24 มกราคม 2557

เมื่อคริสตชนถูกอิทธิพลกระแสสังคมโลกกลืน

พระเยซูคริสต์ชี้ชัดว่า  ให้สาวกของพระองค์ดำรงชีวิตในสังคมโลกนี้   แต่มิให้เป็นคนของสังคมโลกนี้   หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสาวกของพระคริสต์มิควรอยู่ภายใต้การครอบงำ อิทธิพล หรือ กระแสอำนาจแห่งโลกนี้   นั่นหมายความว่าสาวกของพระองค์มีชีวิตในสังคมโลกนี้ภายใต้พลังอำนาจแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์   และดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์ที่มีอิทธิพลกระทบต่อระบบคุณค่าและคุณภาพชีวิตของสังคมโลกนี้

แต่น่าเสียดายที่สาวกของพระเยซูคริสต์ในปัจจุบันส่วนหนึ่งที่กลับเปิดชีวิตรับเอาอิทธิพลกระแสสังคมโลกนี้   และมีชีวิตที่ลู่ไปตามแรงของกระแสสังคมโลกดังกล่าว   มิหนำซ้ำยังพาเอาอิทธิพลของกระแสสังคมโลกเข้ามาแพร่ระบาดแปดเปื้อนในชุมชนคริสตจักร   ขาดการพิจารณาไตร่ตรองอย่างเหมาะสมรอบคอบว่ากระแสสังคมเหล่านั้นสอดคล้องกับหลักคิดหลักเชื่อในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่

คริสตจักรในประเทศไทย  ไปสัมผัสรับเชื้อกระแสสังคมโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อเรื่องประชาธิปไตยว่าเป็นเรื่องที่สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกับความเชื่อศรัทธาในคริสต์ศาสนา   ในขณะที่พระวจนะสอนชัดเจนว่า  ผู้ที่เป็นเอกเป็นใหญ่ในชีวิตและสังคมโลกนี้คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่องค์เดียว   มิใช่อธิปไตยของประชาชน (ซึ่งเราเห็นภาพนี้และผลที่ได้รับชัดเจนจากเรื่องหอบาเบล)   

เราต้องชัดเจนว่า  ประชาธิปไตยมิใช่คริสต์ศาสนา   และคริสต์ศาสนามิใช่ประชาธิปไตย!

เชื้อร้ายภัยมืดอีกประการหนึ่งที่คริสตจักรได้รับเข้ามาในชุมชนของตนคือ   หลักคิดหลักเชื่อเรื่องเสียงข้างมาก   หรือกระบวนการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก   โดยวิธีการของการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากไม่มีอะไรผิด   แต่เมื่อคริสตจักรรับเอาหลักคิดและกระบวนการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากมาใช้ในการทำงานของชุมชนคริสตจักร   และทึกทักอย่างผิดพลาดว่า   “เสียงข้างมาก  คือพระประสงค์ของพระเจ้า”

แต่คริสตชนต้องระมัดระวังอย่างมากว่า  “เสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์”!

ยิ่งกว่านั้น   เมื่อคริสตจักรนำเอาระบบการเลือกตั้งแบบพวกนักการเมืองมาใช้ในคริสต์ศาสนจักรไทย   เพื่อเลือกหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสต์ศาสนา   และมีผู้ใหญ่หลายคนในคริสตจักรที่ทึกทักเอาว่า   การที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสตจักรคนใดได้คะแนนมากสุด   คนนั้นเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงเลือก

นี่เป็นหลุมพรางทางความเชื่อศรัทธาขององค์กรคริสตจักร  เพราะ การเลือกตั้งไม่ใช่การทรงเรียก!

บ่อยครั้ง   มักมีคนพูดว่า   พระเจ้าทรงเรียกคนที่จะมาเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสต์ศาสนาผ่านการเลือกตั้ง   น่าฉงน สนเท่ห์  และ  น่าสงสัยอย่างยิ่งครับ   อย่าไปจำกัดวิธีการกระทำพระราชกิจของพระเจ้าให้คับแคบลงถึงขนาดนี้เลยครับ   หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ อย่าไปผูกพระบาทมัดพระหัตถ์(มัดตีนมัดมือ)ของพระเจ้าเลย!    พระองค์ย่อมมีพระปัญญา   มีวิธีการที่พระองค์เลือกกระทำเองได้ครับ

อีกประการหนึ่ง   การใช้ระบบการเมืองแบบการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก   ซึ่งเป็นการแข่งขันเอาแพ้เอาชนะกัน   เกิดการแบ่งข่ายแบ่งค่าย  แบ่งพวกแบ่งฝ่าย   และพูดตรงๆ เถิดครับ   คนที่ลงแข่งขันต่างอยากได้อยากเป็นกันทั้งสิ้น   ถึงขนาดมีทีมวางแผนเป็น “กุนซือ” การเลือกตั้ง   ที่แย่กว่านั้นมีหัวคะแนนด้วยครับ   และที่เลวกว่านั้น   ไปลอกเลียนการหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยมเข้าล่อครับ   อะไรจะเป็นถึงปานนั้น   แต่ที่แย่ที่สุดคือนำการแตกแยกที่ตามเข้ามาสู่ชุมชนคริสตจักร  แล้วต้องมาคิดการปรองดองแบบการเมืองไทยภายหลัง?

แล้วอย่างนี้จะมาอ้างและทึกทักเอาว่าพระเจ้าทรงเรียกได้หรือครับ?

หรือถ้ายังคิดว่านี่เป็นการทรงเรียกจากพระเจ้า   มันเป็นการหลอกตนเองหรือเปล่าครับ?

ประการสุดท้าย   ถ้าเราพิจารณาในการทรงเรียกและการทรงเลือกจากเรื่องราวในพระคัมภีร์   เราจะพบว่า การทรงเรียกและการทรงเลือกเป็นการตัดสินพระทัยเรียกและเลือกโดยพระเจ้า   พระองค์ไม่ต้องเรียกและเลือกผ่านใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง   แม้พระองค์จะส่งผู้เผยพระวจนะซามูเอลไปเลือกลูกของเจสซีให้เป็นกษัตริย์   พระเจ้ายังปฏิเสธคนที่ผู้เผยพระวจนะเลือกเพราะผู้เผยพระวจนะเห็นเพียงความสูงสง่า   แต่พระเจ้าทรงเลือกดาวิดเด็กเลี้ยงแกะ   พระองค์เลือกด้วยพระองค์เองครับ

ประการท้ายสุด   เมื่อพระเจ้าทรงเรียกใคร   พระองค์บอกพระประสงค์อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเรียกให้ไปทำอะไรเพื่อให้เกิดอะไรขึ้น เช่น   พระเจ้าทรงเรียกทรงเรียกอับราฮัม   ให้ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน   ไปยังแผ่นดินที่ที่พระองค์จะประทานให้   เพื่ออับราฮัมจะได้นำเอาพระพรของพระเจ้าไปยังบรรดาประชาชาติ

พระเจ้าทรงเรียกโมเสส   ให้กลับไปยังประเทศอียิปต์  เผชิญหน้ากับฟาโรห์  เพื่อปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้หลุดรอดออกจากการเป็นแรงงานทาสในประเทศนั้น   และพาพวกอิสราเอลไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา

พระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้เป็นผู้เผยพระวจนะเมื่อประเทศยูดาห์กำลังตกอยู่ในวิกฤติอันตราย  พระราชกิจที่ทรงมอบหมายให้เยเรมีย์ทำคือ  “...ให้​ถอน​ราก​และ​ให้​รื้อ​ลง   ให้​ทำ​ลาย​และ​ให้​ล้ม​ล้าง   ให้​สร้าง​และ​ให้​ปลูก” (เยเรมีย์ 1:10 มตฐ.)

พระเยซูคริสต์ชี้ชัดว่า   พระเจ้าทรงเรียกและแต่งตั้งให้พระองค์  กระทำสิ่งเหล่านี้คือ 

พระวิญญาณ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าสถิต​กับ​ข้าพเจ้า
เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​เจิม​ตั้ง​ข้าพเจ้า​ไว้
เพื่อ​นำ​ข่าว​ดี​มา​ยัง​คน​ยาก​จน
พระ​องค์​ทรง​ใช้​ข้าพเจ้ามา​ประกาศอิสรภาพแก่​พวก​เชลย
ประกาศแก่​คน​ตา​บอด​ว่า​จะ​ได้​เห็น​อีก
ปล่อย​ผู้​ถูก​บีบ​บัง​คับ​ให้​เป็น​อิสระ 
และ​ประกาศ​ปี​แห่ง​ความ​โปรด​ปราน​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า   (ลูกา 4:18-19)

บนถนนไปเมืองดามัสกัส   พระเยซูคริสต์ทรงเรียกเปาโล   ผู้มุ่งล้างทำลายสาวกของพระคริสต์   แต่ด้วยแสงสว่างจ้าจนเปาโลตาบอด   แล้วพระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้อานาเนียไปวางมือเพื่อเปาโลจะเห็นได้อีก  เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขานำ​นาม​ของ​พระองค์​ไป​ถึง​บรรดาคน​ต่าง​ชาติ​และ​บรรดา​กษัตริย์ และ​ไป​ถึง​พวก​อิส​รา​เอล (กิจการ 9:15 มตฐ.)

ในปัจจุบันนี้ถ้าใครจะบอกว่า  พระเจ้าทรงเรียก   ต้องบอกได้ชัดว่า  พระเจ้าทรงเรียกให้มาทำอะไร?   ถ้าพระเจ้าทรงเรียกใครก็ตามให้เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรคริสตจักร   คนๆ นั้นต้องบอกได้ว่า  พระเจ้าทรงเรียกให้มาทำอะไรในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งนั้น   และพระองค์ต้องการให้เกิดอะไรขึ้น?   

ถ้าบอกไม่ได้   จะรับตำแหน่งนั้นไปทำไมครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น