29 มิถุนายน 2553

ความอดทน

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดสร้างข้าพระองค์ให้เหมือนพระองค์
หลอมหล่อข้าพระองค์ให้เป็นเฉกเช่นพระองค์

ท่านที่รัก ท่านเป็นบุตรของพระบิดา
การที่ท่านถูกทำให้เป็นเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า
หมายถึงการที่ท่านจะต้องถูกตัด
ถูกขุด
ถูกดัด
ถูกหลอม
ถูกหล่อ
ถูกขนาบ
ถูกขัดและแต่ง

หมายถึงการที่ท่านจะยอมเสียสละความเป็นตัวตนของท่านเอง
เพื่อแก้ไข ทำใหม่ให้เป็นอย่างแบบที่ต้องการ

ดังนั้น จึงมิใช่งานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
แต่เป็นงานรับผิดชอบของท่านด้วยเช่นกัน

ท่านจะต้องร้องขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยขุดรากถอนโคน
ความเห็นแก่ตัวในความปรารถนาของท่าน
ในเจตนาของท่าน
ในการกระทำของท่าน และ
ในความคิดของท่านให้ออกไปท่านอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นงานที่ต้องการความร่วมมือ
คือความร่วมมือระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับท่าน และ
เป็นงานที่มักนำมาซึ่งความรู้สึกล้มเหลวและสิ้นหวังด้วยเช่นกัน
เพราะท่านจะเห็นว่าสิ่งที่จะต้องขจัดออกไปนั้นยังเหลือมากมายที่ต้องกระทำ

ข้อบกพร่องที่ท่านเคยยอมรับได้ยาก หรือ
อย่างน้อยเมื่อก่อนท่านไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความบกพร่องเลย
แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นทำให้ท่านรู้สึกทุกข์ ลำบาก และตกใจกลัว

จงกล้าหาญไว้
นั่นเป็นหมายสำคัญของความก้าวหน้าในตัวของท่านเอง

จงอดทน
มิใช่อดทนต่อคนอื่นเท่านั้น
แต่จงอดทนต่อตนเองด้วย

เมื่อท่านเห็นการกระทำของท่านก้าวหน้าไปอย่างเชื่องช้า
ทั้งๆ ที่ท่านปรารถนาและต่อสู้มากมายมาแล้ว
ท่านจะได้รับความอดทนจากเบื้องบน
อดทนต่อผู้คนที่ทำให้ท่านได้รับความลำบาก

ดังนั้น จงก้าวต่อไป
มุ่งไปข้างหน้า
ต่อสู้ด้วยความอดทน
ด้วยมานะบากบั่น
จงจำไว้เสมอว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เคียงข้างท่าน
พระองค์คือกัปตันแห่งชีวิตและพระผู้ช่วยของท่าน
ดังนั้น จงอ่อนสุภาพ อดทน และ เข้มแข็งเถิด

ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าและท่านจะทำงานร่วมกัน และ
องค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมในความทุกข์
ความล้มเหลว
ความยากลำบาก
ความเจ็บปวดในหัวใจของท่านด้วย
ท่านเป็นสหายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ท่านจงร่วมในความอดทนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ในความเข้มแข็งของพระองค์ และ
เป็นที่รักของพระองค์

พระธรรมภาวนา

โรม 5:3:
...เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเรา... เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน

โรม 12:12:
จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน

เอเฟซัส 4:2:
...จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก

โรม 15:1:
พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อความเชื่อของคนที่เคร่งในข้อหยุมๆ หยิมๆ และไม่ควรกระทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง

2ทิโมธี 2:24:
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน

ฮีบรู 10:36:
ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้...

โคโลสี 3:12:
เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน

27 มิถุนายน 2553

พลังแห่งรักและสรรเสริญ

องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย เหล่าข้าพระองค์รักและสรรเสริญพระองค์ พระองค์ทรงเป็นความปีติชื่นบาน และ เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย

โปรดจำไว้เสมอว่า ความรักทรงไว้ซึ่งพลังอันอานุภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้
มิใช่ที่ท่านรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น หรือ
รักคนเพียงสองสามคนที่ท่านสนิทชิดเชื้อเท่านั้น
แต่ท่านจงรักมวลชน รักทุกคน
ทั้งที่เป็นคนบาป หรือ
หญิงแพศยา
เกย์ หรือ
เลสเบี้ยน
คนที่คิดตรงกันข้ามกับท่าน หรือ
คนเสพยาเสพติด คนจรจัดข้างถนน
ท่านจงรักคนเหล่านี้

ความรักเป็นอาวุธชนิดเดียวที่สามารถขับไล่ความบาปออกไปได้
จงขับไล่ความบาปออกไปด้วยความรัก
จงขับไล่ความกลัว
ความสิ้นหวัง
ความรู้สึกตกต่ำ
ความรู้สึกล้มเหลวออกไปด้วยการสรรเสริญ

การสรรเสริญเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าท่านได้รับ “พระพร” ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งให้แก่ท่าน
น้อยคนนักที่จะยอมส่งของไปล่วงหน้าก่อนที่ตนจะมั่นใจว่า
ผู้รับได้ชำระค่าสินค้างวดก่อนเรียบร้อยแล้ว
การสรรเสริญเป็นเหมือนเครื่องบ่งบอกถึง
การที่ท่านได้รับพระพรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งให้แก่ท่าน
ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ส่งให้ท่าน พระพรที่พระองค์ให้แก่ท่าน
จะเป็นทางที่เปิดออกสำหรับพระองค์ที่จะอวยพระพรท่าน และ
ที่ท่านจะได้รับพระพรที่หลั่งไหลมายังท่านมากยิ่งขึ้น
ด้วยจิตใจที่ขอบพระคุณ

จงเรียนรู้จากเด็กเล็กที่จะกล่าวว่า “ขอบคุณ”
แม้บางครั้งดูจะมิใช่มาจากความรู้สึกที่ขอบคุณอย่างจริงจังนักก็ตาม
ท่านจงกระทำเช่นนี้จนกว่าท่านจะเกิดความซาบซึ้งด้วยความปีติชื่นบาน และ
เกิดความรู้สึกขอบคุณจากจิตใจของท่าน
ที่ออกมาพร้อมกับคำกล่าวขอบพระคุณ

อย่าคาดหวังว่า
ท่านจะต้องรู้ว่าคนอื่นเขาขอบคุณท่านด้วยน้ำใสใจจริงหรือไม่
แต่ท่านจงเดินต่อไปบนวิถีทางที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งอย่างเชื่อฟัง และ
ผลดีจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อถึงเวลาอันควร
ซึ่งจะเป็นความปีติยินดีที่เกิดจากการรดน้ำลงบนความแห้งผาก

โอ จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา
จงให้ความชื่นชมยินดีทอแสงรอบตัวท่านในทุกที่ ทุกเวลา

พระธรรมภาวนา

2โครินธ์ 4:15:
เพราะว่าสิ่งสารพัดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนเป็นจำนวนมากขึ้น ก็จะมีการขอบพระคุณมากยิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ฟิลิปปี 4:4-6
4จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด 5จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ

24 มิถุนายน 2553

เพื่อนร่วมทาง

วิถีแห่งการปรับเปลี่ยนชีวิตจิตวิญญาณ
เกิดจากการเดินทางชีวิตที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเพื่อนร่วมทาง

ท่านไม่ต้องทูลขอองค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เปลี่ยนชีวิตจิตวิญญาณของท่านให้เป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้
แต่การที่ท่านมีชีวิตที่ดำเนินร่วมไปกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

คิดถึงพระองค์เสมอ และ
สื่อสารสนทนากับพระองค์เป็นประจำ
มุ่งมองไปที่พระองค์ในทุกเหตุการณ์

เช่นนั้นแหละ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน
ให้เติบโตเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน

จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า
พักพิงในพระองค์
ปีติชื่นบานในพระองค์ทุกเวลา

พระธรรมภาวนา

1 โครินธ์ 15:58:
เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้

ยอห์น 16:22:
ฉันใดก็ดี ขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดจะช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้

กิจการ 2:46:
เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป


โรม 5:3:
ยิ่งกว่านั้น เรา(หรือ ให้เรา) ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน

ลูกา 24:13-35
32เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสกับเราตามทาง เมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ” 33แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในโมงนั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม…

22 มิถุนายน 2553

ทดสอบความรักของท่าน

ท่านจะรู้จักความรักที่แท้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในความทุกข์ยาก
เมื่อถูกทดลอง
เมื่อประสบความล้มเหลว
การปรากฏตัวของผู้ที่รักในวิกฤติชีวิตเช่นนี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว
จงทดสอบความรักของท่านที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานการณ์ดังกล่าว

เพียงท่านอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอเพียงแต่รู้ว่าพระองค์อยู่เคียงข้างท่าน
ก็จะทำให้ท่านเกิดความชื่นบานและสันติใช่หรือไม่?
ถ้าไม่ก็แสดงว่า ความรักที่ท่านมีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และ
ความรู้ถึงความรักของพระองค์ที่ท่านมีนั้น
เป็นความรักที่ผิด

และถ้าเป็นเช่นนั้น
ท่านจงอธิษฐานทูลขอความรักมากยิ่งขึ้น

พระธรรมภาวนา

ยอห์น 15:13
ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน

อพยพ 3:7
พระเจ้าตรัสว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศ อียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา 8เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง...”

สดุดี 106:44
ถึงอย่างไร เมื่อพระองค์สดับเสียงร้องทูลของท่าน
พระองค์ทรงสนพระทัย ในความทุกข์ใจของท่าน

21 มิถุนายน 2553

สิบลดชีวิต

42“แต่วิบัติแก่ท่าน พวกฟาริสี เพราะว่าท่านถวายทศางค์ (สิบลด) เป็นพวกสะระแหน่ ขมิ้น และพืชผักทุกชนิด แต่กลับละเว้นความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้พวกท่านควรทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นๆ ก็ไม่ควรละเว้นด้วย
(ลูกา 11:42 สำนวนแปล TBS02b)


ทศางค์ หรือ สิบลด คือการที่ชาวยิวแต่ละคนมอบถวาย 10% ของรายได้ในชีวิตของเขา รวมไปถึงพืชผลที่เขาเพาะปลูก เมื่อได้ผลผลิตแล้วเขาจะหัก 10% มอบถวายผ่านทางปุโรหิต นี่เป็นศาสนบัญญัติที่ชาวยิวทุกคนพึงถือปฏิบัติ และของถวายส่วนนี้เป็นการช่วยให้ปุโรหิตและเลวีที่ถวายตัวปรนนิบัติพระเจ้าโดยไม่มีอาชีพและรายได้ก็จะใช้ของถวายส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งในการอยู่รอดของเขา และในเวลาเดียวกันของถวายจากสิบลดส่วนหนึ่งก็ใช้สำหรับค้ำจุนให้ชีวิตของผู้ต่ำต้อย ยากจน ด้อยโอกาส ให้สามารถอยู่รอดชีวิตในชุมชนของยิวด้วย ดังนั้น การถวายสิบลดจึงเป็นบทบัญญัติหนึ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์สำแดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่รักและเอาใจใส่ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ในสังคม หัวใจของการถวายสิบลดมิได้อยู่ที่การถวายทรัพย์สิ่งของรายได้ให้ครบ 10% เท่านั้น แต่จิตวิญญาณของการถวายสิบลดคือการที่ผู้เชื่อศรัทธาในพระเจ้าแต่ละคนตอบสนองต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงเอาใจใส่ห่วงใยและดูแลเลี้ยงดูคนต่ำต้อยเล็กน้อยเหล่านี้ เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในชุมชนของผู้เชื่อศรัทธาพระองค์ และนี่คือพระบัญญัติของพระเจ้าด้านระบบสังคมของยิวและพระเยซูคริสต์ก็ให้เราปฏิบัติธรรมบัญญัตินี้ด้วย

ดังนั้น รากฐานของการถวายสิบลดจึงมาจากชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณของคนๆ นั้นรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ จนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือการเอาใจใส่คนต่ำต้อยเล็กน้อยเหล่านั้นอย่างน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อคนเหล่านี้จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี โดยผ่านน้ำใจของผู้ถวายที่รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และนี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์เรียกว่า “ความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า” แล้วจึงสำแดงผ่านการถวายทศางค์หรือสิบลด พระคริสต์ต้องการให้ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์มีใจและพฤติกรรมที่แสดงออกตรงกันด้วย

พระเยซูคริสต์ได้วิพากษ์พวกฟาริสีและธรรมาจารย์อย่างรุนแรงว่า พฤติกรรมการถวายสิบลดเพียง “เปลือกนอก” หรือ เพียงรูปแบบ ตามศาสนบัญญัติและศาสนพิธีโดยมิได้มีจิตใจที่รักพระเจ้าด้วยการเอาใจใส่คนเล็กน้อยตามพระประสงค์ของพระเจ้านั้นนำมาซึ่ง “วิบัติ” ในชีวิต เพราะการกระทำเพียงภายนอกเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าตนชอบธรรม มิได้รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจจนนำไปสู่การรักเพื่อนบ้านที่เป็นคนยากจนต่ำต้อยเล็กน้อยเหมือนรักตนเองนั้นเป็นชีวิตที่ “หน้าซื่อใจคด” “มือถือสากปากถือศีล” เป็นการประกอบศาสนพิธีที่หลอกลวงชาวโลกที่พบเห็น แท้จริงแล้วเป็นการหลอกตนเอง ยิ่งกว่านั้นเป็นการหลอกพระเจ้า เป็นการหมิ่นพระเกียรติพระองค์ และนี่นำมาซึ่ง “วิบัติ” ในชีวิตของพวกถวายสิบลดแบบหน้าซื่อใจคด

คนเหล่านี้ปฏิบัติศาสนพิธี เป็นคนเจ้าระเบียบ เจ้าพิธีรีตอง เล่นกับพิธีกรรม เป็นเหมือนนักแสดงบนเวที คนพวกนี้วัดความสำคัญของจิตวิญญาณด้วยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่หลีกเลี่ยง หลบลี้หนีการดำเนินชีวิตตามจิตวิญญาณของธรรมบัญญัติเหล่านั้น และละเลยสัมพันธภาพที่ติดสนิทกับพระเจ้าอย่างแท้จริงลึกซึ้ง และหลีกเลี่ยงที่จะมีความรักความสัมพันธ์กับผู้เล็กน้อยต่ำต้อยยากจนที่พระเจ้าสนพระทัยและเอาใจใส่ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ชีวิตต้อง “วิบัติ” ตามคำวิพากษ์ของพระคริสต์ เพราะคนที่ถวายสิบลดแบบคนหน้าซื่อใจคด เขาปิดหูปิดตาและปิดใจจากพระประสงค์ของพระเจ้า

ในยุคปัจจุบันนี้ง่ายดายเหลือเกินที่เราจะติดตามพระเยซูคริสต์แบบ “หน้าซื่อใจคด” ที่ผู้เชื่อศรัทธาทำตามความคาดหวังของคริสตจักรที่จะให้มีชีวิตเพียงตามรูปแบบ มานมัสการพระเจ้า ถวายสิบลด ทำตามบทบัญญัติ หรือธรรมเนียมปฏิบัติของคริสตจักร และถือว่าสิ่งเหล่านี้คือเป้าหมายปลายทางของการติดตามพระเยซูคริสต์ แต่ขาดการใคร่ครวญขุดลึกลงถึงรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาที่วางบนรากฐานแห่งความรักสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าในชีวิตแต่ละวัน และในการทำกิจกรรมแต่ละเรื่องมีใจปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยน แปลงและสร้างใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเราจะเป็นคนที่พระเจ้าใช้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ บ่อยครั้งการทำศาสนพิธี การทำตามบทบัญญัติ และการทำตามประเพณีนิยมของคริสตจักรกลับกลายเป็น “ม่านบังตา” ของผู้ที่เชื่อจากพระประสงค์และการทรงเรียกของพระเจ้าในแต่ละวัน แม้จะทำ ศาสนพิธีและดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติแต่พบว่าชีวิตจิตวิญญาณของตนนั้นแห้งแล้ง ชีวิตจิตใจห่อเหี่ยว

ทั้งนี้เพราะเราอาจจะกำลังหลอกตนเอง หรือกำลังเข้าใจผิด ทึกทักเอาว่าสิ่งที่ทำนั้นทำให้ตนมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าแล้ว แต่ในความเป็นจริงความรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สัมพันธ์สนิทสนมกับพระองค์นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดในชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน

แล้วเราจะเยียวยาบาดแผลที่เกิดจากความเชื่อแบบหน้าซื่อใจคดนี้ได้อย่างไร?

พระคริสต์ตรัสว่า ให้ผู้เชื่อมุ่งมั่นตั้งใจปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตแต่ละวัน และ ทุกขณะจิตในชีวิตที่จะรักติดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจสุดชีวิตของเรา เพื่อเราจะได้ซึมซับพลังแห่งความรักของพระคริสต์ช่วยให้เราสามารถที่จะรักเพื่อนบ้านคนเล็กคนน้อย ผู้ต่ำต้อย และคนถูกทอดทิ้งด้วยความรักจากพระองค์ และนั่นคือส่วนที่พระคริสต์เรียกว่า “ความยุติธรรมและความรักพระเจ้า” ที่คนหน้าซื่อใจคดละเว้นกระทำ

20 มิถุนายน 2553

รากและผล

จงจดจำบทเรียนจากเมล็ดพืชให้ดี
เมื่อเมล็ดงอกราก
มันจะงอกและหยั่งลงไปในพื้นดิน
เพื่อที่จะเจาะลึกแผ่รากเกาะยึดออกเป็นวงกว้าง
ในขณะเดียวกันเมล็ดจะแตกหน่ออ่อนแทงขึ้นบนพื้นดิน
เติบโตเป็นลำต้น เกิดดอก และ ออกผล
จนเป็นสวนพฤกษาของโลกนี้

การเจริญเติบโตทั้งสองทางของเมล็ดพืชนั้น
เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น
ถ้าปราศจากรากที่แข็งแรงแผ่กว้าง
ต้นไม้ก็จะเหี่ยวเฉา

เฉกเช่นที่ท่านกระทำการได้หลายสิ่งหลายอย่าง
แต่มิได้เจริญเติบโตขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยิ่งต้นไม้เจริญสูงใหญ่มากขึ้นแค่ไหน
รากของต้นไม้นั้นจะต้องหยั่งลึกและยึดเกาะอย่างแผ่กว้างมากขึ้นแค่นั้น

หลายคนที่หลงลืมบทเรียนนี้
งานของเขาจึงมิได้เกิดผลเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ท่านจงระวังว่าจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่มีใบและดอกแต่ปราศจากรากที่แข็งแรง

พระธรรมภาวนา

มาระโก 4:5-6
5บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป

เยเรมีย์ 17:8:
เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ
ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ
เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว
เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ
และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง
เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล

อิสยาห์ 27:6:
ในวันข้างหน้า ยาโคบจะหยั่งราก
อิสราเอลจะผลิดอกและแตกหน่อ
กระทำให้พิภพทั้งสิ้นมีผลเต็ม

โคโลสี 2:7:
จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ

ลูกา 6:48:
เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้สร้างไว้มั่นคง

17 มิถุนายน 2553

จงทูลขอมากกว่านี้

ท่านจงทูลขอตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งท่านไว้ และ
ในไม่ช้าท่านจะเห็นผล
ท่านจะไม่สามารถทูลขอได้ยาวนาน
ถ้าท่านไม่เห็นผลที่เป็นรูปธรรม
นี่เป็นกฎที่ยังเป็นจริงอยู่

ขณะนี้ท่านเป็นเหมือนเด็กที่กำลังฝึกหัดบทเรียนใหม่
ฝึกหัดแล้วฝึกหัดอีก
ในไม่ช้าไม่นานนักท่านก็จะสามารถกระทำได้อย่างแคล่วคล่อง

ท่านคงเห็นคนอื่นทูลขอและสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
ได้เห็นฤทธานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าผ่านคนนั้นด้วยความราบรื่น
แต่ท่านมิได้เห็นถึงการฝึกวินัยอย่างทุ่มเทต่อเนื่อง และในการทูลขอที่เขามีมาก่อนหน้านี้
วินัยในการทูลขอและฝึกหัดเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานฤทธานุภาพแก่สาวกของพระองค์คนใดคนหนึ่ง
คนๆ นั้น ต้องรับการฝึกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจดจ่อ จริงจัง ต่อเนื่อง

ท่านคงรู้สึกว่า
ท่านได้เรียนรู้มามาก
ชีวิตนี้ล้มเหลวไม่ได้
นั่นก็ถูกต้อง

แต่คนเหล่านั้น
ต้องรอดูผลของการสำแดงในชีวิตของท่าน
ก่อนที่เขาจะรู้ถึงสัจจะแห่งจิตวิญญาณในประการนี้
ท่านจงทุ่มเททูลขอมากกว่านี้

พระธรรมภาวนา

Psalms 69:13:
ข้าแต่พระเจ้า แต่ส่วนข้าพระองค์
ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ในเวลาอันเหมาะสม
โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์
ขอทรงโปรดตอบข้าพระองค์
ด้วยความอุปถัมภ์อย่างวางใจได้

มัทธิว 11:29-30
29จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา
เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และ
จิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และ
ภาระของเราก็เบา”

เอเฟซัส 4:14-15
12เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้
เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น
13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และ
ในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์
14เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป
ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และ
ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง
15แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก
เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์

15 มิถุนายน 2553

ทำสำเร็จทุกเรื่อง

ท่านจงรู้เถิดว่า
ไม่มีขีดความจำกัดใดๆ สำหรับท่านที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาแก่ท่านว่า
อย่ายอมวางมือจากภารกิจ หรือ
ล้มเลิกความคิดเกี่ยวกับงานใดๆ
เพียงเพราะท่านรู้สึกว่า งานนั้น ความคิดนี้มันเกินกำลังของท่าน
ท่านจะวางมือหรือล้มเลิกความคิดได้ก็ต่อเมื่อท่านเห็นแน่ชัดว่า
งานนั้นมิใช่พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับท่านเท่านั้น

จงดูเกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดเล็กนิดเดียว
ที่ตกลงสู่ใจกลางปฐพีที่แข็งและกว้างใหญ่
ในตอนแรกนั้นไม่มีทีท่าที่หิมะจะสามารถทับซ้อนตนเอง
ให้เป็นกองใหญ่โตจนแสงแดดและความอบอุ่นต้องมาทักทาย

จงดูเมล็ดพืช
มีขนาดเล็กกระจิดริด
ดูภายนอกเหมือนมันไม่มีกำลังจะทำอะไรได้
แต่ภายในเมล็ดนั้นอัดแน่นด้วยพลังแห่งชีวิต
พร้อมที่จะงอกและทำภารกิจที่มันได้รับมอบหมาย
แผ่นดินของพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ

นี่เป็นกระบวนคิดแบบแผ่นดินของพระเจ้า
ท่านจงคิดแบบนี้ในวันนี้
ความสำเร็จจะเป็นของคนที่คิดแบบแผ่นดินของพระเจ้า

13 มิถุนายน 2553

พลังใหม่ที่สำคัญ

จงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงเป็นความรอดทั้งสิ้นของท่าน จนสุดปลายแผ่นดินโลก
ความรอดมิใช่เรื่องของ “บุญนำกรรมแต่ง”
แต่เป็นพระสัญญาที่ทุกคนมุ่งมองหาก็จะได้พบ

ท่านจงมุ่งมองด้วยความมั่นใจในพระกำลัง ที่สถิตอยู่ในแต่ละคน
การมุ่งมองก็เป็นการเพียงพอ
แล้วความรอดก็จะตามมา

จงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วท่านจะรอดพ้นจากความสิ้นหวัง
จงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วท่านจะได้รับการเอาใจใส่
จงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วท่านจะรอดพ้นจากความวิตกกังวล
จงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วสันติสุขที่เหนือความเข้าใจได้จะไหลเข้าสู่ชีวิตของท่าน

นี่เป็นกำลังใหม่ที่สำคัญ
นี่เป็นความเบิกบานอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
ท่านจงมุ่งมองที่องค์พระผู้เป็นเจ้า และมุ่งมองไปตลอด
ท่านจะหนีพ้นจากความสงสัย แล้ว
ความชื่นชมเบิกบานจะครอบคลุมชีวิตของท่าน
ชัยชนะจึงเป็นความหวังของท่าน
ชีวิต ชีวิตนิรันดร์ จะเป็นของท่าน
นี่คือพลังชีวิตใหม่ที่สำคัญ และ
เป็นพลังสดใหม่เสมอในทุกวัน



พระธรรมภาวนา

สดุดี 18:2:
พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์
เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นพระศิลาซึ่งข้าพระองค์เข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์
เป็นโล่ เป็นพลังแห่งความรอดของข้าพระองค์
เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์

สดุดี 68:19:
สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ทรงค้ำชูเราทั้งหลายอยู่ทุกวัน
พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา

Acts 13:47:
ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่งเราอย่างนี้ว่า
'เราได้ตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างของคนต่างชาติ
เพื่อเจ้าจะเป็นเหตุให้คนทั้งหลายรอด
ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก'

10 มิถุนายน 2553

อธิษฐาน และ สรรเสริญ

ผู้คนจำนวนมากมายที่อธิษฐานอ้อนวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยการอ้อนวอนที่จริงใจ ถ่อมตน และ
ด้วยความไว้วางใจอย่างสงบเท่านั้น
ที่คนนั้นจะเรียนรู้ถึงความเข้มแข็งและได้รับสันติสุขในชีวิต
ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงวางรากฐานความมั่นคงดังกล่าว
ให้เป็นหน้าที่ของสาวกของพระองค์ ที่ต้องอธิษฐานอ้อนวอนอย่างไม่หยุดหย่อน

อย่าเบื่อหน่ายหรือเฉื่อยชาในการอธิษฐาน
เพราะในวันหนึ่งท่านจะพบกับคำตอบอันน่าพิศวง
ที่ตอบคำอธิษฐานของท่าน
เมื่อนั้นท่านจะรู้สึกอย่างตื้นตันว่า
แท้จริงแล้วท่านอธิษฐานทูลขอเพียงน้อยนิดเท่านั้น

การอธิษฐานเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
การอธิษฐานก่อเกิดการสร้างใหม่
ไม่มีสิ่งใดที่จะต่อต้านการอธิษฐานได้
ดังนั้น ท่านจงอธิษฐานอย่างมั่นใจอย่าได้ว่างเว้น

ข้อพระธรรมสำหรับภาวนา

สดุดี 102:17:ตัวหนา
พระองค์จะสนพระทัยในคำอธิษฐาน ของคนสิ้นเนื้อประดาตัว และ
จะไม่ทรงดูหมิ่นคำอธิษฐานของเขา

สดุดี 39:12:
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขอทรงเงี่ยพระกรรณแก่การร้องทูลของข้าพระองค์
ขออย่าทรงเฉยเมยต่อน้ำตาของข้าพระองค์

ฟิลิปปี 4:6:
อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า
ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ

ยากอบ 5:13:
มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน
มีผู้ใดร่าเริงยินดีหรือ จงให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ

มาระโก 11:24:
เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด
จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น

Romans 8:26:
ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย
เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร
แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเราในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ

08 มิถุนายน 2553

จิตวิญญาณก่อน

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสกับท่านว่าอย่างไรดี?
ในเมื่อหัวใจของท่านฉีกขาด
แต่ขอให้ท่านระลึกเสมอว่า
“พระเจ้าทรงเป็นผู้เย็บชุนหัวใจที่ฉีกขาด”
ท่านจะได้รู้สึกถึงการสัมผัสอันนิ่มนวล ทะนุถนอม
จากพระหัตถ์ของพระองค์เมื่อทรงเย็บชุนบาดแผลชีวิตของท่าน

ท่านเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิอันพิเศษ
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้บอกท่านถึงแผนและความล้ำลึกของพระองค์แก่ท่าน และ
ทำให้ท่านรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ ในขณะที่หลายคนต้องคลำหาด้วยตนเอง

จงให้จิตวิญญาณของท่านสงบและใคร่ครวญคำกล่าวที่ว่า
“จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มัทธิว 6:33)
ดังนั้น อย่าพยายามที่จะกระทำเพื่อให้ได้สิ่งทั้งปวง
แต่จงกระทำทุกอย่างเพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย

เป็นการประหลาดยิ่งในชีวิตของท่าน
ที่ท่านจะคิดถึงทรัพย์สินวัตถุก่อน
หลังจากนั้นค่อยคืบคลานไปสู่ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ
แต่ในแผ่นดินของพระเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้นเลย
ด้านจิตวิญญาณก่อนและค่อยตามมาด้วยวัตถุสิ่งของ

ดังนั้น การที่ท่านแสวงให้ได้วัตถุทรัพย์สินก่อน
แล้วค่อยแสวงหาด้านจิตวิญญาณ
ท่านจะต้องเพิ่มความพยายามทุ่มเทในชีวิตของท่านทวีคูณอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

06 มิถุนายน 2553

อย่าตัดสินคนอื่น

เมื่อสามารถเอาชนะตนเองแล้ว ความปีติชื่นบานก็จะตามมา!
ท่านไม่สามารถที่จะควบคุม หรือ เอาชนะคนอื่นได้
จนกว่าท่านจะสามารถควบคุม และ เอาชนะตนเองอย่างสิ้นเชิง

ท่านสามารถเห็นตัวท่านเองนิ่งสงบมั่นคงได้ไหม?
ขอท่านคิดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อครั้งที่พระองค์อยู่ต่อหน้าเหล่าทหารที่กล่าวถากถางเยาะเย้ย
พระองค์ถูกลงแซ่
พระองค์ถูกถ่มน้ำลายรด
พระองค์มิได้ตอบโต้แม้เพียงคำเดียว... แม้เพียงคำเดียวจริงๆ

แล้วท่านจงพยายามมองถึงฤทธานุภาพแห่งองค์สูงสุด
จำไว้เสมอว่า...
ด้วยฤทธานุภาพแห่งความสงบนิ่งแท้จริงของพระองค์
การควบคุมตนเองอย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้ต่างหากที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิที่จะครอบครอง

อย่าตัดสินคนอื่น
จิตใจมนุษย์นั้นแสนจะบอบบาง
ทั้งยังซับซ้อนและสับสน
พระผู้ทรงสร้างจิตใจดวงนั้นเท่านั้นที่จะทรงทราบ
ดวงจิตแต่ละดวงก็แตกต่างกันออกไป
ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าที่แตกต่างกันออกไป
ถูกครอบงำด้วยสถานการณ์แวดล้อมที่ผิดแผกแตกต่างกัน และ
ถูกกดดันจากความทุกข์ยากลำบากที่ไม่เหมือนกัน

แล้วท่านจะตัดสินคนอื่นได้อย่างไร?
จงยกเรื่องการตัดสินให้เป็นเรื่องขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้พระองค์เป็นผู้แก้ปมปัญหาแห่งชีวิต
จงวางเรื่องการสอนถึงความเข้าใจให้เป็นหน้าที่ของพระองค์
ท่านมีหน้าที่ที่นำดวงจิตแต่ละดวงมายังองค์พระผู้เป็นเจ้า
ผู้เป็นพระผู้ทรงสร้างดวงจิตเหล่านั้น แล้ว
จงวางดวงจิตเหล่านั้นไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงมั่นใจเถิดว่าทุกสิ่งที่ผิดพลาดพระองค์จะสามารถแก้ไขจัดการให้ถูกต้องได้

ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย
แต่จงตัดสินใจเสียดีกว่า
ว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้สะดุด หรือ
สิ่งกีดขวางทางของพี่น้อง โรม 14:13
“เพราะเราประสงค์ความเมตตา
ไม่ใช่เครื่องบูชา
เราต้องการให้เจ้ารู้จักเราผู้เป็นพระเจ้า
มากกว่าต้องการเครื่องเผาบูชา” โฮเชยา 6:6 (อมตธรรม)

03 มิถุนายน 2553

ความตื่นเต้นจากการทรงปกป้อง

จงสลัดทิ้งซึ่งจิตใจที่สงสัย ทุกข์ยาก และขมขื่น
อย่าอดทนกับสิ่งนี้แม้เพียงนาทีหนึ่ง
จงลงกลอนใส่สลักหน้าต่างและประตูแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ที่จะปิดกั้นสิ่งนี้ไม่ให้สามารถเข้ามาในชีวิตท่าน
อย่างที่ท่านปิดกั้นมิให้ขโมยเข้ามาในบ้านของท่านที่จะลักขโมยทรัพย์สินของท่านไป

จะมีทรัพย์สมบัติใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า...
ศานติสุข
การได้รับการผ่อนพักในพระเจ้า
ด้วยความชื่นบานยินดี?
สิ่งเหล่านี้จะถูกลักขโมยไปจากท่าน
โดยความสงสัย ความกลัว และความสิ้นหวัง
จงเผชิญหน้าคลื่นลมแห่งพายุของทุกวันด้วยรักและเสียงหัวเราะ

ของประทานยิ่งใหญ่คือ
ความชื่นบานยินดี
ศานติสุข และ
ความรัก
จงติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และแสวงหาทั้งสามสิ่ง

องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ท่านรู้สึกถึง...
ความตื่นเต้นแห่งการปกป้องและความปลอดภัยในขณะนี้
ใครๆ ก็มีความรู้สึกนี้ได้เมื่ออยู่ภายในที่หลบภัย
แต่ความชื่นบานยินดีและชัยชนะที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้
ขณะเมื่อคนนั้นโต้กับคลื่นพายุแห่งชีวิตเท่านั้น

จงกล่าวออกมาว่า “แล้วทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี”
กล่าวออกมามิใช่ด้วยการพร่ำบ่นไร้สาระ
จงใช้วลีนี้อย่างที่ท่านใช้ยาทาบาดแผล
เพื่อพิษและเชื้อโรคจะถูกทำลายออกไป
จากนั้นแผลจะได้รับการรักษา
ติดตามมาด้วยความตื่นเต้นที่เนื้อใหม่ได้งอกขึ้น
บาดแผลได้รับการสมาน

01 มิถุนายน 2553

ความสมดุลกลมกลืนภายใน

จงติดตามการทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงกลัวที่จะเดินไปด้วยตนเอง
อย่างกับเด็กน้อยกลัวที่จะต้องห่างจากแม่

จงสงสัยในสติปัญญาของตนเอง
แต่จงวางใจในพระปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่จะสอนให้ท่านมีความถ่อมในชีวิต

การมีความถ่อมมิใช่การที่ทำตัวท่านเองให้เล็กลง
แต่เป็นการที่ท่านยอมที่จะละลืมตัวเอง
ยิ่งกว่านั้น เพื่อท่านจะระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านอย่าคาดหวังว่า...
การมีชีวิตในโลกนี้ ทุกสิ่งจะสมดุลกลมกลืน
ท่านอย่าคาดหวังที่จะมีชีวิตที่คนอื่นจะเป็นมิตร
มีไมตรีจิต และสัมพันธ์กลมกลืนกับท่าน

แต่เป็นภาระหน้าที่ของท่าน
ที่จะรักษาจิตใจของท่านเองให้มีสงบศานติ
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นปรปักษ์กับท่าน
ความกลมกลืนจะเป็นของท่านเสมอ
เมื่อชีวิตของท่านเงี่ยหูฟังให้ได้ยินเสียงเพลงแห่งสวรรค์

จงสงสัยในสติปัญญาและพลังอำนาจของท่านเอง
ที่จะกระทำให้สิ่งต่างๆ ถูกต้อง
จงทูลขอจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะกระทำสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง
ส่วนท่านจงดำเนินไปบนวิถีชีวิตของท่านด้วยรักและชื่นบาน

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระปัญญา
ด้วยพระปัญญาของพระองค์เท่านั้นจะให้การตัดสินใจที่ถูกต้อง
สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่พบอย่างแท้จริง
ดังนั้น ท่านจงพึ่งพิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดี