ซึ่งโมเสสยืนอยู่นั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อ่านมาถึงตอนนี้เกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วอะไรที่ทำให้ที่ที่โมเสสยืนอยู่นั้นบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์?

จากการศึกษาค้นคว้าไม่พบว่า ที่นั่นมีแท่นบูชาที่สำคัญตั้งอยู่ ไม่เคยเป็นที่ตั้งของวัดหรืออารามสำคัญหรือที่ตั้งของเทวะสถาน ที่ทำให้พื้นที่นั้นศักดิ์สิทธิ์

ที่ที่ต้นไม้มีไฟลุกโชนแต่ไม่ไหม้นั้นศักดิ์สิทธิ์ มิใช่เพราะต้นไม้ไม่ไหม้ แต่เพราะเป็นที่ที่พระเจ้าทรงเลือกเป็นที่ทรงสำแดงพระองค์แก่โมเสส ความศักดิ์สิทธิ์มิใช่เพราะแผ่นดินหรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ใดไม่ แต่เพราะพระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นและทรงสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์แก่มนุษย์ จึงทำให้แผ่นดินนั้นศักดิ์สิทธิ์

เช่นเดียวกันสำหรับเราในวันนี้ ที่ที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พิเศษสำหรับเราเพราะเป็นที่ที่คนได้มีประสบการณ์กับพระเจ้า ได้สัมผัสถึงความรักและฤทธานุภาพของพระองค์ในชีวิต ในค่ายหลายค่ายไม่ว่าจะเป็นที่ค่ายอนุชนดอยสุเทพ(ในอดีต) ค่ายดงพระพร ค่ายที่ชะอำ หรือที่คริสตจักร และอีกหลายๆ ที่ เป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในที่เหล่านี้มีผู้คนจำนวนร้อยจำนวนพันที่ได้สัมผัสกับการทรงสำแดงของพระเจ้า ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นได้รับการทรงเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์ แต่เราต้องเข้าใจชัดเจนว่า มิใช่เพราะบรรยากาศ สภาพธรรมชาติแวดล้อมที่เขียวสดสงบ หรือโบสถ์ที่ใหญ่โตสง่างาม ที่ทำให้ที่เหล่านั้นบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ที่เหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์เพราะพระเจ้าทรงเลือกที่จะสำแดงให้ประชากรได้รู้จักพระองค์ในที่เหล่านั้น พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน ที่นั่นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์

นั่นหมายความว่า ทุกๆ ที่ที่ท่านมีชีวิตอยู่สามารถเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งสิ้น ถ้าพระเจ้าสถิตอยู่ในชีวิตของท่าน ดังนั้น พื้นดินที่ที่ท่านยืนอยู่จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ความหมายนี้มิได้เป็นจริงที่คริสตจักรของท่าน หรือที่บ้านของท่านเท่านั้น แต่รวมถึงในที่ทำงานของท่านด้วย

ที่ทำงานของท่านเป็นแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะพระเจ้าสถิต ณ ที่นั้น ค่อนข้างแน่นอนว่า พระเจ้าจะไม่ทรงสำแดงพระองค์ผ่านทางต้นไม้ที่ไฟไม่ไหม้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้คนในที่ทำงานรู้จักพระองค์ผ่านชีวิตของท่าน... ท่านต้องถอดรองเท้าของท่าน

ท่านเคยตระหนักรู้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในที่ทำงานของท่านหรือไม่? เมื่อใด? ท่านคิดว่าท่านควรจะปรับเปลี่ยนชีวิตเช่นไรบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับการสำแดงของพระเจ้า? และที่ว่า ท่านต้องถอดรองเท้าของท่านนั้นมีความหมายว่าอย่างไร? ในวันนี้ท่านคิดว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะทำอะไรบ้างผ่านชีวิตของท่านในขณะที่ท่านยืนอยู่บนแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์?

แต่ละวัน ในแต่ละที่ที่เราไป ในแต่ละที่ที่เราอยู่ พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่เราผ่านเหตุการณ์ และบุคคลรอบข้าง และในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงสำแดงแก่คนรอบข้างผ่านการดำเนินชีวิตของเรา ทุกที่ที่เราอยู่ ทุกที่ที่เราไป และทุกที่ที่เราทำงาน ในชั้นเรียน ในสำนักงาน พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และทรงสำแดงพระองค์แก่มนุษย์ ดังนั้น ทุกที่จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ สิ่งที่เราท่านพึงตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่า พระเจ้ากำลังสำแดง กำลังตรัสอะไรกับเราผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และตรัสแก่เราผ่านคนรอบข้างในแต่ละวัน
ขอพระเจ้าทรงใช้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ที่เราประสบ เป็นโอกาสที่จะทรงสำแดงพระองค์เองแก่เรา และแก่คนอื่นรอบข้าง เพื่อว่าทุกที่ที่เราอยู่คือที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระเจ้าและสำหรับเราทุกคน

11 กุมภาพันธ์ 2553

ขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย

พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร
ที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกมารทดลองถึงสี่สิบวัน (ลูกา 4:1-2ก; c 2002)

หลักคิดในการทำงาน

พระเยซูก็เป็นเหมือนเรา ที่ถูกการทดลองทั้งความสะดวกสบายทางกาย ความมั่งคั่งในทรัพย์สินสมบัติ และถูกหลอกล่อด้วยอำนาจ แต่พระองค์ยังสัตย์ซื่อต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และเราก็สามารถเป็นเหมือนพระองค์ได้

ผมขอเล่าเรื่องอุปมาเกี่ยวกับคุณหฤทัย

คุณหฤทัย เป็นเจ้าหน้าที่บริหารท่านหนึ่งในโรงงานหัตถกรรมขนาดใหญ่ เธอเป็นคนที่เข้มแข็งในงานคริสตจักรและในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์

เมื่อไม่นานมานี้เธอต้องปล้ำสู้กับปัญหาหนึ่ง เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะประยุกต์ใช้หลักการในพระคัมภีร์ในการตัดสินใจถึงสิ่งที่ท้าทายต่อหน้าเธอในที่ทำงาน ขณะเมื่อเธอมองรอบๆ สำนักงานที่สร้างด้วยโลหะโครเมียมกับกระจก ที่เรียงรายด้วยจอคอมพิวเตอร์ และในจอที่สิบที่กำลังเป็นเรื่องราวของถนนสายหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่คลาคล่ำเนืองแน่นไปด้วยรถ เธอเกิดความคิดในใจว่า ชีวิตและคำสอนของพระเยซูคริสต์จะเข้ากับสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร

เช้าวันหนึ่ง คุณหฤทัยได้รับโทรศัพท์จากคุณจำนงค์ ซึ่งเป็นประธานบริษัทแห่งหนึ่ง จำนงค์ได้เชิญคุณหฤทัยให้ไปรับประทานอาหารกลางวันกับเขา

“คุณหฤทัยครับ” จำนงค์เริ่มต้นเมื่อทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะอาหาร “ผมต้องการให้คุณมาทำงานในบริษัทของเรา”

จากนั้น คุณจำนงค์ได้ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าเอกสารส่วนตัวของเขา “นี่คือรายการเงินเดือนของเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงสุดสิบคน คุณสามารถเป็นคนหนึ่งในรายการนั้น”

คุณหฤทัยมองไปที่ตัวเลขเงินเดือนหกหลักในรายการนั้น “มันน่าสนใจมากคุณจำนงค์” เธอพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“คุณหฤทัย คุณสามารถเป็นคนหนึ่งในรายการนั้น” คุณจำนงค์ตอบ “คุณเพียงแต่...(อะแฮ่ม)...คุณช่วยนำแฟ้มบางแฟ้มในบริษัทของคุณออกมา และแผ่นดิสก์ 2-3 แผ่นเกี่ยวกับสินค้าชิ้นใหม่ที่คาดว่าบริษัทของคุณจะนำออกสู่ตลาด รูปแบบของสินค้าใหม่... คุณรู้ดีในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้

“อ้อ ในเวลาเดียวกัน” คุณจำนงค์พูดต่อ “เย็นพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปดูบ้าน เป็นบ้านที่ทันสมัยสะดวกสบาย ซึ่งแตกต่างจากบ้านของเจ้าหน้าที่บริหารของเรา

“อีกเรื่องหนึ่ง คุณหฤทัย” คุณจำนงค์พูดต่อ “คุณปรีดา ประธานบริษัทของคุณ คุณก็รู้ว่าเขาไว้วางใจตัวคุณมากเพียงใด ผมเชื่อว่าเขาจะบอกคุณถึงแผนการระยะยาวของบริษัท ถ้าคุณจะถามเขา ถ้าคุณนำข้อมูลดังกล่าวมาด้วยล่ะก็...มันจะหนุนให้คุณเป็นคนหนึ่งในทีมผู้บริหารของเราเลยทีเดียว”

ในหัวของหฤทัยหมุนติ้ว “ดิฉันชื่นชอบในข้อเสนอของคุณมาก” หฤทัยตอบในที่สุด “ดิฉันขอเวลาคิดทบทวนสักหน่อย พรุ่งนี้ดิฉันจะให้คำตอบได้ไหม?”

ค่ำคืนนั้นเมื่อหฤทัยอยู่ที่บ้าน เธออ่านพระธรรมมัทธิวบทที่ 4 เรื่องราวที่พระเยซูคริสต์ถูกการทดลองในถิ่นทุรกันดาร เธอได้อ่านถึงเรื่องที่มารได้เสนอขนมปังเมื่อพระองค์กำลังหิวหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรมา 40 วัน พระคัมภีร์เขียนถึงคำตอบพระเยซูว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้” (ข้อ 4)

“ไม่ใช่บ้านที่ใหญ่โตหรูหรากว่า ไม่ใช่เงินเดือนที่สูงกว่า” หฤทัยใคร่ครวญในใจของเธอ

เธออ่านต่อไปถึงข้อเสนอของมารที่จะให้สิทธิอำนาจแก่พระเยซูเหนือราชอาณาจักรทั้งหลายในโลกนี้
“อำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศเหมือนที่คุณจำนงค์เสนอเลย” หฤทัยคิด

เช้าวันรุ่งขึ้น ในห้องทำงานอันทันสมัยทุกอย่างสั่งการด้วยระบบอิเลคทรอนิกส์ และควบคุมด้วยเครื่องมือไฮเทค หฤทัยพบว่า คำสอนของพระเยซูคริสต์ช่างทันสมัยเหมาะเจาะกับชีวิตจริงในปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้เธอรู้และมั่นใจว่า อะไรคือคำตอบที่เธอจะให้กับคุณจำนงค์

อธิษฐาน

พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อข้าพระองค์ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจเลือกเมื่อถูกการลองใจ โปรดประทานความแหลมคมแก่ดวงตาภายในข้าพระองค์ที่จะรู้ว่า พระองค์จะทรงเลือกสิ่งใด และโปรดประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ที่จะเลือกในสิ่งนั้น อาเมน

09 กุมภาพันธ์ 2553

การทดลอง

องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพลังที่สามารถเอาชนะการทดลอง
ดั่งที่พระองค์ทรงชนะแล้วในถิ่นทุรกันดาร

การที่ชีวิตจะมีชัยเหนือการทดลองได้ก็ต่อเมื่อท่านเห็นการทดลองว่าเป็นการทดลอง แล้วไม่นำตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทดลองนั้น หรือถ้าต้องเผชิญหน้ากับการทดลองก็ด้วยพระราชอำนาจ และ ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน

ประแรกและประการสำคัญคือ เราต้องมอง และ รู้เท่าทันว่า นั่นคือการทดลอง เพราะการทดลองที่มาถึงคนเรานั้นมักมาในรูปแบบลักษณะของสิ่งให้เกิดความรื่นรมย์ ชื่นชอบ เป็นผลประโยชน์แก่เรา ดังนั้น การที่แต่ละคนรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังเข้ามานั้นว่า มันคือการทดลองจึงเป็นจุดยืนที่สำคัญยิ่งต่อการที่เราจะมีชัยเหนือการทดลอง ถ้ามิเช่นนั้นแล้วเราก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ ยอมรับสิ่งนั้นอย่าง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”

ประการสำคัญที่สองคือ เมื่อเรารู้เท่าทันว่านั่นคือการทดลอง เราต้อง “แยก” หรือไม่นำตนเองเข้าไปเกลือกกลั้ว ยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์นั้น หรือ ในสิ่งนั้น ดังที่พระเยซูคริสต์สอนสาวกของพระองค์อธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าว่า “...ขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง...”

ทั้งนี้เพราะการทดลองคือการที่อำนาจร้ายพลังชั่วที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ต้องการมีอำนาจเหนือเรา ต้องการจะครอบงำและบงการชีวิตของเราให้เป็นไปตามความต้องการของมัน ความมุ่งหมายอีกประการหนึ่งของการทดลองคือ แผนการของอำนาจร้ายพลังชั่วต้องการขัดขวาง และ พยายามตัดขาดความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราแต่ละคน เพื่อให้เราหลุดออกจากพลังแห่งความรักเมตตาของพระองค์ แล้วมันสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของและควบคุมชีวิตของคนๆ นั้นได้อย่างง่ายดาย

อำนาจร้ายพลังชั่วจะทำการทดลองมนุษย์ด้วยการทำให้เกิดความสับสน ว้าวุ่นใจในการทำสิ่งดีสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉุดรั้งเราจากการทำสิ่งดีตามพระประสงค์ ทำให้เกิดความสงสัยแล้วใส่มุมมองเชิงลบ เช่น เรามีความสามารถที่จำกัด หรือ ความรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย กล่าวคือมุมมองถึงความอ่อนด้อย จำกัด และทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง นั่นคือทำให้คนๆ นั้นมองเข้าไปในชีวิตของตนเองว่าไม่มีพลังไร้คุณค่า สิ่งนี้คือวิธีการของอำนาจร้ายพลังชั่วเข้ามามีอำนาจเหนือการมองและการรับรู้ของคนๆ นั้น ทำให้พลังภายในชีวิตของคนๆ นั้นสั่นคลอน หวั่นไหว ไม่มั่นใจ จึงไม่สามารถยืนหยัดในชีวิตอย่างมั่นคงได้

การทำงานของอำนาจร้ายพลังชั่วอีกลักษณะหนึ่งคือ การโหมกระหน่ำด้วยกระแสสังคม หรือ กระแสประชานิยม ที่พยายามกล่อม กรอกหู ให้คนๆ นั้น สับสนจนต้องยอมรับว่า “คนส่วนใหญ่” “เสียงส่วนใหญ่” คิดและตัดสินใจทำแตกต่างจากเรา จากนั้นพัฒนาไปสู่การรับรู้ว่าเรากำลังแตกต่างแปลกแยกจากคนอื่น แล้วกระตุ้นให้เกิดความกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับตนเอง ตนเองจะถูกโดดเดี่ยว ตนเองวิ่งไม่ทันคนอื่น และทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็เพื่อที่จะผลักดันให้เราออกและไปให้ห่างไกลจากพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งในความคิด ความเชื่อ การตัดสินใจ และ การกระทำ มันจะฉุดลากและแยกเราห่างจากพระเจ้าให้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้จึงน่าสังเกตว่า ในคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนสาวก ได้ให้สาวกทูลขอต่อพระเจ้ามิให้เราแต่ละคนเข้าไปสู่การทดลองนั่นเป็นประการแรก แต่ถ้าอำนาจร้ายพลังชั่วโหมกระหน่ำการทดลองเข้าสู่ชีวิตของเราแต่ละคน กล่าวคือเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางชีวิตและสถานการณ์การทดลองพึงรู้และตระหนักชัดมั่นคงเสมอว่า เราสามารถพ้นจากอำนาจความชั่วร้ายด้วย “พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริของพระเจ้า” หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ด้วยพระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงปกป้องเราไม่ให้ตกอยู่ท่ามกลางการทดลอง หรือถ้าต้องอยู่ท่ามกลางการทดลองไม่ลืมว่า เราสามารถชนะการทดลองด้วยอำนาจจากเบื้องบน และ ฤทธิ์เดชจากพระเจ้า แต่ทั้งสิ้นนี้มิใช่ชัยชนะของเราแต่เพื่อชี้ให้เราและมนุษย์รอบข้างเรียนรู้ถึงพระเจ้าผู้มีอำนาจและพลังเหนือมารร้ายอำนาจชั่วทั้งมวล ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์

การทดลองเป็นสิ่งที่คริสตชนจะต้องรู้เท่าทันว่า นั่นคือการทดลอง และขอพระเจ้าทรงช่วยให้เราไม่ให้ต้องตกอยู่ภายใต้การทดลอง แต่ถ้าเราจะต้องเผชิญหน้ากับการทดลองก็ขอให้พระราชอำนาจ และ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะทรงช่วยหนุนเสริมและปกป้องเราจากอำนาจร้ายพลังชั่วเหล่านั้น และสามารถมีชัยเหนืออำนาจชั่วร้ายเหล่านั้นเพื่อเป็นที่ถวายพระสิริและพระเกียรติแด่พระเจ้า และชีวิตของเราเกิดการเรียนรู้และมีพลังแกร่งกล้ายิ่งขึ้นในความเชื่อและการดำเนินชีวิต

07 กุมภาพันธ์ 2553

สงบ มั่นคง ไม่ใช่รีบเร่ง

“กำลังของเจ้าจะอยู่ในความสงบ และความไว้วางใจ” อิสยาห์ 30:15

ความใจร้อนทั้งสิ้นทำลายสิ่งที่ดี
ความสงบ นิ่ง สร้างสรรค์สิ่งดี
และในเวลาเดียวกันยังยับยั้งและกำราบสิ่งชั่วร้ายด้วย

เมื่อมนุษย์ต้องการทำลายล้างสิ่งที่ชั่วร้าย
เขามักรีบเร่งกระทำการล้างผลาญสิ่งที่ชั่ว
แต่นั่นเป็นการผิด

สิ่งแรกในการหยุดยั้งและทำลายสิ่งที่ชั่วคือ
เจ้าจงสงบและมั่นคง และจงรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า
จากนั้นท่านจงกระทำเฉพาะสิ่งที่พระเจ้าตรัสบอกให้ท่านทำเท่านั้น

ท่านจงสงบและมั่นคงในพระเจ้า
การสงบมั่นคงคือการไว้วางใจที่เป็นรูปธรรม
และเป็นการกระทำด้วย

มีเพียงการไว้วางใจอย่างเต็มที่เท่านั้นที่จะช่วยรักษาความสงบมั่นคงในคนนั้นได้
อย่ากลัวหรือหวั่นวิตกสภาพการณ์รอบข้าง หรือ ความยากลำบาก
เพราะนั่นจะช่วยให้ท่านมีความสงบในชีวิต

ตามกระแสแห่งโลกนี้สอนท่านให้รีบเร่ง
แต่ผู้ที่อยู่กับพระเจ้าจะเรียนรู้การสงบมั่นคง

จงรู้เถิดว่า ทุกกิจกรรมงานใหญ่ที่มนุษย์กระทำเพื่อพระเจ้า
เริ่มต้นที่พระองค์ทรงกระทำกิจในจิตวิญญาณของแต่ละคนที่จะทำงานเพื่อพระองค์

04 กุมภาพันธ์ 2553

ทวนกระแส

คนพายเรือมิได้วางใจและพึ่งพาในไม้พาย การขึ้นลงของน้ำ และ
มิได้วางใจในพลังของกระแสน้ำ
แต่วางใจและพึ่งพาในองค์พระผู้เป็นเจ้า

นาวาแห่งชีวิตของเราในวันนี้... เราขอให้พระองค์ชี้และนำไป
บ่อยครั้งมิใช่หรือ ที่พระองค์ได้สำแดงเส้นทางชีวิตที่เราจะต้องมุ่งหน้าไป
เป็นเส้นทางที่ต้องทวนกระแส
ทวนกระแสสังคม
ทวนกระแสค่านิยมของเพื่อน
ทวนกระแสความอยากได้ใคร่มีของตนเอง

ดังนั้น เราจึงต้องใช้และทุ่มเทพลังอย่างมาก
เพื่อจะทวนกระแสนิยม กระแสสังคมที่เชี่ยวกราด

เมื่อความทุกข์ยากจากการที่นาวาชีวิตต้องทวนกระแสดังกล่าวเกิดขึ้นแก่เรา
เราอุตส่าห์พากเพียรทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ ด้วยอุทิศมุ่งมั่น
เพื่อเราจะได้รับชัยชนะ นำนาวาแห่งชีวิตไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า...
กำลังทั้งสิ้นที่เราอุทิศทุ่มเท
ในการนำนาวาชีวิตทวนกระแสไปได้จนมีชัยในชีวิต
ความชื่นชมยินดีที่เราได้ประสบนั้น
เป็นกำลัง และ ความชื่นชมยินดีที่เราได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ดั่งเปาโลเคยสารภาพไว้ว่า...
“ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

สาวกชาวประมงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มิได้พบว่า มีปลาในอวนของพวกเขาที่ชายฝั่งทะเล
แต่พบว่า เขาทอดอวนคืนยังรุ่ง แต่ไม่ได้ปลาสักตัว
องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงชี้ทางที่เขาจะต้องไป
พวกเขาทุ่มเทกำลัง ความตั้งใจ และสำคัญคือเชื่อฟัง
แล้วหย่อนอวนลงตามที่พระองค์ชี้แนะ...เขาได้ปลามากมาย

องค์พระผู้เป็นเจ้าให้กำลังในความพยายามของมนุษย์พร้อมกับอวยพระพรพวกเขา
พระองค์ต้องการการอุทิศทุ่มเทของเรา
เราต้องการการอวยพระพรจากพระองค์
ด้วยการมีส่วนร่วมกันและกันของพระองค์กับเรา
เป็นความสำเร็จในชีวิตของเรา

02 กุมภาพันธ์ 2553

การทรงเรียก

บทเรียนจากเจ้าชายแห่งอียิปต์

โมเสสจึงทูลตอบว่า: “แต่พระองค์เจ้าข้า เขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะว่า 'พระเจ้ามิได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย' ”
พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า: “อะไรอยู่ในมือของเจ้า”
ท่านทูลว่า: “ไม้เท้า พระเจ้าข้า”
อพยพ 4:1-2

Steve Sjogren เป็นท่านหนึ่งที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้วิพากษ์ภาพยนตร์เรื่อง “เจ้าชายแห่งอียิปต์” ก่อนที่จะนำออกฉาย ท่านบอกว่าความตื่นเต้นสูงสุดในการชมและวิพากษ์ภาพยนตร์เรื่องนี้มิเพียงแต่เนื้อหาและการนำเสนอที่น่าสนใจเท่านั้น แต่พระเจ้าตรัสกับท่านตลอดเรื่องราวของโมเสสในภาพยนตร์เรื่องนั้น

เรื่องราวเริ่มต้นที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์แก่โมเสสที่พุ่มไม้ไฟ ที่นั่นท่านได้สนทนากับพระเจ้า ท่านต่อรองกับพระองค์และปฏิเสธว่าท่านไม่สามารถที่จะนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถเหมาะสมที่จะนำใครออกจากที่ไหนทั้งนั้น ผ่านการถกเถียงกับพระเจ้าสองสามรอบ พระเจ้าถามโมเสสด้วยคำถามธรรมดาสามัญว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” ในมือของโมเสสถือไม้เท้าเลี้ยงสัตว์อยู่ ซึ่งเขาได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเลี้ยงฝูงแกะของเขามากว่า 40 ปีในดินแดนทะเลทราย

เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำหรือนำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พระเจ้ามักจะทรงเริ่มต้นจาก “เครื่องมือที่อยู่ในมือของเรา” หรือ ความสามารถที่มีอยู่ในตัวเรา พระองค์ทรงใช้เราทำพันธกิจของพระองค์ด้วยศักยภาพ ความสามารถ ความรู้ หรือ ทักษะที่เราเคยใช้อย่างได้ผลในงานอื่นๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว บทบาทหน้าที่ที่พระองค์ทรงเรียกให้เรารับผิดชอบเมื่อดูผิวเผินในตอนแรกอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ไม่ใช่เรื่องของชีวิตจิตวิญญาณเลย หรือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับตัวเรา

เรื่องราวที่โมเสสเผชิญหน้ากับพระเจ้าในตอนนี้เปี่ยมด้วยความจริงในชีวิตจิตวิญญาณสำหรับผู้นำ โดยขอตั้งข้อสังเกตดังนี้

เป็นผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาที่ยืนหยัดและไว้วางใจ พระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำในสิ่งที่เราทำอยู่แล้วแต่ให้ทำต่อไปในแนวทางที่พระองค์ประสงค์ ไม่สำคัญที่ผู้นำจะต้องมีของประทานมากกว่าคนอื่น แต่เป็นผู้ที่ใช้ของประทานและทำอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

พระเจ้าประสงค์ความเต็มใจของเรา พระคัมภีร์ได้ชี้ให้เห็นชัดถึงความรู้สึกไม่สู้เต็มใจของโมเสสที่จะทำตามการทรงเรียกให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ แต่ในที่สุดถึงแม้ตนเองยังกลัวต่อการที่จะทำหน้าที่ตามการทรงเรียก และมีความผิดพลาดแต่หนหลังคอยหลอกหลอนอยู่(ที่โมเสสเคยฆ่าทหารอียิปต์) แต่ในที่สุดโมเสสยอมที่จะเชื่อและทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเขา

กำลังของพระเจ้ามาถึงผู้ที่มีจิตใจที่เชื่อฟังพระองค์ ในสายตาของโมเสส “เครื่องมือ” ที่อยู่ในมือของท่านดูเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ท่านถือไปทุกวัน แต่เมื่อเครื่องมือนั้นอยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้ากลับกลายเป็นสิ่งที่เปี่ยมด้วยพลังถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ จากพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นต้นไป “เครื่องมือ” ที่โมเสสใช้กลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้นำอิสราเอลให้หลุดพ้นออกจากการเป็นทาส ทุกครั้ง เมื่อกล่าวถึง “เครื่องมือ” พระเจ้ากำลังบอกกับเราทุกคนว่า สิ่งธรรมดาสามัญกลับกลายเป็นสิ่งสำคัญเมื่อพลานุภาพของพระเจ้าอยู่ในเครื่องมือนั้น

พระเจ้าทรงจัดเตรียม สิ่งที่เราได้ทำไปแล้วเกิดจากการที่เราเตรียมการในสิ่งนั้นๆ ที่เราจะทำ ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เราจะพบว่า โมเสสถือกำเนิดเป็นชนอิสราเอล ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตอย่างคนอียิปต์ กลับมามีความสัมพันธ์กับพี่น้องของตนที่ตกเป็นทาส การที่เราทำงานของพระเจ้ามิใช่ทำด้วยกำลังอำนาจของตน(เช่น การที่โมเสสฆ่าทหารอียิปต์) พระเจ้าทรงใช้เวลาขัดเกลาชีวิตของโมเสสในทะเลทรายก่อนการทรงใช้ครั้งยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่เป็นการทรงเตรียมของพระเจ้าอย่างชัดเจนตลอดชีวิตของท่าน พระเจ้าทรงเตรียมท่านให้นำประชากรอิสราเอลของพระองค์ออกจากกรงทาสแห่งอียิปต์ ตามหลักคิดของพระเจ้าในพระคัมภีร์แล้ว นี่ไม่ใช่ “การเสียเวลา” แต่เป็นการ “ใช้เวลา” เตรียมโมเสสสำหรับงานของพระองค์

ประเด็นการคิดไตร่ตรอง

ในชีวิตของฉันมี “เครื่องมือ” อะไรอยู่ที่พระเจ้าจะทรงเจิมเพื่อใช้ในพระประสงค์ของพระองค์

อธิษฐาน

องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะเรียนรู้ว่า โอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่จำเป็นเป็นสิ่งที่อยู่ไกลโพ้น แต่อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์ หรือ ข้างๆ ตัวข้าพระองค์

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ในวันนี้ โปรดสร้างและเตรียมข้าพระองค์ให้มีจิตใจที่มีความกล้าและเชื่อฟังที่จะกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในโอกาสที่ทรงประทาน อาเมน

01 กุมภาพันธ์ 2553

ความสุขที่ชื่นชมยินดี

การยอมจำนนและมอบตนทำตามการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นรากฐานของความสุขอันแท้จริงยั่งยืนในชีวิต
(มิใช่ความพึงพอใจเมื่อความปรารถนาของตนสำเร็จเท่านั้น)

ความสุขนี้เป็นความชื่นชมยินดี เหนือเงื่อนไข ปัจจัย และสถานการณ์แวดล้อม
แต่เป็นความชื่นชมยินดีจากการที่ได้ใกล้ชิดสนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในทุกขณะจิต ทุกสถานการณ์ของชีวิต

ด้วยความสนิทดังกล่าว
เราจึงได้เห็น ได้เรียนรู้ทีละนิด ทีละขั้น ทีละก้าว จากการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มิเพียงแต่การเรียนรู้ถึงพระประสงค์ และ การทรงนำของพระองค์เท่านั้น
เรายังเรียนรู้ที่จะไว้วางใจอย่างสิ้นสุดจิต สิ้นสุดชีวิตในพระองค์

การทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการเปิดทางให้เราเดินไป
ถ้าเรา “ยอม” ก้าวไปตามทางนั้น
เราก็จะพบและเรียนรู้พระประสงค์ของพระองค์ชัดเจนยิ่งขึ้น

จากการเรียนรู้ดังกล่าว เราจึงใช้เป็นปัญญาในการดูและตัดสินใจสถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นใหม่
เพื่อจะเห็นการทรงนำของพระองค์ได้ชัดเจนลึกซึ้งยิ่งขึ้น และ
ทำให้เราไว้วางใจอย่างสิ้นสุดชีวิตกว่าเดิม

นี่คือก้าวย่างที่จาริกไปบนเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธา
เป็นเส้นทางที่เสริมสร้างความเข้มแข็งแห่งความเชื่อและศรัทธา และ
การผูกพัน ติดสนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากและหนักแน่นยิ่งขึ้น

นี่คือเส้นทางจาริกแห่งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเป็นสาวกติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่เดินไปบนเส้นทางสถานการณ์ที่หลากหลายของชีวิต
ที่ทำให้เรามีประสบการณ์กับพระเจ้า
ประสบการณ์การทรงนำ
ประสบการณ์ในพระประสงค์ของพระเจ้า
ประสบการณ์ในทุกสถานการณ์ทั้ง...
ความสำเร็จ อุปสรรค
การล้มลง การลุกขึ้น และ การชูช่วย

ประสบการณ์นี้อยู่เหนือความคาดหวังของมนุษย์
แต่เป็นประสบการณ์ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมแก่เรา
แต่ละคน แต่ละวัน แต่ละสถานการณ์

เป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ หล่อหลอม ปั้นแต่งชีวิตภายในของเรา
ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละขั้น ทีละตอน
เพื่อเป็นตัวเราที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์
นี่ต่างหากที่ทำให้เราเกิดความชื่นชมยินดีในแต่ละวัน

ทำให้ระลึกถึงพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับผู้ที่เชื่อของพระองค์ว่า
พระองค์จะไปจัดเตรียมที่สำหรับเราแต่ละคน...
เพื่อว่า พระองค์อยู่ที่ไหน เราก็อยู่ที่นั่นกับพระองค์

เมื่อเราอ่านพระสัญญาตอนนี้ เรามักด่วนตีความและเข้าใจไปว่า
พระองค์ไปจัดเตรียมที่ที่สำหรับเราบนสรวงสวรรค์
เพื่อเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว เราจะไปอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์
ตามที่พระองค์ทรงจัดเตรียม ตามที่พระองค์สัญญา

แต่ในอีกมิติหนึ่ง
องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้บ่งบอกและจำกัดว่าเป็นเหตุการณ์หลังความตายเท่านั้น

ดังนั้น ในอีกความหมายหนึ่งคือ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง “จัดเตรียม” ทุกที่ ทุกสถานการณ์ในโลกนี้
แล้วพระองค์ทรงนำเราแต่ละคนเข้าไปสู่สถานการณ์นั้นๆ
ทรงอยู่กับเราในสถานการณ์นั้นๆ
พระองค์อยู่ที่ไหน เราอยู่ที่นั่นกับพระองค์
พระองค์อยู่ในสถานการณ์ใด เราอยู่กับพระองค์ในสถานการณ์นั้น

ที่นั่น ความรักของพระองค์ได้สำแดงออกอย่างเป็นรูปธรรม
พระองค์ทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดของผู้ทุกข์ยากลำบาก
อำนาจความตายที่เกิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบจะถูกกำราบให้ยุติและหมดสิ้นไป
เราอยู่กับพระเจ้า และ ร่วมพระราชกิจกับพระองค์
พระองค์อยู่กับเรา เราอยู่กับพระองค์
พระองค์จะทรงสอนเรา นำเรา
ตั้งแต่บัดนี้และตลอดไปเป็นนิตย์

นี่คือความสุขที่แท้จริง
เพราะเป็นความชื่นชมยินดี ที่ได้พบกับคุณค่าและความหมายใหม่ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จากการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเรา และ เราอยู่ด้วยกับพระองค์
เราเรียนรู้จากพระองค์ ผ่านการยอมจำนนและเชื่อฟังพระประสงค์
ตามย่างก้าวที่พระองค์ทรงเตรียมไว้เพื่อเรา