29 มิถุนายน 2564

ขณะเรากำลังรอ พระเจ้ากำลังทำพระราชกิจในตัวเรา

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ในยามเช้าพระองค์ทรงได้ยินเสียงข้าพระองค์  
ในยามเช้าข้าพระองค์นำคำร้องทูลมาต่อหน้าพระองค์  
และจดจ่อรอคอยคำตอบจากพระองค์” (สดุดี 5:3 อมธ.)

 เมื่อเราทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า   เราจะรอคอยด้วยความคาดหวัง

เราอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์   พระเจ้าเป็นเหมือนพ่อที่ดีผู้สัญญาว่าจะประทานในสิ่งที่เราจำเป็นสำหรับเราเสมอ   เมื่อเรารอคอยด้วยความคาดหวัง   เราได้แสดงออกถึงความเชื่อศรัทธาของเราด้วยความเชื่อว่า พระเจ้าจะทำในสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้

ความคาดหวัง เราไม่ได้หวังในสิ่งที่เราพึงมีสิทธิที่จะได้รับ  สิทธิที่พึงจะได้รับบอกว่า  “ฉันควรจะได้รับในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องการจากพระเจ้า  ฉันสมควรจะได้รับเพราะฉันได้อ่านพระคัมภีร์ 5 ครั้งในสัปดาห์นี้  และได้ไปร่วมกิจกรรมที่คริสตจักร 2 ครั้ง  ดังนั้นพระเจ้าจะต้องให้สิ่งที่ฉันต้องการจำเป็น” (??)   แต่ความคาดหวังเป็นการกล่าวว่า “พระเจ้าจะให้สิ่งที่ฉันจำเป็นเพราะพระองค์ประสงค์ที่จะให้สิ่งที่ดีสำหรับฉัน  ตามแผนการชีวิตของพระองค์สำหรับชีวิตฉัน”

การรอคอยสิ่งที่เราคาดหวังไม่ใช่เรื่องง่าย!   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่มีกำลังอำนาจ   เมื่อเราไว้วางใจในพระเจ้ากระทำสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในชีวิตสมรส หรือในอาชีพการงาน  หรือในความสัมพันธ์   และเวลาของพระเจ้าดูเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า   เป็นการยากที่เราจะยังไว้วางใจในพระองค์

อย่าท้อแท้  ไม่ยอมแพ้   ถึงแม้ว่า  เราไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงยังไม่ตอบคำอธิษฐานของเรา   เรายังสามารถที่จะไว้วางใจว่าพระองค์จะรักษาพระสัญญาของพระองค์   เรายังมั่นใจว่าทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า   ไม่มีผู้ใดที่จะมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าพระองค์   ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของเราเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระองค์

ขณะที่เรากำลังรอคอยคำตอบจากพระเจ้า พระองค์กำลังกระทำพระราชกิจของพระองค์   พระองค์กำลังเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาของเราให้เข้มแข็งมั่นคงขึ้น   ทรงสอนสัจจะความจริงที่เรายังไม่รู้ไม่เข้าใจแก่เรา   ทรงกระทำให้เราใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น   และเสริมสร้างให้เรามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น  

พระเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความจำเป็นต้องการในชีวิตของท่านยิ่งกว่าที่ท่านรู้จักตนเอง

ให้เราทำอย่างกษัตริย์ดาวิด   ให้เราทูลขอต่อพระเจ้า   และรอคอยคำตอบจากพระองค์ด้วยความคาดหวัง  (ไม่ใช่ด้วยความไม่แน่ใจ หรือ ด้วยความสิ้นหวังที่ซ่อนเร้นในใจ)

02 มิถุนายน 2564

“จงอธิษฐานอยู่เสมอ”...เขาทำกันอย่างไร?

อ่าน 1 เธสะโลนิกา 5:16-18

พระวจนะของพระเจ้าบอกแก่เราว่า “จงอธิษฐานอยู่เสมอ” (1เธสะโลนิกา 5:17 อมธ.) อนุชนคนหนึ่งถามผมตรง ๆ ต่อหน้าเพื่อนฝูงของเขาว่า “การอธิษฐานอยู่เสมอหมายความว่าอย่างไร?....”   อีกคนหนึ่งถามต่อว่า “แล้วเขาทำกันอย่างไร?”

พระเจ้าประสงค์ให้เราบ่นพึมพำกับพระองค์ตลอดเวลาอย่างเช่นคนเคร่งศาสนาที่ท่องมนต์บ่นภาวนาในทุกขณะชีวิตของเขาเช่นนั้นหรือ? ไม่ใช่แน่... พระเจ้าไม่ต้องการให้เราทำเช่นนั้นแน่   เพราะการอธิษฐานมิใช่การท่องมนต์บ่นกับพระเจ้า หรือเป็นเหมือนการท่องคาถาเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของเราเอง

แต่การอธิษฐานอยู่เสมอคือ...

(1)  การที่เราตระหนักรู้ว่าเราอยู่กับพระเจ้าเสมอ มั่นใจที่จะปรึกษากับพระองค์ได้ทุกเรื่องในชีวิตของเรา สำนึกในพระคุณของพระองค์ที่มีต่อชีวิตของเราในทุกเวลา และชื่นชมยินดีในพระองค์ในทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา เพราะเราเชื่อมั่นในแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตของเราในขณะนี้และตลอดวันนี้

(2)  พฤติกรรมความเชื่อในชีวิตของเราจะสำแดงเบ่งบานเมื่อเราเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันด้วยการอธิษฐานสนทนากับพระเจ้า และเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันด้วยการอ่าน ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ขุดค้นเจาะลึกในพระวจนะของพระองค์ และมีเวลาที่จะนิ่ง เงียบ เพื่อฟังเสียงของพระองค์สำหรับเราในวันใหม่แต่ละวัน 

และถ้าเป็นได้ให้บันทึก จดจำ เพื่อสามารถนำมาพิจารณาใคร่ครวญว่า เสียงที่พระเจ้าตรัสและสนทนาในเช้าวันนี้พระองค์ประสงค์ให้เราทำอะไรบ้างในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งเราสามารถพิจารณาใคร่ครวญเสียงของพระองค์ในวันนี้ในทุก ๆ สถานการณ์ชีวิต   ในทุก ๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้ของเรา

(3)  เมื่อเวลาใดที่เกิดภาวะวิกฤติ เกิดความขัดข้องขัดแย้ง เกิดภาวะอ่อนแรงท้อแท้ พบทางตัน หาทางออกไม่ได้ ให้เรานิ่ง สงบ ทบทวนถึงเสียงสนทนาของพระเจ้าเมื่อเช้าวันนี้ ใคร่ครวญ ไตร่ตรองเสียงของพระองค์ว่าพระองค์ประสงค์ให้เราทำเช่นไรในวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา แล้วทำตามเสียงของพระองค์ที่ชี้นำแก่เรา หรือพร้อมที่จะรอคอยในการชี้นำของพระองค์ด้วยความอดทน

(4)  ในช่วงเวลาใด ในสถานการณ์ใด ในงานใดที่เราได้ประสบกับความสำเร็จที่ทำให้เราเกิดความชื่นชมยินดีและภูมิอกพอใจ ให้เรานิ่งและสงบ และใคร่ครวญถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ใส่พระทัยเมตตาเรา อวยพระพรแก่เราและคนรอบข้าง ให้เราขอบพระคุณพระองค์  สรรเสริญพระองค์

(5)  เมื่อมาถึงเวลาสิ้นวันนี้ของเรา ให้เรามีเวลาเฉพาะที่จะนิ่งและสงบ และทบทวน สะท้อนคิดถึงถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่ได้กระทำในชีวิต ผ่านชีวิต และในสถานการณ์ชีวิตของเราในวันนี้  

1)   แล้วเขียนรายการที่เราสำนึกในพระคุณของพระองค์ที่กระทำแก่เราและคนรอบข้างตลอดวันนี้  

2)   มีสถานการณ์อะไรบ้างที่เราพลั้งเผลอผิดพลาดในวันนี้ ขอโปรดเมตตายกโทษแก่เรา   และทูลขอพระปัญญาและพระกำลังที่จะไม่ก้าวลงไปทำผิดซ้ำอีกในวันต่อ ๆ ไป  

3)   มีใครบ้างที่เราได้พบเจอสัมผัสสัมพันธ์ด้วยในวันนี้ ที่เราต้องการอธิษฐานเผื่อเขา  และอธิษฐานเผื่อเขาในเรื่องอะไร

4)   มีอะไรบ้างที่ไม่สามารถสำเร็จตามความคาดคิดของเรา ทำให้เราวิตกกังวล ให้นิ่งและสงบทูลขอพระเจ้าโปรดเมตตาชี้นำเราว่าควรทำอะไร อย่างไร เมื่อใด ในวันต่อ ๆ ไป

5)   ขอบพระคุณสำหรับค่ำคืนนี้ เป็นเวลาที่พระองค์ประทานแก่เราให้รับพระพร ในการพักผ่อนหลับนอน ขอน้อมรับพระพรนี้ด้วยสำนึกในพระคุณของพระองค์ เป็นเวลาที่เราจะได้รับการพลิกฟื้นชีวิตทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณของเรา   

จำเป็นที่คริสตชนจะต้องตระหนักชัดว่า การอธิษฐานมิใช่เวลาของการนำเสนอรายการความต้องการของเราต่อพระเจ้า แต่การอธิษฐานเป็นช่วงเวลาและโอกาสแห่งการเสริมสร้างสัมพันธภาพของเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้า 

การอธิษฐานเป็นเวลาที่เตือนให้เราตระหนักชัดว่าเราต้องพึ่งพิงในพระเจ้า เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาในความสามารถของตนเองเท่านั้น เป็นเวลาที่เตือนสติของเราทุกครั้งว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งพิงและลี้ภัยในทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา” 

การอธิษฐานเป็นการสื่อสารสองทาง มิใช่การสื่อสารทางเดียวที่พระเจ้าต้องมาฟังเราพูดเราขอเท่านั้น แต่พระองค์พร้อมที่จะตรัสแก่เรา ชี้นำ เสริมหนุนเรา

และทั้งสิ้นนี้เป็นกระบวนการของ “การอธิษฐานอยู่เสมอ”

แล้วเราจะเริ่มต้น “อธิษฐานอยู่เสมอ” อย่างไร

อ้อ...ถ้าใครมีปัญหาใน “การอธิษฐานอยู่เสมอ” ท่านสามารถทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ได้ในเรื่องนี้ด้วยครับ แต่การอธิษฐานไม่เหมือนการกล่าวท่องเวทมนตร์ สำเร็จรูป ซ้ำซาก เพื่อเราจะได้สิ่งที่เราต้องการ  

การอธิษฐานเป็น “วินัยชีวิตคริสตชน” หรือ ที่เราจะเรียกว่า “นิสัยหนึ่งของชีวิตคริสตชน” ก็ได้  ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ที่จะเสริมสร้างให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราแต่ละคน ซึ่งต้องการส่วนความรับผิดชอบของตัวเราเอง ที่จะต้องมีมานะฝึกฝนด้วยความอดทนในการรับการก่อร่างสร้างตัวสิ่งนี้ในชีวิตจิตวิญญาณของเราจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

อีกประการหนึ่งครับ “การอธิษฐานอยู่เสมอ” เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราทั้งหลายแต่ละคนในพระเยซูคริสต์ด้วยครับ  (1เธสะโลนิกา 5:18 อมธ.)

 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 
จงอธิษฐานอยู่เสมอ 
จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์
เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์

(1เธสะโลนิกา 5:16-18 อมธ.)