หลายต่อหลายคนในปัจจุบัน มี “สิ่งที่มีค่า” ที่ตนเองยอมทุ่มเงินซื้อไว้
ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรูราคาแพง
รถทันสมัยคันใหม่
แทปเลตรุ่นล่าสุด สมาร์ทโฟนรุ่นเทคโนโลยีสูงสุด ไปจนถึงสระว่ายน้ำในบ้านระดับมาตรฐาน
เรียกว่าเข้าเกณฑ์วัตถุนิยมเต็มขั้นอย่างงั้นเถิด
แต่ขอโทษครับ
บ้านหรูราคาแพงก็มีไว้ซุกหัวนอนในเวลากลางคืน
เพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปบนท้องถนนและที่ทำงาน รถคันงามทันสมัยก็แค่นาน ๆ เอาออกไปใช้ที
เพราะที่ใช้เป็นประจำก็เจ้ากระบะคู่ชีพคันเก่าที่ใช้ไปทำงาน สมาร์ทโฟนก็เอาไว้คุยทางไลน์กับเพื่อนฝูง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีการงานธุรกิจอะไรมากมายที่ต้องติดต่อสื่อสาร
และที่มีแทปเลตรุ่นล่าสุดแท้จริงก็ไม่จำเป็นเพราะใช้สมาร์ทโฟนแทนได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ
เพราะมันกลายเป็นเครื่องบ่งชี้สถานะของเราในสังคมไปเสียแล้วครับ
และที่จะโหลดดูหนังฟังเพลงก็เป็นเพียงบางครั้งที่พอจะมีเวลาเท่านั้น
ที่แย่ยิ่งกว่านี้ กลับมาคิดได้ว่า ตอนแรกเราอยากจะเป็นเจ้าของสิ่งมีค่า ทันสมัย
และ หรูเลิศเหล่านี้ แต่ ณ
วันนี้เรากลับต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะหาเงินมาผ่อนสิ่งของที่เราอยากมี
อยากได้ อยากเป็นเจ้าของ ที่แย่เอามาก ๆ
คือ สิ่งเหล่านี้มันกำลังเข้ามาเป็นเจ้าของชีวิตเรา มันเข้ามาครอบงำบงการชีวิตของเราเสียแล้ว
ไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะในแต่ละวัน
แต่ที่ต้องทำเงินให้ได้ก็เพราะต้องเอามาผ่อนสิ่งที่อยากได้ใคร่เป็นเจ้าของ
แล้วยังต้องหาเงินมาชดใช้เงินที่ใช้ไปล่วงหน้าทางบัตรเครดิต เหนื่อยนะครับ ใครว่าไม่เหนื่อย หลายคืนทำให้นอนไม่หลับ บางคืนหลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นเพราะใบทวงหนี้ที่เราไม่สามารถจ่ายตามกำหนด
จริงเลยครับ
ของพวกนี้กำลังเข้ามาครอบงำเป็นเจ้าของชีวิตของเราเสียแล้ว!
ใช่สินะ เรากำลังสร้างชีวิตของเรา สร้างคุณค่าของเรา
ด้วยวัตถุสิ่งของเหล่านี้
แต่เอาเข้าจริงเรากลับไม่มีเวลาที่จะใช้สิ่งเหล่านี้อย่างสมค่าราคา และ
ได้ความสุขจากมันอย่างที่คาดคิด
แต่กลับเป็นทุกข์เพราะตกเป็นทาสของมัน! (ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะได้เงินไปจ่ายค่างวด)
ในฐานะคริสตชน มีหลักคิดหลักเชื่อในเรื่องนี้ดังนี้ครับ
1. คริสตชนต้องรู้ว่า
อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่แท้จริง
พระเยซูคริสต์ตั้งคำถามถามคนในสมัยของพระองค์ และถามเราคริสตชนในปัจจุบันว่า “...ถ้า(ท่าน)ได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? ...คนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?”
(มัทธิว 16:26) ในทัศนะของพระคริสต์ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด
เพราะไม่มีวัตถุสิ่งของประการใดที่จะนำมาแลกเอาชีวิตคืนมาได้
พระเจ้าประทานชีวิตแก่เราซึ่งเป็นของประทานที่มีค่าสูงสุดจากพระองค์
แล้วพระองค์ประทานวัตถุสิ่งของเพื่อรับใช้มนุษย์ในการดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์
คริสตชนต้องระมัดระวังครับ
อย่าให้วัตถุสิ่งของเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือชีวิตของเรา นอกจากมันจะทำให้เราตกเป็นทาสของมันแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็น “รูปเคารพ”
ในชีวิตของเราด้วย “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก
ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” (1ยอห์น 2:15)
ในการรับใช้พระเจ้า
ในการเลี้ยงดูฟูมฟักชีวิตประชากรของพระองค์ เราจะต้องรับใช้ตามพระประสงค์พระเจ้า มิใช่รับใช้ด้วยเพราะเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง “จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน
โดยเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ
ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยใจโลภในทรัพย์สิ่งของ
แต่ด้วยใจกระตือรือร้น” (1เปโตร 5:2 มตฐ.)
2.
คริสตชนต้องใช้วัตถุเงินทองให้เกิดคุณค่าแก่ชีวิตชุมชน
คำถามที่สำคัญคือ
คริสตชนจะใช้วัตถุสิ่งของและเงินทองที่พระเจ้าประทานแก่เราอย่างไร? ในสมัยคริสตจักรเริ่มแรกในพระธรรมกิจการ
ผู้เชื่อได้ใช้ทรัพย์สินสิ่งของที่ตนมีค้ำจุนหนุนเสริมชุมชนผู้เชื่อให้สามารถอยู่รอดร่วมด้วยกัน “...พวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น” (กิจการ 2:45) “คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง”
(กิจการ 4:33 มตฐ.)
คุณค่าของทรัพย์สินสิ่งของเกิดจากการใช้สิ่งของที่มีด้วยน้ำใจที่แบ่งปัน
เอื้ออาทรต่อกัน และที่สำคัญคือ
การแบ่งปันเกื้อหนุนกันนั้นไม่มีสิ่งเคลือบแฝง
(อย่างการสร้างอิทธิพลแบบประชานิยม)
แต่กระทำด้วยความรักที่เสียสละแบบพระคริสต์ เปาโลกล่าวเรื่องนี้ไว้ว่า “แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ
แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า” (1โครินธ์
13:3)
ดังนั้น
การใช้ทรัพย์สินสิ่งของให้เกิดคุณค่านั้นเป็นการใช้ด้วยจิตใจที่รักเมตตา
และ เสียสละแบบพระคริสต์ที่แบ่งปันเอื้ออาทรต่อกัน
3. กลับใจใหม่ หัวใจใหม่
ท่าทีใหม่ในการใช้ทรัพย์สินเงินทอง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาศักเคียสหาทางกอบโกยเงินทองจากการเป็นคนเก็บภาษี เขาสะสมสร้างความมั่งคั่ง แต่เมื่อพระคริสต์ทรงเข้าไปในบ้าน
ในชีวิตของเขา
ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง
และสิ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงคือ
เขาเปลี่ยนมุมมองต่อทรัพย์สินเงินทองที่เขามีอยู่ เขาใช้ทรัพย์สินเงินทองตามแบบความรัก เมตตา
และ เสียสละแบบพระคริสต์ “ส่วนศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า
ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง
และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” (ลูกา
19:8)
ศักเคียสใช้ทรัพย์สินเงินทองตามระบบคุณค่าและคุณธรรมในแผ่นดินของพระเจ้า
แล้วปัจจุบันเราใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราตามระบบคุณค่าและคุณธรรมของใคร?
พระเยซูคริสต์สอนให้เราใช้ทรัพย์สินเงินทองที่เราได้รับ เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นคน “ดีพร้อม” รากศัพท์ของคำว่า “ชีวิตที่ดีพร้อม” คือการที่ดำเนินชีวิตตามแบบของพระบิดาที่ทรงเป็นผู้ที่ดีพร้อม
“เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม
เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว
5:48 มตฐ.)
และพระองค์ตรัสอีกว่า “....ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม
จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน
แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา” (มาระโก
10:22 มตฐ.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499