29 เมษายน 2553

ความยิ่งใหญ่คือการรับใช้

ท่านผู้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้า...
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่นี่
พระองค์รอคอยท่าน
พระองค์รอการเรียกใช้จากท่าน
พระองค์อยู่ท่ามกลางท่านในฐานะ...
คนรับใช้
คนถ่อม
คนที่บริสุทธิ์และ
คนที่ศักดิ์สิทธิ์
พร้อมที่จะรับใช้และรับคำสั่งจากท่าน

ท่านจงจำไว้ว่าการรับใช้คือคุณภาพสูงสุดของความยิ่งใหญ่
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งสามารถที่จะออกคำสั่งสากลจักรวาล
พระองค์ยังรอคอยคำสั่งจากท่านที่เป็นลูกๆ ของพระองค์
ท่านจงนำความยิ่งใหญ่แบบพระองค์เข้าไปในทุกมิติชีวิตของท่าน

ท่านจะพบกับความปีติชื่นชม
เมื่อท่านสนทนากันถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อท่านมุ่งหน้าชีวิตไปสู่เบื้องบน
จงให้ใจของท่านถ่อมสุภาพ และ ให้จิตของท่านโน้มลง

จงเรียนรู้ว่า
ไม่ใช่เป็นผู้มีตำแหน่ง
แต่เป็นเพียงคนรับใช้

ภรรยาของเศเบดี
พาลูกชายทั้งสอง(ยากอบและยอห์น)มาขอตำแหน่งซ้าย-ขวาจากพระเยซู
สร้างความไม่พอใจแก่สาวกคนอื่นๆ

พระเยซูตรัสว่า...
“ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า
ผู้ปกครองของคนต่างชาติเป็นเจ้าเหนือเขา และ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา

แต่สำหรับท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม
ใครอยากเป็นใหญ่ในพวกท่านต้องรับใช้ท่าน และ
ผู้ใดใคร่เป็นเอกต้องยอมเป็นทาสของท่าน
เหมือนกับบุตรมนุษย์ มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ
แต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนเป็นอันมาก”
(อมตธรรม, มัทธิว 20:24-28)

27 เมษายน 2553

หยิ่งยโส...เครื่องขวางทางชีวิต

การเชื่อฟังเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขเข้าสู่เส้นทางแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
ดังนั้น จงรักและเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า...

ไม่มีใครที่จะเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าได้...โดยที่ไม่รู้จักความรักของพระองค์
เพราะการรู้จักความรักของพระองค์...ทำให้เราตอบสนองต่อความรักของพระองค์
การตอบสนองต่อความรักของพระองค์...ทำให้เรามีประสบการณ์ตรงกับพระองค์
ประสบการณ์ที่เราได้สัมผัสกับความรักของพระองค์...นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีในชีวิต
ความชื่นชมยินดีในชีวิต...ทำให้เราเต็มใจเป็นผู้ให้ความรักแก่คนรอบข้าง
นี่คือการขจัดความหยิ่งยโสไม่ให้มีโอกาสมาครอบงำในชีวิตของเรา

เส้นทางนำสู่การเชื่อฟังนั้นเป็นเส้นทางที่ขรุขระ
บนเส้นทางนี้จะขัดเกลาความเชื่อฟังของเรา
ขัดเกลาชีวิตของเราอย่างที่ขัดและตัดแต่งชิ้นหินที่หยาบให้เรียบ งาม ละมุน
ขัดเกลาให้ชีวิตในส่วนต่างๆ ของเรา...
เกิดความชื่นชมยินดี
เกิดความรัก และ
ความงาม
ที่ใช้ปูไปบนเส้นทางที่ผู้คนจะใช้เดินไปสู่แผ่นดินของพระเจ้า

เส้นทางแห่งการเชื่อฟังเป็นเส้นทางนำไปสู่สัมพันธภาพที่สนิทแนบยิ่งขึ้นกับพระคริสต์
เพื่อพระคริสต์อยู่ที่ไหน เราจะได้อยู่ที่นั่นกับพระองค์
เพื่อเราอยู่ที่ไหนพระองค์ก็อยู่ด้วยกับเราในทุกที่
ทุกที่ที่พระคริสต์อยู่ด้วยคือแผ่นดินของพระเจ้า...เป็น “บ้าน” ที่เราอยู่กับพระองค์
คนรอบข้างที่เราสัมผัสสัมพันธ์ด้วยก็จะได้ลิ้มรสแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

แผ่นดินของพระเจ้าอาจจะอยู่ในที่โกโรโกโสของสลัม หรือ ที่ราชวังก็ได้
พระคริสต์ทรงสร้าง “บ้าน” ในหัวใจที่ถ่อมสุภาพ
พระองค์อาศัยอยู่กับคนที่ถ่อมเท่านั้น
ความหยิ่งยโสเป็นยามที่ยืนขวางประตูใจปิดกั้นไม่ให้พระคริสต์ผู้ถ่อมและต่ำต้อยเข้าไปได้

25 เมษายน 2553

พระพรวันนี้

องค์พระผู้เป็นเจ้า...
วางพระหัตถ์แห่งความรักของพระองค์ อวยพระพรเหนือชีวิตของท่าน
ท่านจงรอคอยพระองค์ด้วยความไว้วางใจ และ
เฝ้าคอยจนกว่าท่านจะรู้สึกถึงการทรงสัมผัสที่นุ่มนวล และ
ในขณะที่ท่านกำลังรอคอย...
ความกล้าหาญและความหวังจะงอกขึ้นในชีวิตของท่าน และ
พลังจากพระหัตถ์จะแผ่ซ่านเข้าสู่ทุกอณูในชีวิตของท่าน
ด้วยความอบอุ่นแห่งพระหัตถ์ของการสถิตอยู่ด้วยของพระเป็นเจ้า

ท่านจงละสิ่งทั้งหลายในวันนี้

ท่านจงปล่อยวางการเกาะยึดโลกนี้ไว้
ไม่ว่าจะเป็นความอยาก
ความวิตกกังวล หรือ
ความชื่นชมยินดีแห่งโลกนี้

ท่านจงคลายมือของท่านออก
ผ่อนคลายในชีวิตของท่าน และ
เมื่อนั้นความชื่นชมยินดีของวันนี้จะเข้ามาในชีวิต

ท่านจงละวางความคิดเกี่ยวกับอนาคตและการติดยึดในอดีตของชีวิต
จงสละละมือจากทุกอย่างเพื่อจะรับความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตจิตวิญญาณของพระพรวันนี้

บ่อยครั้งนักที่มนุษย์ร้องเรียกหาพระพร
แต่มือทั้งสองข้างของเขากอดรัดทรัพย์สมบัติแห่งโลกนี้จนแน่นและเต็มมือ
จนไม่มีมือว่างที่จะรับพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ยื่นให้เขาด้วยความรัก

วันนี้เป็นเวลาอันน่าอัศจรรย์ใจในรอบปี
เพราะเป็นเวลาที่ท่านจะรับเอาพระพรเข้าในชีวิตของท่าน และ
เป็นเวลาที่ท่านพึง สละ อุทิศ ถวายทุกสิ่งเพื่อพระพรนั้น

20 เมษายน 2553

พระราชกิจแห่งการเตรียม...

1ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเริ่มต้นตรงนี้ 2ในพระธรรมอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะมีเขียนไว้ว่า “เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ 3เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมมรรคาแห่งพระเป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป” (มาระโก 1:1-3)

พระเจ้าทรงมีแผนการในพระราชกิจของพระองค์
ในแผนงานของพระองค์ทรงมีเวลาที่กำหนดของพระองค์เอง
พระองค์ทรงเลือกและใช้คนที่จะเตรียมสำหรับแผนการใหม่ในพระราชกิจของพระองค์
ทุกวันนี้ พระเจ้าทรงเลือกและใช้ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์

ให้เตรียมความพร้อมสำหรับ “การงอก” ขึ้น และ “การเติบโตขึ้น”
ของเมล็ดแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของผู้คนหลากหลาย

วันนี้ พระองค์ทรงเรียกท่านให้ทำหน้าที่ “ผู้เตรียม...”
ในสังคมล้อมรอบตัวท่านไม่ว่าจะเป็น...
ในครอบครัว
ในที่ทำงาน
ในชุมชน
ในกลุ่มเพื่อนฝูง หรือแม้แต่
ในคริสตจักร และ
ในทุกที่ที่ท่านไปและท่านอยู่...

ยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ได้ใช้ทั้งชีวิตของท่าน ทำหน้าที่ผู้เตรียมพระมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านเตรียมชีวิตคนเหล่านั้น
ให้สำรวจการดำเนินชีวิตตนเอง
ให้หันกลับมาหาพระเจ้า
ให้รับการทรงยกโทษความผิดบาปจากพระองค์
ให้รับบัพติศมา
ให้สำแดงผลของการกลับใจใหม่ออกมาในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทั้งสิ้นนี้ ยอห์น กระทำเพื่อเป็นการเตรียมประชาชนในเวลานั้นที่จะรับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเตรียมชีวิตประชาชน
ท่านเตรียมด้วยการกระตุ้น ปลุกความคิด จิตสำนึกของประชาชน
ท่านกระตุ้นให้แต่ละคนต้องกลับมาสำรวจพิจารณาชีวิตของตนเอง
จนประชาชนหลายกลุ่มต่างถามท่านว่าเขาควรทำอย่างไร?
ท่านเปิดโอกาสให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือก
ท่านให้บัพติศมา เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการมีชีวิตที่ยอมและพึ่งพิงในพระเจ้า

ท่าทีของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในการเป็นผู้เตรียมทางชีวิตประชาชน...

ยอห์น...เป็นเสียงร้องในถิ่นทุรกันดาร
เป็นสียงท่ามกลางชีวิตที่แห้งแล้ง เปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยว
ที่ประชาชนคนธรรมดา คนยากจน คนสิ้นหวังได้คำตอบ
แต่ก็เป็นเสียงที่คนอยู่ในที่อุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความสะดวกสบายกลับให้ความสนใจ
เป็นเสียงที่ผู้มีอำนาจ มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง ต้องให้ความสนใจ
เป็นเสียงที่กระเทือนอำนาจทางการเมืองในเวลานั้น

ยอห์น...ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
เรียบง่ายที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตในถิ่นทุรกันดาร
เรียบง่ายในการแต่งกาย
เรียบง่ายในอาหารการกิน
เรียบง่ายในที่พักหลับนอน
เรียบง่ายในภาษาที่ใช้
เรียบง่ายในความสัมพันธ์
เรียบง่ายในการรับใช้

ยอห์น...ทำงานรับใช้โดยไม่อาศัยตำแหน่ง, หน้าตา, อำนาจ, ความทันสมัย, พลังเงินทอง, และพรรคพวกลิ่วล้อ
แต่ท่านทำงานผ่านชีวิตประจำวันของท่าน
สิ่งที่ท่านเป็นและท่านทำเป็นการกระตุกต่อมสนใจของผู้คน
สิ่งที่ท่านพูด กระตุ้นให้ผู้ได้ยินได้ฟังต้องฉุกคิดใหม่
สิ่งที่ท่านอธิบายเข้าใจง่ายเกิดความกระจ่างในความเข้าใจ และ พิจารณาตรวจสอบตนเอง
สิ่งที่ท่านถามทำให้ผู้คนต้องตัดสินใจ

ยอห์น...รับใช้ด้วยความศรัทธา สัตย์ซื่อ และสัจจะ
ท่านตอบคำถามของผู้มีอำนาจ มีเงินมีทอง มีตำแหน่ง
ด้วยศรัทธา ด้วยสัจจะ และด้วยใจสัตย์ซื่อ
ผู้นำทางศาสนาออกมาหาท่านในถิ่นทุรกันดาร
ผู้นำการเมืองมาขอคำแนะนำจากท่าน
ผู้นำทหารมาขอหลักปฏิบัติในชีวิตของตน
ท่านคัดค้านการกระทำของกษัตริย์เฮโรด
เพราะความศรัทธา สัตย์ซื่อ และถือสัจจะของยอห์น
เฮโรดจึงนับถือท่าน แม้ต้องจำจองท่านในคุก

ยอห์น...สำนึกเสมอว่า ตนคือผู้เตรียมทางชีวิตของประชาชนเพื่อพระคริสต์
ยอห์นสำนึกเสมอว่า ตนมิใช่ผู้ที่จะให้ความรอดได้ มีแต่พระคริสต์เท่านั้น
ยอห์นเตรียมสาวกเพื่อส่งต่อให้เขาเหล่านั้นติดตามพระคริสต์
ยอห์นสำนึกชัดเจนว่า ตนจะไม่ “ฉกฉวย” “กล่าวอ้าง” ว่าตนเป็นผู้ทำให้สำเร็จ
ไม่สร้างอำนาจ ความยิ่งใหญ่ ความมั่นคง ชื่อเสียงเกียรติยศ
พรรคพวก และผลประโยชน์แห่งตน
บนความสำเร็จในพระราชกิจแห่งการเตรียม...

เมื่อพระเยซูทำพระราชกิจของพระองค์ มีคนจำนวนมากติดตามพระองค์ และรับบัพติศมาจากพระองค์ ถึงขนาดสมาชิกสภาผู้ปกครองแห่งชาติของยิวคนหนึ่งในตอนนั้นเข้ามาพบพระเยซูเป็นการลับ(ในเวลากลางคืน) ทำให้เกิดการถกเถียงกันระหว่างกลุ่มสาวกของยอห์นกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะในเวลานั้น ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็กำลังให้บัพติศมาแก่ผู้คนจำนวนมาก เพียงแต่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ (ยอห์น 3:1-36)

กลุ่มสาวกของยอห์นนำเรื่องนี้มาเล่าให้ยอห์นฟัง เพราะกำลังรู้สึกว่า กลุ่มของพระเยซูกำลังเป็น “คู่แข่ง” สำคัญของยอห์น ถึงขนาดมีการพบกันเป็นการลับระหว่างพระเยซูกับสมาชิกสภาผู้ปกครองแห่งชาติของยิว แต่คำตอบของยอห์นกลับให้ความกระจ่างชัดเจนว่า “พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนเราต้องด้อยลง” (ยอห์น 3:30, IBS) “พระองค์ผู้เสด็จมากจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง” (ข้อ 31) ยอห์นสำนึกเสมอว่าตนคือผู้ที่ร่วมในพระราชกิจแห่งการเตรียมชีวิตประชาชนสำหรับพระคริสต์ ตนเองไม่มีความยิ่งใหญ่ใดๆ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ทำร่วมในพระราชกิจแห่งการเตรียม...นี้

เป็นการทรงเรียกให้ทำในชีวิตประจำวันของตนเพื่อพระคริสต์

ในวันนี้ ขอภาวนาอธิษฐาน ให้การดำเนินชีวิตของเรา...
ช่วยให้ผู้คนรอบข้างที่เราพบปะ สัมผัส สัมพันธ์
ได้เห็นท่าทีของเรา
ได้ยินน้ำเสียงของเรา
ได้สัมผัสกับสัมพันธภาพของเรา
ได้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ จริงใจ และศรัทธาของเรา
ที่คนเหล่านั้นจะเกิดความพร้อมยิ่งขึ้นที่จะรับเอาเมล็ดแห่งชีวิตของพระคริสต์เข้าในชีวิตของตน

18 เมษายน 2553

ความกลัวคือความชั่ว

เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว
มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า ฮีบรู 13:6

ในความรักนั้นไม่มีความกลัว

แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย 1ยอห์น 4:18

อย่ากลัวเลย
ความกลัวนั้นเป็นความชั่ว และ
“ความรักแท้ย่อมขจัดซึ่งความกลัว”

ในหัวใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่จะไม่มีที่ว่างสำหรับความกลัว
ความกลัวทำลายซึ่งความหวัง
ดังนั้น ความกลัวจะอยู่ไม่ได้ในที่ที่ซึ่งมีความรัก หรือ ในที่ที่ซึ่งมีความเชื่อศรัทธา

ความกลัวเป็นคำสาปแช่งของโลกนี้
มนุษย์กลัวความยากจน
กลัวความว้าเหว่
กลัวตกงาน
กลัวความเจ็บป่วย
กลัวอนาคต

มีมากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่มนุษย์กลัว
ชนชาติหนึ่งกลัวอีกชนชาติหนึ่ง
คนกลุ่มหนึ่งกลัวอีกกลุ่มหนึ่ง
กลัว กลัว กลัวในทุกที่

การต่อสู้กับความกลัวเป็นเหมือนการต่อสู้กับโรคระบาด
จงขับมันออกจากชีวิตของท่าน
สู้กับมันทั้งส่วนตัวและร่วมกันสู้
อย่าเปิดโอกาสให้ก่อเกิดความกลัวเพราะเท่ากับท่านเข้าไปผูกพันกับมัน
กลัวที่จะถูกลงโทษ กลัวที่จะถูกกล่าวหา
กลัวจะถูกเข้าใจผิด
กลัวจะถูกหักหลัง

ความกลัวไม่มีส่วนในงานใดๆ ทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงขับความกลัวออกไป
เพราะมีทางที่ดีกว่าการใช้ความกลัวในชีวิตของท่าน
จงขอจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแสดงให้ท่านเห็น

13 เมษายน 2553

เติบโตเยี่ยงพระคริสต์

...เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด
ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น 2 โครินธ์ 12:10
...เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น”
เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า
เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 2 โครินธ์ 12:9


ท่านจงคิดและใคร่ครวญถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้มุ่งมองไปยังที่พระองค์บ่อยๆ
แล้วท่านจะเติบโตเยี่ยงพระองค์โดยไม่รู้สึกตัว

ท่านอาจจะไม่เคยประสบสิ่งนี้มาก่อนคือ
เมื่อเข้าใกล้ชิดองค์พระผู้เป็นเจ้ามากแค่ไหน
ท่านก็จะเห็นว่าตนเองแตกต่างจากพระองค์มากขึ้นเท่านั้น
นั่นจะไม่ทำให้ท่านหมดกำลังใจและท้อถอย
แต่ท่านจงมั่นใจเถิด
เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจในชีวิตของท่าน

ความรู้สึกอย่างลุ่มลึกถึงความล้มเหลวของตนนั้น
เป็นหมายสำคัญอันเด่นชัดที่แสดงว่าท่านได้เติบโตเหมือนพระคริสต์มากขึ้น และ
ยิ่งถ้าท่านปรารถนาที่จะช่วยนำคนอื่นเข้ามาหาพระองค์
เมื่อนั้นความปรารถนาในคำอธิษฐานก็ได้รับคำตอบ

โปรดจำไว้ด้วยว่า
การต่อสู้เท่านั้นที่นำความเจ็บปวดมาสู่ชีวิต
ในความเกียจคร้านทั้งด้านจิตวิญญาณ จิตใจ และ ร่างกาย
จะไม่มีความรู้สึกถึงความล้มเหลว หรือ ความรู้สึกไม่สะดวกสบาย
แต่ด้วยการกระทำ ด้วยความพยายาม อย่างน้อยในตอนแรก
ท่านจะรู้สึกถึงความอ่อนแอมิใช่ความเข้มแข็งก็ตาม
นี่เป็นหมายสำคัญแห่งของชีวิตท่าน
เป็นการเติบโตทางจิตวิญญาณของท่าน

โปรดจำไว้ว่า
พลังอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำแดงผลเต็มที่ในความอ่อนแอของท่าน

11 เมษายน 2553

มองด้วยสายพระเนตรของพระคริสต์

ท่านที่รัก จงเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า
การสัมพันธ์สัมผัสกับพระองค์เป็นยารักษาความป่วยไข้ทั้งหลายในชีวิตของท่าน

จงจำไว้ว่า สัจจะความจริงนั้นมีหลายด้าน
จงมีใจรักที่อ่อนโยนและจงอดทนต่อผู้ที่ไม่เห็นสัจจะอย่างที่ท่านเห็น
“ท่านแสดงใจอดทนนานด้วยความรักต่อคนเขลาและคนหลงผิดได้
เพราะท่านเองก็มีความอ่อนแอเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน” ฮีบรู 5:2

การที่ท่านสามารถแยกแยะความจริงในชีวิตของท่าน
ย่อมเป็นกุญแจนำไปสู่ความบริสุทธิ์และสันติสุข และ
การที่ท่านแยกแยะได้นั้นก็ด้วยการช่วยเหลือขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงมีต่อท่าน
จงเรียนรู้จากชีวิตของพระองค์มากยิ่งขึ้น
ดำเนินชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
ดำเนินชีวิตเยี่ยงแบบอย่างของพระองค์
ดั่งตัวอย่างเช่น...

องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตรัสในสวนเกธเสมนีว่า
“ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไปจากข้าพระองค์”
พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า
ไม่มี “ถ้วย” แห่งความทุกข์โศกที่จะต้องดื่ม

องค์พระผู้เป็นเจ้าถูกเฆี่ยน ถ่มน้ำลายรด แล้วถูกตรึงบนกางเขน และ
บนกางเขนพระองค์ตรัสว่า
“พระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดยกโทษเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร”
พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า
พวกเขาไม่ได้กระทำผิดอะไร

เมื่อเปโตร สาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า แนะนำให้พระคริสต์หนีไปจากกางเขน
พระองค์ตรัสตอบว่า
“ซาตาน เจ้าจงถอยออกไป”

เมื่อสาวกของพระเยซูคริสต์ไม่สามารถที่จะรักษาเด็กที่เป็นลมบ้าหมู
พระองค์ตรัสว่า
“ผีเช่นนี้จะขับออกไม่ได้นอกจากการอธิษฐานและอดอาหารเท่านั้น”
พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า
เจ้านึกไปเองว่าเด็กนั้นไม่สบาย ไม่มีอะไรผิดปกตินี่

เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า
พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว” (ฮาบากุก 1:13)
นั่นหมายความว่า พระเจ้าจะไม่ใส่ร้ายประชากรของพระองค์
พระเจ้าทรงเห็นสิ่งดีในประชากรของพระเสมอ
แต่จงจำไว้ว่า
“ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้วก็กันแสงสงสารกรุงนั้น”(ลูกา 19:41)

พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมนุษย์...
ด้วยสายพระเนตรที่เห็นสัจจะความจริง
ผ่านทะลุพระทัยที่เมตตากรุณา
ทุกคน จึงได้รับโอกาสใหม่
โอกาสใหม่ที่ทุกคน จะสามารถสะท้อนคุณค่า ความหมายอีกครั้งหนึ่ง
โอกาสใหม่ที่ทุกคน จะพบสิ่งใหม่จากความเจ็บปวด เลวร้าย สิ้นหวัง
โอกาสใหม่ที่มิได้ขึ้นอยู่กับความดี ความถูกต้องของผู้คน
แต่เป็นโอกาสใหม่ที่มองด้วยใจ อย่างพระคริสต์ทรงทอดพระเนตร

08 เมษายน 2553

ชีวิตที่สะท้อนสัจจะของพระคริสต์

ท่านที่รัก... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างท่าน
จงให้จิตวิญญาณของท่านเข้าใกล้พระองค์
แล้วจงปิดกั้นสิ่งต่างๆ แห่งโลกนี้ที่ทำให้จิตใจของท่านวอกแวก ไขว้เขว
พระองค์ทรงเป็นชีวิตของท่าน เป็นลมปราณแห่งชีวิตจิตวิญญาณของท่าน
ท่านจงเรียนรู้ที่จะปิดกั้นตนเองให้อยู่ในที่ลับลี้แห่งชีวิตของท่าน
อันเป็นที่ลับลี้ของพระเจ้าและของท่านด้วยกัน

เป็นความจริงที่จิตใจขององค์พระผู้เป็นเจ้ารอคอยคนทั้งหลาย
แต่มีน้อยคนนักยอมดึงตนเองออกจากชีวิตแห่งโลกนี้เข้าไปในที่ลับลี้
เพื่อมีชีวิตเข้าใกล้ชิดสนิทแนบกับพระองค์
จิตวิญญาณอยู่ที่ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่นั่น
มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจความจริงข้อนี้
แท้จริงแล้วพระองค์อยู่ในแกนกลางชีวิตของมนุษย์ทุกคน
แต่เพราะมนุษย์มีชีวิตที่วอกแวก ไปสัมพันธ์เกาะยึดในทรัพย์สิ่งของแห่งโลกนี้
ดังนั้น เขาจึงหาพระองค์ไม่พบ

องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังบอกสัจจะความจริงแก่ท่าน
จงสะท้อนสัจจะความจริงนั้นผ่านชีวิตของท่านให้คนรอบข้างได้เห็น
มิใช่ด้วยการพูดซ้ำซากถึงข้อเท็จจริง
จงกระทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสแก่ท่าน
ไตร่ตรองครุ่นคิดสิ่งพระองค์ทรงบอกท่าน
มิใช่ด่วนสรุปตามความคิดของท่านเอง
แต่จงให้สัจจะความจริงของพระองค์ซึมลึกเข้าไปในทุกอณูแห่งชีวิตของท่าน

ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา
มนุษย์ช่างกระตือรือร้นที่จะบอกถึงความคิดของเขาเกี่ยวกับสัจจะความจริงของพระเจ้า
เกี่ยวกับการกระทำของพระองค์อย่างผิดพลาดเสียหายและน่าเศร้าใจ
จงฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ได้ยิน
สนทนาสื่อสารกับพระองค์ และ
มีชีวิตที่สะท้อนให้ผู้คนได้เห็นสัจจะความจริงของพระองค์
อย่าพยายามที่จะพูดที่จะบอกหรือที่จะสอนว่าท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
คำพูดหรือพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ใครช่วยอธิบาย
พระองค์ทรงสามารถที่จะอธิบายให้กับจิตใจแต่ละดวงให้เข้าใจได้ด้วยพระองค์เอง

แต่ท่านจงสะท้อนสำแดงให้สัจจะความจริงของพระองค์เป็นรูปธรรมที่คนอื่นเห็นและสัมผัสได้
ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นธุระความรับผิดชอบของพระองค์
การนำจิตวิญญาณสักดวงหนึ่งให้มาพบองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นงานที่สำคัญยิ่งใหญ่
แต่การที่พยายามที่จะอธิบายตีความเกี่ยวกับพระเจ้าอาจจะทำให้งานใหญ่เกิดความเสียหายได้
ดังนั้น การที่จะให้ใครคนใดรู้และเข้าใจถึงพระเจ้านั้นเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และ
เมื่อเขามีคำถามในด้านจิตวิญญาณ
พระเจ้าผู้ทรงสร้างเขาและเป็นองค์พระวิญญาณที่แท้จริงที่รู้และเข้าใจในเรื่องนี้
จะเป็นผู้อธิบายความหมายแก่เขาเอง

06 เมษายน 2553

กางเขนของท่าน…

ระลึกไว้เสมอว่า
ท่านเป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น
ท่านมิใช่ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะทำพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร
พระองค์ได้ทรงกำหนดแผนเหล่านั้นไว้แล้ว
จงทำตัวของท่านให้สอดรับกับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อุปสรรคขัดขวางในงานที่เจ้าจะต้องทำจะได้รับการทรงแก้ไข

ภาระความรับผิดชอบขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือ
กางเขนที่เป็นภาระแห่งโลกนี้ที่วางบนพระคริสต์ และที่พระองค์จะต้องแบกไป
ดังนั้นจะเป็นการโง่เขลาแค่ไหน
ถ้าจะมีสาวกของพระองค์คนใดที่พยายามที่จะแบกภาระแห่งชีวิตของตนเอง
ในเมื่อมีเพียงที่แห่งเดียวสำหรับภาระดังกล่าว คือที่กางเขนของพระคริสต์

คนที่ทำเช่นนั้น เป็นเหมือนชายเดินทางที่กำลังเดินทางบนเส้นทางที่ร้อนระอุ ตลบไปด้วยฝุ่น แล้วก็แบกสัมภาระหนักเดินไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ทั้งๆ ที่ได้มีการเตรียมรถม้าให้บรรทุกสัมภาระต่างๆ ทั้งสิ้นของผู้เดินทาง ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นความงดงามสองข้างทาง ภูมิประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ และความสวยงามที่ล้อมรอบเขา

ท่านที่รัก
ท่านอาจจะคิดในใจว่า พระคริสต์เคยบอกท่านว่า
“ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และ
รับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา...”(ลูกา 9:23)
และกล่าวอีกว่า
“ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้”(14:27)

นั่นเป็นการถูกต้อง
แต่กางเขนที่ท่านแต่ละคนรับและต้องแบกไปคือ
กางเขนที่กำหนดให้ท่านแต่ละคนที่จะตรึงตัวตนของท่านเอง
ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าและความปีติชื่นชมในชีวิตของท่าน และ
เป็นตัวขวางกั้นชีวิตและพระวิญญาณที่สดชื่นร่าเริงของพระคริสต์ที่ไหลผ่านชีวิตของท่าน

จงฟังเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า รักพระองค์ ปีติยินดีในพระองค์ ท่านจงชื่นชมยินดีเถิด

04 เมษายน 2553

ชีวิตเรียบง่าย

ส่วนมนุษย์นั้น วันเวลาของเขาเหมือนหญ้า
เขาเจริญขึ้นเหมือนดอกไม้ในทุ่งนา สดุดี 103:15
เพราะว่า
บรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า
และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า
ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป 1 เปโตร 1:24
เพราะเมื่อตะวันขึ้น
ความร้อนอันแรงกล้าก็กระทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งไป และ
ดอกหญ้าก็ร่วงหล่น และ ความงามของมันสูญสิ้นไป
คนมั่งมีก็จะเสื่อมสูญไปกลางคันเช่นกัน ยากอบ 1:11
“เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ…มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ… เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม… แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว (มัทธิว 6:25, 27, 31, 33-34)

ความเรียบง่ายเป็นสิ่งสำคัญในแผ่นดินของพระเจ้า
ความสำคัญ และ คุณค่าแห่งชีวิตมิได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิ่งของที่เรามี
มิได้ ขึ้นกับความสะดวกสบายที่เราได้รับ
มิได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง หน้าที่การงาน ที่คนได้แต่งตั้งสมมติแก่เรา
มิได้ขึ้นกับชื่อเสียง เกียรติยศ ที่มาสวมครอบ ความคิดและชีวิตของเรา
มิได้ขึ้นอยู่กับความเก่งกาจสามารถ และ ความสำเร็จแห่งแผ่นดินโลก

ความสำคัญและคุณค่าแห่งชีวิต
ขึ้นอยู่กับการที่เรามีความใกล้ชิดสัมพันธ์สนิทสนมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่แค่ไหน
ขึ้นอยู่กับเรามีความคิด ทัศนคติ การตัดสินใจ และดำเนินชีวิตไปตามแนวคิดและแนวทางของพระคริสต์หรือไม่
ขึ้นอยู่กับชีวิตที่เราได้ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยรักแบบพระคริสต์ มากกว่าสิ่งที่เรามีจากการไขว่คว้า แสวงหา สะสม หรือฉกชิงมาได้
ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าที่เราได้รับการสำแดงเป็นรูปธรรมผ่านชีวิตของเราหรือไม่

ดังนั้น ชีวิตที่เรียบง่าย จึงเป็นชีวิตที่ไม่ต้องกระวนกระวาย ต่อสู้เอาแพ้เอาชนะ
เพราะเป็นชีวิตที่วางใจในพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ไวต่อการทรงสำแดงของพระเจ้า
เพราะเป็นชีวิตที่เปิดออกเพื่อให้พระเจ้าใช้ตามแผนการของพระองค์ มากกว่าแผนการแห่งความสำเร็จของตน ดังนั้น ชีวิตที่เรียบง่ายจึงต้องทุ่มเท จริงจัง เชื่อฟังและทำตามแผนการของพระเจ้า
เพราะเป็นชีวิตที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา มิใช่เราอยากทำพระราชกิจของพระองค์
เพราะเป็นชีวิตที่พระเจ้าทรงอวยพระพร มิใช่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ ในแผ่นดินโลกนี้

คุณค่าแก่นแท้แห่งชีวิตที่เรียบง่ายเป็นของประทานจากพระเจ้า มิใช่ดอกผลจากการกระทำที่เก่งกาจของมนุษย์

จงเลือกมีชีวิตที่เรียบง่ายแห่งแผ่นดินของพระเจ้าเสมอ
จงรักและยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างชีวิตของเราอย่างเป็นระบบและเรียบง่าย
ชีวิตที่เรียบง่ายในพระคริสต์ จะบ่มเพาะชีวิตของเราให้ถ่อม สุภาพ รักเมตตา อดทนต่อตนเองและคนรอบข้าง
ชีวิตที่เรียบง่ายเป็นชีวิตที่คุ้นชินกับ “การรอคอย” การทรงนำของพระเจ้าด้วยความหวัง

ในวันนี้...จงดำรงชีวิตด้วยความเรียบง่าย
มาตรฐานในชีวิตของท่านไม่เป็นไปตามมาตรฐานแห่งโลกนี้
แต่เป็นไปตามมาตรฐานแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

03 เมษายน 2553

ทรงสร้างใหม่ ชีวิตใหม่

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
20เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี
ท่านทั้งหลายจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี
พระองค์ทรงเปรียบเทียบว่า
21เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตรนางก็มีแต่ความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้ว
แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก
22
ฉันใดก็ดี ขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์
พระคริสต์ทรงสัญญาว่า
แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดจะช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้ (ยอห์น 6:20-22)
*หมายเหตุ: อักษรสีน้ำเงินผู้เขียนเพิ่มเข้ามาเอง

โดยปกติแล้ว เมื่อต้องประสบพบกับ “ความมืดมิดในชีวิต”
เรามักเชื่อมโยง “ความมืดมิดในชีวิต”ไปที่ความกลัว
เรามักเชื่อมโยง “ความมืดมิดในชีวิต”ไปที่ความทุกข์โศก
เรามักเชื่อมโยง “ความมืดมิดในชีวิต”ไปที่ความสิ้นหวัง

แต่สำหรับคริสตชนแล้ว เมื่อชีวิตต้องตกอยู่ในความมืดมิด
เป็นโอกาสที่เราจะได้ยินถึงพระสัญญาอีกครั้งหนึ่ง
เป็นโอกาสที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่
เป็นโอกาสที่เราจะพบกับการเปลี่ยนแปลง
เป็นโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่
เป็นโอกาสที่จะพบกับความชื่นชมยินดีอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเราเชื่อมั่นและไว้วางใจในพระสัญญา...
เราจึงกล้าก้าวในท่ามกลางความมืด และ ก้าวออกจากความมืดมิด
เราจึงพบกับลำแสงฉายสว่างอีกครั้งหนึ่ง
เราจึงพบกับสิ่งใหม่
ดั่งลูกเจี๊ยบกล้าที่จะจิกเปลือกไข่ที่ห่อหุ้มมันไว้
ลูกเจี๊ยบจึงพบช่องทาง พบความสว่าง
ลูกเจี๊ยบออกจากเปลือกไข่
ชีวิตเปลี่ยนแปลงจากการคุดคู้ในความมืด
เปลี่ยนไปสู่การเดิน วิ่ง กระพือปีกในโลกกว้าง

ช่วงชีวิตที่ต้องอยู่ในความมืดมิด
เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในกระบวนการของชีวิต
เป็นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อม
เป็นช่วงเวลาที่จะเจริญเติบโตสู่ชีวิตที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่

ชีวิตในอุโมงค์มืดมิดของพระเยซูคริสต์
เป็นช่วงเวลาที่รอคอยพระสัญญาของพระเจ้าสำหรับชีวิตนิรันดร์
ชีวิตที่ต้องขับเคลื่อนในท่ามกลางความท้าทาย
ชีวิตที่เคลื่อนไปท่ามกลางความทุกข์โศก
แต่เป็นชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยความหวังในพระราชกิจของพระวิญญาณ

ท่ามกลางสภาพชีวิตใน “ความมืดมิด”
ให้เรากล้าเปิดชีวิตของเราเพื่อรับพระปัญญา
ให้เรากล้าเปิดชีวิตของเราเพื่อรับประสบการณ์ใหม่จากเบื้องบน
ให้เรากล้าเปิดชีวิตของเราเพื่อรับการทรงสร้างใหม่จากพระผู้สร้าง
แล้วเราจะพบกับชีวิตใหม่เหนือความคาดคิดและเข้าใจ

01 เมษายน 2553

จิตวิญญาณ

จงรอคอยพระเจ้า
จงเข้มแข็ง และให้จิตใจของท่านกล้าหาญเถิด
เออ จงรอคอยพระเจ้า สดุดี 27:14
จิตวิญญาณของเราทั้งหลายรอคอยพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา สดุดี 33:20:
อย่าพูดว่า “ข้าจะแก้แค้นความชั่ว”
จงรอคอยพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยเจ้า สุภาษิต 20:22

จงรอคอยพระเจ้า
จงหายใจเอาพระวิญญาณของพระเจ้าเข้าในชีวิตท่านด้วยความนิ่มนวล
ถ้าพระวิญญาณของพระองค์เข้าในชีวิตของท่านอย่างเสรี
มิถูกขวางกั้นด้วย “ตัวกู” ในตัวท่านแล้ว
พระวิญญาณของพระองค์ก็จะเสริมหนุนให้ท่านสามารถทำได้อย่างที่พระองค์ทรงกระทำ
หมายความว่า
ชีวิตของท่านได้เปิดให้พระองค์สามารถทำงานอย่างที่พระองค์เคยทำในชีวิตท่าน
ยิ่งกว่านั้น พระองค์จะทรงสามารถกระทำยิ่งกว่าที่พระองค์เคยทำในอดีต ผ่านชีวิตของท่าน

ท่านอย่ายอมให้วิญญาณอื่นใดเข้ามาควบคุม ครอบงำในชีวิตของท่าน
นอกจากพระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

เหนือสิ่งอื่นใดที่ท่านควรรู้คือ…
ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเมื่อท่านรู้ถึงจิตวิญญาณแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าจะบอกท่านเองว่า เมื่อใด อย่างไร ที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีที่สุดสำหรับท่าน
ความจำกัดในการมองเห็นและรับรู้ของท่านขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านจิตวิญญาณของท่าน
จงติดตามการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้าในทุกเรื่อง

สุข สงบ สันติ จงเป็นของท่าน