ใครคือผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักร? เขามีภาวะผู้นำแบบไหนถึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลในคริสตจักรได้?
ถ้าจะถามว่า
ในคริสตจักรสมัยเริ่มแรกในพระธรรมกิจการ
ใครคือผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักรสมัยนั้น?
ท่านคิดว่าเป็นใครกันครับ? ส่วนใหญ่แล้วคำตอบที่ผมได้คือ ไม่เปาโลก็เป็นเปโตร
และผมขอตั้งข้อสังเกตว่าทั้งสองมีลักษณะภาวะผู้นำแบบ “โปรแอ๊คติฟ” คนหนึ่งเป็นสาวกติดตามพระเยซูมาตลอดเวลาสามปี
เป็นสาวกที่โดดเด่นนำหน้าในกลุ่มสาวกเวลานั้น กับอีกคนหนึ่งที่เผชิญหน้ากับพระเยซูคริสต์ที่เขากำลังขจัดล้างผลาญเมื่อนำกองกำลังตามติดไล่จับไล่ฆ่าพวกที่เชื่อพระเยซูคริสต์ในเมืองต่างๆ แต่ก็ต้องยอมจำนนต่อพระเยซู เรียกว่า “โจรกลับใจ” ก็ว่าได้
แล้วกลายเป็นคนประกาศพระเยซูคริสต์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคย “ขยี้ด้วยอุ้งตีน”
ของเขาเอง
ใช่และก็ไม่แปลกครับที่คนส่วนใหญ่จะมองว่าผู้นำที่ทรงอิทธิพลจะต้องเป็นผู้นำที่
“เก่ง กล้า ท้า รุก” และเป็นผู้นำต้นแบบในหัวใจของคริสตชนหลายต่อหลายคน และถ้ามีการเลือกตั้งทีไรก็ได้ผู้นำประเภทนี้ที่ครองเสียงชนะเลือกตั้งเสียส่วนใหญ่?
แต่มีอีกคนหนึ่งในคริสตจักรสมัยพระธรรมกิจการทีทรงอิทธิพลแต่ผู้คนไม่ค่อยนึกถึง
มีบทบาทและเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างมากแต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
ถ้าคริสตจักรสมัยเริ่มแรกไม่มีผู้นำประเภทนี้แล้วผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า คริสตจักรจะออกมาในแบบไหนกันแน่?
เมื่อเปาโลยอมจำนนต่อพระคริสต์และพลิกพลังที่มีอยู่ในชีวิตกลับมาเป็นทาสรับใช้ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และมุ่งเป้าชัดเจนในการประกาศข่าวดีแก่คนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวที่อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป
ซึ่งเป็นการทำให้ชัดเจนว่าตนมีกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ซ้ำซ้อนกับอัครทูตในเวลานั้นที่ทุ่มการประกาศเรื่องพระเยซูกับคนในกรุงเยรูซาเล็มและปริมณฑล
อย่างไรก็ตาม
แม้เปาโลออกประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างเปิดเผย ผู้คนในสังคม สาวก
และอัครทูตในเวลานั้นต่างสงสัยไม่ไว้วางใจถึงการที่เปาโลกลับใจเปลี่ยนขั้วมาอยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ และมองว่านี่คงเป็นกลลวงหลอกล่อให้ผู้เชื่อพระเยซูตายใจ จนเขาสามารถเข้าไปล้วงลูกลึกถึง “รัง”
ของผู้เชื่อในเวลานั้น
แล้วจะได้ทำลายล้างให้สิ้นซาก
ดังที่หมอลูกาบันทึกไว้ว่า “20...(เซาโล)ท่านก็ไม่ได้รีรอ
ท่านเริ่มประกาศเรื่องพระเยซูตามธรรมศาลาต่างๆ ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
21
คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจพูดกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำร้ายผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่อธิษฐานออกพระนามนี้?
และเขามาที่นี่ก็เพื่อจับพวกนั้นส่งให้พวกหัวหน้าปุโรหิตไม่ใช่หรือ?” (กิจการ 9:21-22 มตฐ.) และ “เมื่อเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว
ท่านพยายามจะเข้าร่วมกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว
เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก” (9:26)
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าความสงสัย ไม่ไว้วางใจ
และกลัวเซาโลยังมีอยู่เช่นนี้ต่อไป?
แน่นอนว่า พวกสาวกในเยรูซาเล็มและอัครสาวกก็จะกีดกัน ปฏิเสธที่จะพบและร่วมงานกับเปาโล
ในไม่ช้าคริสตจักรในสมัยเริ่มแรกคงแตกเป็นสองพวกสองนิกาย พวกหนึ่งเป็นคริสตจักรของอัครทูตของพระเยซูคริสต์
อีกพวกเป็นคริสตจักรของเปาโลที่เน้นกลุ่มเป้าหมายคือคนต่างชาติท้าวต่างแดน
ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์
พระองค์ทรงใช้บารนาบัสในการสริมสร้างประสานความไว้วางใจที่ขาดสะบั้นเพราะพฤติกรรมของเซาโลที่ผ่านมา
และการคิดแต่จะปกป้องตนเองของพวกสาวกและอัครทูตจากการถูกเข่นฆ่าข่มเหง
บารนาบัส
ที่มีชื่อว่า โยเซฟ เป็นคนในเผ่าเลวีที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เกาะไซปรัส เป็นสาวกที่เชื่อในพระเยซูคริสต์คนหนึ่ง เป็นคนที่อัครสาวกไว้เนื้อเชื่อใจ และยังตั้งสมญานามว่า “บารนาบัส”
ซึ่งมีความหมายว่า “ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ” (กิจการ 4:36) และเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ขายที่ดิน(ที่เกาะไซปรัส)แล้วนำเงินที่ได้มามอบให้อัครทูตเพื่อใช้ในการจุนเจือความอยู่รอดของคริสตชนในเยรูซาเล็มในเวลานั้น
(ข้อ 37)
หมอลูกาบันทึกว่า “27
แต่บารนาบัสพาท่าน(เซาโล)ไปหาพวกอัครทูต
และเล่าให้พวกเขาฟังว่าเซาโลเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ตรัสกับท่านระหว่างทางอย่างไร
และท่านประกาศออกพระนามพระเยซูด้วยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัสอย่างไร 28
แล้วเซาโลจึงได้เข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครทูตในกรุงเยรูซาเล็ม” (กิจการ 9:27-28 มตฐ.)
นี่คือจุดหักเหที่พลิกผันของคริสตจักรในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน พระเจ้าทรงใช้ภาวะผู้นำของบารนาบัสเข้ามาเชื่อมประสานให้อัครทูตรู้ถึงข้อมูลความจริง ให้การเปิดใจ
แล้วนำสู่ความไว้วางใจกัน
ยอมรับกันและกัน เพื่อรับใช้พระเยซูคริสต์ร่วมกัน
บารนาบัสมิใช่ผู้นำแบบ “จู่โจมเพื่อเอาชนะ” หรือ
ผู้นำแบบ “ตั้งรับเพื่อความปลอดภัย”
แต่...บารนาบัสเป็นผู้นำที่ “สร้างสะพานเชื่อมประสานพลังการรับใช้”
ของคริสตจักรในเวลานั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
นี่คือภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักร! คริสตจักรและหน่วยงาน สถาบันคริสตชนของเราต้องการผู้นำแบบนี้ครับ ผู้นำแบบนี้ไม่เด่นไม่ดัง
แต่เขาเป็นคนที่เสริมสร้างและเอื้ออำนวยให้คนอื่นได้ใช้ภาวะผู้นำที่โดดเด่นของตนอย่างสร้างสรรค์
ประสานเชื่อมสัมพันธ์พลังการรับใช้ให้หนุนเสริมกัน
ผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เขาจะเสริมสร้างคนอื่นให้มีภาวะผู้นำที่สร้างสรรค์ สร้างให้คนเหล่านั้นเป็นผู้นำที่เปิดใจรับคนขั้วตรงกันข้าม
สร้างให้ผู้นำเหล่านั้นได้เรียนรู้เท่าทันความจริงของแต่ละฝ่าย แล้วเชื่อมประสานให้เกิดความไว้วางใจกันแทนความสงสัยและใจคับแคบ
เป็นผู้เชื่อมให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหันหน้ามาร่วมพลังในการทำงานรับใช้พระคริสต์ เมื่อทุกอย่างสามารถดำเนินไปด้วยดีผู้นำที่ทรงอิทธพลแบบนี้จะไม่ฉวยโอกาสเข้าไปรับเกียรติประโยชน์
หรือ ตำแหน่งใดๆ ในคริสตจักร แต่เขามุ่งทำหน้าที่เป็น
“สะพาน” ในความขัดแย้งด้วยสุขุมสงบ
นี่คือผู้นำที่ดำเนินบนรากฐานแห่ง “พระคุณ”
ของพระเยซูคริสต์
เป็นผู้นำที่คริสตจักรของเราต้องการในเวลานี้ครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น