สถานการณ์เพื่อพิจารณา:
ครั้งหนึ่งเมื่อผมไปนั่งดื่มกาแฟสดในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โต๊ะข้างๆ ที่ผมนั่ง มีพ่อและลูกสาวสนทนากันอยู่
คุณพ่อตั้งหน้าตั้งตาอบรมลูกสาวเรื่องการใช้เงิน “ลูกใช้เงินมากเกินไป แต่ลูกไม่สนใจในการเล่าเรียน....” ลูกสาวรู้สึกเจ็บปวดจากคำสั่งสอนของผู้เป็นพ่อ เธอต้องการให้พ่อถามเธอบ้างว่า
“ลูกมีเป้าหมายอะไร?”
“ลูกต้องการให้ชีวิตลูกเกิดผลอย่างไรบ้าง? แต่พ่อกลับพูดเสียงดังขึ้นดังขึ้น จนลูกสาวน้ำตาไหล เป็นภาพที่ผมไม่สบายใจเอามากๆ
แต่ผมก็เชื่อว่าผู้เป็นพ่อต้องการให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของลูกสาว แต่เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรจึงจะให้ลูกสาวได้รับสิ่งดีๆ
ที่เขาต้องการให้
ถ้าผมมีโอกาสถามพ่อคนนี้ว่า
เขาต้องการให้อะไรเกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้
ผู้เป็นพ่อคงมีคำตอบในทำนองนี้ว่า “ถ้าลูกสาวจะฟังผม ทุกสิ่งก็จะเกิดผลดีกว่านี้” และถ้าผมมีโอกาสถามลูกสาวว่า
เธอต้องการให้เหตุการณ์นี้เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง? เธอคงจะตอบอย่างไม่ต้องสงสัยว่า
“ทำไมพ่อไม่ยอมฟังว่าฉันต้องการอะไร?”
ทั้งสองทำการสื่อสาร แต่ต่างใช้วิธีการสื่อสารแบบทางเดียว ไม่มีใครที่จะฟังอย่างใส่ใจเลย
ในยุคปัจจุบันนี้ แต่ละคนมักจะเริ่มต้นสื่อสารสนทนาโดยพูดถึงความคิดความเห็นของตนเอง เมื่อต้องพูดคุยสื่อสารกับผู้คน แล้วการสื่อสารก็มักมีสภาพการสื่อสารทางเดียวของคนสองคน
ต่างคนต่างมุ่งเสนอประเด็นของตนให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ยิน และ ยอมรับ
เราทุกคนต้องการให้คนอื่นฟังเราอย่างใส่ใจ
จากเรื่องข้างบนนี้
ผู้เป็นพ่อพยายามที่จะสื่อสารทางเดียวด้วยความคิดความเห็นของตนเพื่อให้ลูกสาวยอมรับเพราะเขาคิดว่าความคิดของตนถูกต้อง ดังนั้น
จึงตั้งหน้าตั้งตาสื่อสารความคิดของตนโดยมิได้ใส่ใจถึงความคิดความรู้สึกของลูกสาว
ผู้เป็นพ่อได้สูญเสียโอกาสที่จะได้ยินถึงความคิดความเข้าใจและความต้องการของลูกสาว และอาจจะสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกสาวด้วยก็ได้
เราทุกคนต้องการให้คนอื่นได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เราพูด
เราคิด เราต้องการ
เราปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ
เราต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงความคิด ความต้องการของเรา เราต้องการให้คนอื่นยอมรับว่าเรามีคุณค่าอย่างที่เราเป็น ความปรารถนาของมนุษย์เราแต่ละคนนั้นมีพลังอย่างมากในชีวิต เรารับไม่ได้ที่ใครบางคนไม่ยอมรับเรา แล้วมาชี้ผิดชี้ถูกหรือวิพากษ์วิจารณ์เรา
ความจริงที่เราต้องตระหนักเสมอว่า การที่เราตอบสนองการวิพากษ์วิจารณ์ของใครก็ตามเราตอบสนองต่อท่าทีของคนๆ
นั้นที่มีต่อเรา มิได้ตอบสนองตามเหตุผลหรือข้อมูลความจริงในเรื่องที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เรา
ท่านเคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้ไหมครับว่า มีคนหนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์เราในเรื่องหนึ่ง แต่เราไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์นั้น ภายหลังมีอีกคนหนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเดียวกันแต่เรากลับยอมรับ ทำไมเป็นเช่นนี้ครับ? ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราตอบสนองต่อท่าทีของผู้วิพากษ์วิจารณ์
แต่มิใช่ตอบสนองต่อเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
หรือเพราะคนแรกไม่ใช่เพื่อนของเรา แต่คนหลังเป็นเพื่อนสนิทที่เราไว้ใจกัน?
พูดอีกนัยหนึ่งการที่เราสามารถฟังจนได้ยินถึงความคิด
ความรู้สึก และความต้องการของคู่สนทนา ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนที่พูดกับเรา ถ้าเช่นนั้น
การที่จะพูดจนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้นั้นต้องเป็นการพูดในบรรยากาศที่สร้างสรรค์และเสริมหนุนกันและกัน และจุดเริ่มต้นที่จะพูดอย่างสร้างสรรค์
การที่เราฟังอย่างใส่ใจ ให้ความสนใจ
และความสำคัญในสิ่งที่คู่สนทนากำลังพูดย่อมเป็นการเสริมสร้างให้เกิดความไว้วางใจและความสัมพันธ์ได้ดีและเร็วกว่าการที่จะฟังเพื่อวิเคราะห์เจาะลึกว่าอะไรถูกอะไรผิด
กล่าวง่ายๆ คือ ให้เราเลิกฟังแบบ “จับผิด” แต่ให้เราฟังแบบ “จับถูก”
จากเรื่องข้างบนนี้
ลูกสาวคงไม่สนใจสิ่งที่พ่อของเธอพูดจนกว่าเธอรู้สึกว่าพ่อยอมรับเธออย่างที่เธอเป็น
และการที่พ่อยังดันทุรังวิพากษ์วิจารณ์ลูกสาวทั้งๆ ที่ลูกสาวไม่ยอมรับในตัวของพ่อ เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่พ่อกำลังทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว
เกิดความร้าวฉานฉีกขาด แม้ที่พ่อทำไปนั้นจะด้วยความหวังดีขนาดไหนก็ตาม
ฟังอย่างใส่ใจ และ ด้วยการยอมรับ เป็นคุณค่าของการสื่อสารสนทนา
เราทุกคนต้องการสื่อสารสนทนากับคนที่ยอมรับและเห็นถึงคุณค่าของเรา ดังนั้น
การฟังอย่างใส่ใจ จดจ่อ
ย่อมเป็นการสื่อสารที่มีอิทธิพลต่อคู่สนทนาของเรา
เราต้องตระหนักเสมอว่า
การฟังอย่างใส่ใจนั้นเป็นเครื่องมือที่มีพลังอย่างสูงต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคู่สนทนา
เพราะการรับฟังด้วยท่าทีแห่งการยอมรับทำให้คู่สนทนาของเราสนใจและใส่ใจในข้อมูลที่สนทนาสื่อสารมากกว่า
ท่าทีและความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายหนึ่ง
พลังของการฟังอย่างใส่ใจ
ในวงการโค้ช...
การฟังอย่างใส่ใจเป็นทักษะประการแรกของโค้ช
และความสัมพันธ์ของการโค้ชเริ่มต้นที่การฟัง
เพราะด้วยการฟังอย่างใส่ใจเท่านั้นที่ทำให้เรารู้ว่าคู่สนทนาของเราเป็นอย่างไร และมีความคิด ความรู้สึกอย่างไร การฟังอย่างใส่ใจช่วยสร้างบรรยากาศเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่ง
การเป็นโค้ชที่ดีจะต้องพัฒนาทักษะในการฟังอย่างใส่ใจ
หน้าที่ของโค้ชมิใช่การพยายามแสวงหาวิธีการในการแก้ปัญหาของคู่สนทนา แต่มีหน้าที่ฟังอย่างใส่ใจ
แล้วคู่สนทนาของท่านจะเป็นคนตอบเองว่าจะแก้ปัญหาของเขาอย่างไร ดังนั้น
การฟังอย่างใส่ใจของโค้ชจึงมิใช่ฟังเพื่อที่จะตอบปัญหาของคู่สนทนา และก็ไม่ใช่ฟังด้วยการคิดวิเคราะห์ เพื่อที่จะตั้งคำถามอะไรต่อไปที่จะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาของคู่สนทนา
เราต้องตระหนักชัดว่า ผู้ที่แก้ปัญหามิใช่โค้ชแต่คือตัวเจ้าของปัญหาเอง!
บ่อยครั้งที่เราอาจจะรู้สึกว่าการฟังเป็นอาการที่นิ่งเฉย
(ดูไม่มีพลัง) ไม่ทำให้เกิดการแก้ปัญหา
แต่แท้จริงแล้วการฟังนั้นปี่ยมด้วยพลังที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง อะไรที่ทำให้คนเผชิญหน้ากับปัญหาแล้วถดถอย สิ้นหวัง
ไม่สู้ มิใช่เขาไม่มีความคิด ความรู้ แต่เขาขาดความมั่นใจในความคิดของตน
หรือไม่สามารถอธิบายปัญหาของเขาออกมาเป็นคำพูดต่างหาก
ดังนั้น
การที่เราฟังอย่างใส่ใจเป็นการยืนยันและหนุนเสริมเพิ่มพลังให้เขาอธิบายถึงปัญหาและตัวตนของเขาออกมาด้วยความมั่นใจ
เมื่อท่านฟังอย่างใส่ใจท่าทีของท่านกำลังสื่อสารกับคู่สนทนาของท่านว่า “คุณเป็นคนสำคัญ และสิ่งที่คุณพูดเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณเป็นคนที่มีคุณค่า และสิ่งที่คุณพูดนั้นมีคุณค่าที่จะรับฟัง ผมเชื่อว่าคุณสามารถคิดและหาทางแก้ไขได้ และเมื่อคุณแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในความสามารถของคู่สนทนา
คู่สนทนาของคุณเริ่มชื่อมั่นในตนเองด้วย
เมื่อเราเริ่มสนทนากัน แล้วมีผู้ที่ฟังเราอย่างใส่ใจ มีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น เขาคนนั้นฟังเราอย่างอดทน คำถามที่เขาถามช่วยเราให้กลับมองย้อนสถานการณ์ของเราในมุมมองใหม่ที่เราไม่เคยมอง เราเริ่มมองเห็นสัจจะความจริงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น กระตุ้นผลักให้เราออกไปจากความคลุมเครือแห่งหมอกควันทางอารมณ์ หรือกระตุ้นผลักให้เราออกจากกรอบคิดเดิมๆ เพื่อสามารถเห็นคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การที่เรามีโอกาสพยายามอธิบายความคิดของเราให้กับคู่สนทนาที่ฟังเราอย่างใส่ใจ
มันช่วยให้เราคิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้นและเกิดความมั่นใจมากกว่าการที่เรานั่งคิดอยู่เพียงผู้เดียว
สิ่งที่โค้ชจะให้ได้ในการโค้ชนั้นคือ
การที่ทำให้คู่สนทนาของโค้ชสามารถเล่าหรือบอกถึงเรื่องราวปัญหาของเขา เพื่อเขาจะสามารถค้นพบคำตอบของตนเอง สิ่งที่โค้ชจะให้ได้อย่างมีคุณค่ามิใช่การที่จะให้คำตอบในการแก้ปัญหา แต่สิ่งที่มีคุณค่าที่โค้ชควรให้คือ การให้บรรยากาศที่จะช่วยให้คู่สนทนาสามารถหาพบทางเลือก ดังนั้น
จึงมิได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้ในเรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหน หรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นหรือไม่
แต่การที่เราสามารถหนุนเสริมให้เขาคิดและค้นหาจนพบคำตอบและทางเลือกของเขานั่นคือบทบาทหน้าที่ของโค้ชที่สร้างคุณค่าแก่คู่สนทนา
วันนี้ให้เราเป็น
“โค้ชชีวิต” ในผู้คนที่เราพบเห็นสัมพันธ์พูดคุยด้วยดีไหมครับ?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499