ท่ามกลางกลุ่มที่อาสารับใช้ภายหลังโศกนาฏกรรมของพายุร้าย คริสตจักรร่วมในกลุ่มนั้นด้วย
ภายหลังที่ทอร์นาโดโหมกระหน่ำกวาดล้างสิ่งต่างๆ บนแผ่นดินโอคลาโอมา
คนจากคริสตจักรได้ออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยความรักของพระคริสต์ที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน และอาจจะไม่พบเช่นนี้อีกก็ได้
คริสตจักรได้ทุ่มเทชีวิตช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติครั้งนี้โดยมิได้คาดหวังสิ่งตอบแทน
คริสตจักรเปิดพื้นที่และอาคารของคริสตจักรเพื่อให้ผู้ไร้ที่พักพิงกะทันหันได้อยู่อาศัย สมาชิกคริสตจักรได้เอารถกระบะออกไปรับบริจาคเสื้อผ้า อาหาร
เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับผู้คนที่เข้ามาพักพิง
การกระทำทั้งสิ้นนี้เป็นการกระทำด้วยความรักเมตตา มิใช่คำพูดในคำเทศนาเท่านั้น แต่เป็นความรักที่แสดงออกมาด้วยการกระทำ
โดยมิได้คาดหวังว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วเหยื่อภัยพิบัติจะมาเป็นสมาชิกของคริสตจักรหรือไม่
คริสตจักรต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติต่างก็เข้ามาอาสารับใช้ช่วยเหลือผู้ที่ถูกล้างผลาญทำลายจากพายุทอร์นาโด คริสตจักรจากโคลัมบัส โอไฮโอ
ได้รับบริจาครวบรวมเอาแบตเตอรี่
เต็นท์ เป้ ถุงนอน
และเครื่องใช้สำหรับทารกมาให้ผู้ประสบภัย
คริสตจักรในนิวยอร์กได้ส่งทีมอาสาสมัคร
มาทำความสะอาดดินโคลนที่ถล่มทับถม คริสตจักรที่อินเดียนาได้จัดงานคอนเสิร์ตเพื่อหารายได้เพื่อช่วยผู้ประสบภัยในครั้งนี้
การช่วยเหลือของคริสตจักรมากมายเหล่านี้ต่างมิได้คาดหวังที่จะได้สิ่งตอบแทน หรือมองการอาสารับใช้ช่วยเหลือครั้งนี้ว่าเป็น
“การลงทุน”
เขากระทำเพียงเพราะต้องการเป็นคนรับใช้ด้วยความรักของพระคริสต์เท่านั้น
ภายหลังทอร์นาโดพัดผ่านทิ้งไว้แต่ความเสียหายและความโศกเศร้าเจ็บปวด หนังสือพิมพ์ของโอคลาโอมาขึ้นข่าวหราหน้าแรกเป็นข่าวงานอาสารับใช้ของคริสตจักร หนังสือพิมพ์กล่าวว่า
“ถ้าคุณรอการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ชีวิตของคุณก็จะจมจ่อมอยู่ในกองภัยพิบัติเสียหายตลอดไป
แต่คริสตจักรจะจัดการรับใช้ช่วยเหลือให้เหตุรุนแรงนี้เข้าสู่ปกติในวันพรุ่งนี้
คริสตจักรจะรับใช้โดยไม่ต้องคาดหวังให้คนเหล่านั้นมาเป็นคริสเตียนได้ไหม?
แม้ว่าบางครั้ง
เกิดคำถามในจิตใจว่า
ที่เราไปช่วยผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติเช่นนี้เพื่ออะไร?
ในเรื่องนี้สมาชิกและผู้นำคริสตจักรต่างมิได้เห็นด้วยกัน หรือ เห็นเหมือนกัน ทั้งหมด แต่จากรายงานข่าวทางโทรทัศน์ทำให้เห็นชัดเจนว่า สมาชิกของคริสตจักรต่างๆ พยายามและทุ่มเทช่วยประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในครั้งนั้น
เพื่อที่จะนำกำลังใจและรอยยิ้มกลับมายังผู้สูงวัย นำความรักและศักดิ์ศรีความเป็นคนกลับมาให้คนไร้ที่พักอาศัยและแม่ที่ต้องดูแลเด็กน้อย
เมื่อเราเอาคลิปเหล่านี้กลับมาฉายใหม่ในคริสตจักรให้สมาชิกคริสตจักรได้ทบทวนดูอีกครั้งหนึ่ง มีสมาชิกส่วนหนึ่งจะตั้งคำถามอย่างไม่ค่อยพอใจว่า
“แล้วพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน?”
“เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้คนเหล่านั้นจะได้ยินได้ฟังถึงแผนการแห่งการช่วยกู้ให้รอด?” และสิ่งที่ทำกันไปทั้งหมด
“คุณเรียกมันว่าเป็นพันธกิจของคริสตจักรหรือ?” “ไม่เห็นมีเสียงสรรเสริญยกย่องคริสตจักรของเรา”
“ไม่เห็นคนมาร่วมนมัสการในวันอาทิตย์เพิ่มขึ้นในคริสตจักรของเรา”
สำหรับหลายต่อหลายคริสตจักรในปัจจุบันนี้
“ความรักเมตตา และ การอาสารับใช้ กับ สิ่งตอบแทนที่เกิดตามมาภายหลัง” กลายเป็นเงื่อนไขของกันและกัน
หลายคริสตจักรพยายามเสริมสร้างให้คริสตจักรของตนเป็น
“คริสตจักรแห่งพันธกิจ”
มีพันธกิจออกไปทำในชุมชน
ออกไปให้ความรักเพียงเพื่อเห็นผลพวงรูปธรรมที่จะเกิดแก่คริสตจักรเป็นการตอบแทนกลับ หรือเป็นเหมือน “หมูไปไก่มา” อะไรในทำนองนั้น?
แต่พระคริสต์ได้สำแดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า พระมหาบัญญัติประการที่สองที่ไม่สามารถแยกออกจากประการแรกคือ
ให้คนในคริสตจักรรักเมตตาคนรอบข้างของตนเอง โดยไม่มีเงื่อนไข!
ปัจจุบัน ส่วนมากสิ่งที่คริสตจักรพูด
คริสตจักรสอน และที่คริสตจักรเทศนาและประกาศมันไม่สามารถเห็นเป็นรูปธรรมในชีวิตจริงของผู้คน
Thom Schultz
ได้เล่าว่า
ครั้งเมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติที่มิสซูรี ในปี 2011 ผู้อำนวยการ C.J Huff
แห่งโรงเรียนของรัฐใน Joplin ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในการประชุมเพื่อระดมความช่วยเหลือจากองค์กร
และ ภาคส่วนต่างๆ ในชุมชน
เขาพบว่าคริสตจักร หรือ ศิษยาภิบาลมิได้เข้าร่วมเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้น
ท่านผู้อำนวยการเรียกประชุมอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะสำหรับผู้นำศาสนาในเมืองนั้น ผู้อำนวยการมาเข้าใจภายหลังว่าทำไมคริสตจักร
และ ศิษยาภิบาลไม่เข้าร่วมในการระดมความช่วยเหลือดังกล่าว เพราะคริสตจักรถูกห้ามการสอนศาสนาในโรงเรียนของรัฐ
ต่อมาศิษยาภิบาลท่านหนึ่งยืนขึ้นกล่าวแก่สมาชิกในคริสตจักรของตนว่า “แม้เราไม่สามารถเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าในโรงเรียน แต่เราสามารถเป็นแขนขาของพระเจ้าในโรงเรียนได้”
ในที่สุดสมาชิกคริสตจักรได้เข้ามาอาสารับใช้การพลิกฟื้นชีวิตของโรงเรียนจากมหันตภัยครั้งนั้น นักเรียนสัมผัสกับความรักเมตตาและการเอาใจใส่จากการรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในครั้งนั้นจากสมาชิกคริสตจักร จำนวนนักเรียนที่ลาออกลดน้อยลงอย่างทันตาเห็น
ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวภายหลังว่า “ผลที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดเจน จะเป็นการดีสักเท่าใด
ถ้าชุมชนของเราทำอย่างสมาชิกในคริสตจักรได้กระทำ”
เรามิได้เป็นเพียงกระบอกเสียงของพระเจ้าเท่านั้นครับ
แต่เราสามารถเป็นแขนขาของพระเจ้าได้ในสถานการณ์ต่างๆ
ครับ!
คริสตจักรไทยพร้อมแล้วหรือยังที่จะเป็นแขนขาของพระคริสต์ท่ามกลางวิกฤติชีวิตของชุมชนและประเทศอย่างไร้เงื่อนไข?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น