พระเยซูคริสต์ชี้ชัดว่า ให้สาวกของพระองค์ดำรงชีวิตในสังคมโลกนี้ แต่มิให้เป็นคนของสังคมโลกนี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสาวกของพระคริสต์มิควรอยู่ภายใต้การครอบงำ
อิทธิพล หรือ กระแสอำนาจแห่งโลกนี้
นั่นหมายความว่าสาวกของพระองค์มีชีวิตในสังคมโลกนี้ภายใต้พลังอำนาจแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์ที่มีอิทธิพลกระทบต่อระบบคุณค่าและคุณภาพชีวิตของสังคมโลกนี้
แต่น่าเสียดายที่สาวกของพระเยซูคริสต์ในปัจจุบันส่วนหนึ่งที่กลับเปิดชีวิตรับเอาอิทธิพลกระแสสังคมโลกนี้ และมีชีวิตที่ลู่ไปตามแรงของกระแสสังคมโลกดังกล่าว
มิหนำซ้ำยังพาเอาอิทธิพลของกระแสสังคมโลกเข้ามาแพร่ระบาดแปดเปื้อนในชุมชนคริสตจักร
ขาดการพิจารณาไตร่ตรองอย่างเหมาะสมรอบคอบว่ากระแสสังคมเหล่านั้นสอดคล้องกับหลักคิดหลักเชื่อในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่
คริสตจักรในประเทศไทย ไปสัมผัสรับเชื้อกระแสสังคมโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อเรื่องประชาธิปไตยว่าเป็นเรื่องที่สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกับความเชื่อศรัทธาในคริสต์ศาสนา ในขณะที่พระวจนะสอนชัดเจนว่า ผู้ที่เป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตและสังคมโลกนี้คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่องค์เดียว มิใช่อธิปไตยของประชาชน
(ซึ่งเราเห็นภาพนี้และผลที่ได้รับชัดเจนจากเรื่องหอบาเบล)
เราต้องชัดเจนว่า ประชาธิปไตยมิใช่คริสต์ศาสนา และคริสต์ศาสนามิใช่ประชาธิปไตย!
เชื้อร้ายภัยมืดอีกประการหนึ่งที่คริสตจักรได้รับเข้ามาในชุมชนของตนคือ หลักคิดหลักเชื่อเรื่องเสียงข้างมาก หรือกระบวนการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก
โดยวิธีการของการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากไม่มีอะไรผิด แต่เมื่อคริสตจักรรับเอาหลักคิดและกระบวนการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากมาใช้ในการทำงานของชุมชนคริสตจักร และทึกทักอย่างผิดพลาดว่า “เสียงข้างมาก คือพระประสงค์ของพระเจ้า”
แต่คริสตชนต้องระมัดระวังอย่างมากว่า “เสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์”!
ยิ่งกว่านั้น
เมื่อคริสตจักรนำเอาระบบการเลือกตั้งแบบพวกนักการเมืองมาใช้ในคริสต์ศาสนจักรไทย
เพื่อเลือกหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสต์ศาสนา และมีผู้ใหญ่หลายคนในคริสตจักรที่ทึกทักเอาว่า
การที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสตจักรคนใดได้คะแนนมากสุด คนนั้นเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงเลือก
นี่เป็นหลุมพรางทางความเชื่อศรัทธาขององค์กรคริสตจักร เพราะ การเลือกตั้งไม่ใช่การทรงเรียก!
บ่อยครั้ง
มักมีคนพูดว่า
พระเจ้าทรงเรียกคนที่จะมาเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสต์ศาสนาผ่านการเลือกตั้ง น่าฉงน สนเท่ห์ และ
น่าสงสัยอย่างยิ่งครับ
อย่าไปจำกัดวิธีการกระทำพระราชกิจของพระเจ้าให้คับแคบลงถึงขนาดนี้เลยครับ หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ อย่าไปผูกพระบาทมัดพระหัตถ์(มัดตีนมัดมือ)ของพระเจ้าเลย! พระองค์ย่อมมีพระปัญญา มีวิธีการที่พระองค์เลือกกระทำเองได้ครับ
อีกประการหนึ่ง การใช้ระบบการเมืองแบบการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ซึ่งเป็นการแข่งขันเอาแพ้เอาชนะกัน เกิดการแบ่งข่ายแบ่งค่าย แบ่งพวกแบ่งฝ่าย และพูดตรงๆ เถิดครับ คนที่ลงแข่งขันต่างอยากได้อยากเป็นกันทั้งสิ้น ถึงขนาดมีทีมวางแผนเป็น “กุนซือ” การเลือกตั้ง ที่แย่กว่านั้นมีหัวคะแนนด้วยครับ และที่เลวกว่านั้น ไปลอกเลียนการหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมเข้าล่อครับ อะไรจะเป็นถึงปานนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือนำการแตกแยกที่ตามเข้ามาสู่ชุมชนคริสตจักร แล้วต้องมาคิดการปรองดองแบบการเมืองไทยภายหลัง?
แล้วอย่างนี้จะมาอ้างและทึกทักเอาว่าพระเจ้าทรงเรียกได้หรือครับ?
หรือถ้ายังคิดว่านี่เป็นการทรงเรียกจากพระเจ้า มันเป็นการหลอกตนเองหรือเปล่าครับ?
ประการสุดท้าย
ถ้าเราพิจารณาในการทรงเรียกและการทรงเลือกจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ เราจะพบว่า การทรงเรียกและการทรงเลือกเป็นการตัดสินพระทัยเรียกและเลือกโดยพระเจ้า พระองค์ไม่ต้องเรียกและเลือกผ่านใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้พระองค์จะส่งผู้เผยพระวจนะซามูเอลไปเลือกลูกของเจสซีให้เป็นกษัตริย์ พระเจ้ายังปฏิเสธคนที่ผู้เผยพระวจนะเลือกเพราะผู้เผยพระวจนะเห็นเพียงความสูงสง่า แต่พระเจ้าทรงเลือกดาวิดเด็กเลี้ยงแกะ พระองค์เลือกด้วยพระองค์เองครับ
ประการท้ายสุด
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกใคร
พระองค์บอกพระประสงค์อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเรียกให้ไปทำอะไรเพื่อให้เกิดอะไรขึ้น
เช่น พระเจ้าทรงเรียกทรงเรียกอับราฮัม ให้ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน ไปยังแผ่นดินที่ที่พระองค์จะประทานให้
เพื่ออับราฮัมจะได้นำเอาพระพรของพระเจ้าไปยังบรรดาประชาชาติ
พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้กลับไปยังประเทศอียิปต์ เผชิญหน้ากับฟาโรห์ เพื่อปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้หลุดรอดออกจากการเป็นแรงงานทาสในประเทศนั้น และพาพวกอิสราเอลไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา
พระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้เป็นผู้เผยพระวจนะเมื่อประเทศยูดาห์กำลังตกอยู่ในวิกฤติอันตราย พระราชกิจที่ทรงมอบหมายให้เยเรมีย์ทำคือ “...ให้ถอนรากและให้รื้อลง ให้ทำลายและให้ล้มล้าง ให้สร้างและให้ปลูก” (เยเรมีย์ 1:10
มตฐ.)
พระเยซูคริสต์ชี้ชัดว่า พระเจ้าทรงเรียกและแต่งตั้งให้พระองค์ กระทำสิ่งเหล่านี้คือ
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า
เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 4:18-19)
บนถนนไปเมืองดามัสกัส พระเยซูคริสต์ทรงเรียกเปาโล ผู้มุ่งล้างทำลายสาวกของพระคริสต์ แต่ด้วยแสงสว่างจ้าจนเปาโลตาบอด แล้วพระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้อานาเนียไปวางมือเพื่อเปาโลจะเห็นได้อีก เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขานำนามของพระองค์ไปถึงบรรดาคนต่างชาติและบรรดากษัตริย์
และไปถึงพวกอิสราเอล (กิจการ 9:15 มตฐ.)
ในปัจจุบันนี้ถ้าใครจะบอกว่า พระเจ้าทรงเรียก ต้องบอกได้ชัดว่า พระเจ้าทรงเรียกให้มาทำอะไร? ถ้าพระเจ้าทรงเรียกใครก็ตามให้เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสตจักร คนๆ นั้นต้องบอกได้ว่า พระเจ้าทรงเรียกให้มาทำอะไรในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งนั้น และพระองค์ต้องการให้เกิดอะไรขึ้น?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น