ข้อเขียนนี้ยาวมาก... แต่สำคัญมากเช่นกันครับ...
และนี่คือ “มุมมอง” ของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ประสงค์ให้เป็น “แว่นตาชีวิต”
ของเราแต่ละคนในแต่ละวันครับ
ประชาชนคนชนชาติยิวที่กลับจากการเป็นเชลยศึกในบาบิโลน
ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการพลิกฟื้นอาณาจักรอิสราเอลขึ้นใหม่ พวกเขาคาดหวังที่จะเป็นอาณาจักรมหาอำนาจของโลก
ปกครองโดยผู้นำที่สืบเชื้อสายจากกษัตริย์ดาวิด โดยมีกรุงเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางในการบริหารอำนาจและการปกครอง
แต่ผ่านไปแล้วหลายศตวรรษ พวกเขายังตกอยู่ใต้การปกครองของอำนาจจักรวรรดิแห่งโลกนี้ จากมหาอำนาจหนึ่งเปลี่ยนไปยังอีกมหาอำนาจหนึ่ง
จนหลายต่อหลายคนเกิดความสงสัยในใจว่า แผ่นดินของพระเจ้าที่ทรงสัญญายังจะมาอยู่หรือไม่?
แล้วการมาประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่กำลังมาในโลกนี้
ที่ให้ความหวังสำหรับผู้คนชนยิวทั้งหลาย เป็นอาณาจักรที่พวกยิวมุ่งมองหาอาณาจักรที่พวกเขาโหยหาให้เกิดขึ้นเป็นจริงหรือไม่?
พระเยซูจะนำกองกำลังกบฏ หรือ
จะเรียกว่ากองกำลังปฏิวัติเพื่อคว่ำล้มอำนาจทรราชโรมันแล้วสร้างอาณาจักของพวกยิวขึ้นใหม่หรือไม่?
แน่นอนเลยว่า
ที่พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อที่จะนำอาณาจักรแห่งพระสัญญาเข้ามาในโลกนี้ และเสริมสร้างความหวังแก่ผู้คนมากมายหลากหลาย แต่กลับไม่เป็นอาณาจักรที่พวกยิวคาดหวังกัน
ซึ่งมีเรื่องราว เนื้อหามากมายที่จะสามารถพรรณนาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์นำมาในโลกนี้
แต่ข้อเขียนนี้มุ่งเน้นแสวงหาประเด็นที่เฉพาะเจาะจงคือ
ประเด็นมุมมองเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์นำมาที่มีลักษณะ
“กลับตาลปัตร” กับแผ่นดินของพระเจ้าที่พวกยิวคาดหวังกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษหลายชั่วอายุคน
ลักษณะแผ่นดินของพระเจ้าที่
“กลับตาลปัตร” (กลับหัวกลับหาง) ที่พระเยซูคริสต์นำมามีดังนี้...
(1)
ผู้นำที่เป็น...ผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์
แห่งแรกที่กล่าวถึงความแตกต่างเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเจ้าจะนำเข้ามาในโลกเป็นบทเพลงของอิสยาห์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทเพลงเรื่องผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ (อิสยาห์ 52:13-53:12) ในบทเพลงนี้กล่าวถึง
ผู้รับใช้ที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกปฏิเสธ ถูกกดขี่ ถูกโบยตี ได้รับความเจ็บปวด และถูกประหารเพราะความบาปผิดของประชากรของพระองค์
ผู้รับใช้คนนี้ได้ถวายบูชาชีวิตของตนเองเพื่อเข้ารองรับเอาการลงโทษทัณฑ์ที่ประชาชนควรได้รับด้วยชีวิตของผู้รับใช้เอง
ตอนช่วงท้ายของบทเพลงผู้รับใช้บทนี้
พระเจ้าได้กล่าวถึงผลที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้รับใช้คนนี้ ว่า...
“ด้วยเหตุนี้เราจะให้เขามีส่วนแบ่งแก่คนมากมาย (หรือในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่)
และเขาจะแบ่งรางวัลกับคนจำนวนมาก (หรือผู้แข็งแกร่ง)
เนื่องจากเขายอมพลีชีวิต
และถูกนับเป็นพวกเดียวกับคนที่ล่วงละเมิด
เพราะเขาแบกรับบาปของคนเป็นอันมาก
และทูลวิงวอนเพื่อคนที่ล่วงละเมิด” (อิสยาห์ 53:12 สมช.)
ผู้รับใช้ตามบทเพลงดังกล่าว
เราเข้าใจว่าคือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เพราะพระองค์ยอมถวายชีวิตของตนเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบล้างความบาปผิดของผู้คน
พระองค์แบ่งส่วนแบ่งของประทาน (การลบล้างความผิดบาป) ที่ผู้รับใช้ท่านนี้ได้รับจากพระเจ้า
แล้วแบ่งปันแก่ผู้คนมากมาย
เพราะท่านเป็นผู้ที่ยอมมอบชีวิตทั้งสิ้นของตนรับใช้ และยอมพลีชีวิต
เสียสละถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาเพื่อคนอื่นมากมาย ดังนั้น
พระเจ้าจึงทรงยกย่องให้ผู้รับใช้คนนี้เป็นผู้ใหญ่ยิ่งสำคัญในแผ่นดินของพระเจ้า
(2)
ชนะด้วยการยอมตาย
“ท่านซึ่งตายแล้วเนื่องด้วยการละเมิดทั้งหลาย
และเนื่องด้วยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน
พระองค์ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตร่วมกับพระคริสต์ และทรงให้อภัยการละเมิดทั้งหลายของเรา
พระองค์ทรงฉีกเอกสารหนี้ที่มีคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งต่อสู้และขัดขวางเรา
และทรงขจัดไปเสียโดยตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์ทรงปลดเทพผู้ทรงเดชานุภาพและเทพผู้ทรงอำนาจต่าง
ๆ ลง พระองค์ได้ทรงประจานและพิชิตพวกนี้โดยกางเขนนั้น” (โคโลสี 2:13-15 สมช.)
พระเยซูคริสต์ได้ทุ่มและเทชีวิตของพระองค์จนยอมสิ้นชีวิตเพื่อแบกรับความบาปผิดของเรา
อันเป็นผลจากการที่เราถูกพลังความบอดมืดแห่งโลกนี้ที่ทำให้เราหลงทางและตกไปเป็นทาสของอำนาจบาปชั่วเหล่านั้น
เพื่อทดแทนชดใช้ความบาปผิดที่เราควรจะได้รับ เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของเราไว้ด้วยการที่พระองค์ยอมถูกตรึงสิ้นชีวิตบนกางเขา
พระองค์ยอมที่จะเป็นผู้รับความพ่ายแพ้อดสูรับเอาความบาปผิดของเรา ทำให้พระองค์ต้องพบกับความอัปยศอดสูจากอำนาจชั่ว
เพราะการที่พระเยซูคริสต์ยอมให้ชีวิตของพระองค์เอง
พระองค์จึงได้รับชัยชนะ และสิ่งนี้ก็เป็นความจริงสำหรับเราทุกคนด้วย ในกาลาเทีย 2:20 เปาโลกล่าวว่า ท่านได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว
และขณะนี้ท่านจึงมีชีวิตเป็นขึ้นมาใหม่กับพระคริสต์โดยความเชื่อ ใน กาลาเทีย 5:24 เปาโลกล่าวว่า “ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขน
(หรือ ทำลายความต้องการของเนื้อหนัง) พร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว” (สมช.)
เราจึงมีชีวิตในพระคริสต์ และทำให้ชีวิตของเราได้รับชัยชนะได้
(3) ฐานเชื่อ
มุมมองใหม่เกี่ยวกับชีวิตและความสัมพันธ์
สิ่งที่แสดงถึงการกลับตาลปัตรถึงแผ่นดินของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์นำมาปรากฏในคำสอนแรก
ๆ หรือที่เรารู้จักกันคือ ชุดคำสอนที่เนินเขา
ในมัทธิว บทที่ 5-7 ในชุดคำสอนมหาพร พระองค์ได้สอนถึงพระพรในลักษณะต่าง ๆ ที่ประชาชนจะได้รับ
หรือ เป็นชุดคำสอนที่ว่าด้วยเรื่องความสุขในชีวิต เป็นพระพร หรือ ความสุขของผู้ที่
ยากจนในจิตวิญญาณ คนที่โศกเศร้า ถ่อมสุภาพ ผู้หิวกระหายความชอบธรรม มีใจเมตตา ใจบริสุทธิ์
และ ผู้สร้างสันติ
คนทั่วไปในโลกนี้
จะมองคนที่พระเยซูสอนว่าจะมีความสุขว่า เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญ หรือ
เป็นคนที่เขาไม่พึงปรารถนา แต่พระเยซูกลับสอนว่าคนประเภทเหล่านี้คือประชากรในแผ่นดินของพระเจ้า
เป็นผู้ที่จะรับมรดกแห่งแผ่นดินโลก และ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มุมมองที่กระแสสังคมโลกใช้มองคนไม่เหมือนกับมุมมองที่พระเจ้ามอง
คนประเภทที่สังคมโลกดูหมิ่นดูถูกกลับกลายเป็นคนที่มีคุณค่าในแผ่นดินของพระเจ้า
เมื่อใครก็ตามที่อ่านคำเทศนาบนเนินเขาของพระเยซูคริสต์
ก็จะเห็นชัดเจนว่า คำสอนของพระองค์สวนกระแสคำสอนของสังคมโลก หรือแม้กระทั่งขัดแย้งแตกต่างจากคำสอนของพวกยิวด้วยกัน
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราจะอ่านพบคำกล่าวของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้... แต่เราบอกพวกท่านว่า...” (ตัวอย่างเช่น
มัทธิว 5:21-22)
ผู้คนในโลกนี้นิยมที่จะทำให้คนที่เห็นตน
ยอมรับและนิยมชมชอบตนเอง แต่ในแผ่นดินของพระเจ้าเราจะกระทำการดีต่าง ๆ อย่างเป็นการลับ
เพราะเราจะได้ความชื่นชมหรือบำเหน็จจากพระเจ้าพระบิดา เราจะช่วยเหลือคนยากจนขัดสน เราจะช่วยอย่างเป็นการลับ
มิใช่เพื่อให้คนอื่นได้เห็น การที่คนในแผ่นดินของพระเจ้าจะช่วยเหลือคนอื่นเป็นการลับเพราะเชื่อว่าพระเจ้าทรงเห็นแล้ว
คนในแผ่นดินของพระเจ้าจะไม่ดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความห่วงกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต
อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม อย่างที่คนในสังคมโลกเป็นกัน แต่คนในแผ่นดินของพระเจ้าจะไว้วางใจในพระเจ้า
พระองค์ทรงรอบรู้ลึกซึ้งถึงความจำเป็นต้องการของเราแต่ละคนแต่ละชีวิต และพระองค์จะใส่ใจต่อความจำเป็นต้องการเหล่านั้น
ในแผ่นดินของพระเจ้าสังคมจะไม่ตีตราว่าร้ายตัดสินชีวิตของคนอื่น
แต่กลับมุ่งเน้นให้ใส่ใจความบาปผิดที่ตนเองอาจจะพลั้งพลาดหรือตั้งใจกระทำลงไป วิถีการดำเนินชีวิตของคนในแผ่นดินของพระเจ้าเป็นวิถีทางที่คับและแคบ
ที่มักประสบกับความยากลำบาก ที่กระตุ้นเตือนให้ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง
จนบางครั้งดูเชื่องช้า
มิใช่วิถีทางที่กว้างขวางสะดวกสบาย ที่เอื้อให้ชีวิตของผู้คนบนเส้นทางนี้ดำเนินไปอย่างเร่งรีบ
(4)
ผู้เล็กน้อยคือผู้ยิ่งใหญ่
พระเยซูคริสต์สอนว่า“คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน
ใครยกตัวขึ้นจะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น” (มัทธิว 23:11-12 มตฐ.) และนี่ก็เป็นระบบคุณค่าที่กลับตาลปัตรกับระบบคุณค่าของสังคมในเวลานั้นและในเวลานี้ด้วยเช่นกัน
เรามักมีมุมมองว่าคนที่มั่งคั่งและมีอำนาจคือคนที่มีอิทธิพลในสังคมมากที่สุด เราจะเรียกคนพวกนี้ว่าเป็น
“ผู้ยิ่งใหญ่” แต่ในแผ่นดินของพระเจ้ามีระบบคุณค่าที่สวนกระแส ที่ตรงกันข้าม ที่กลับตาลปัตรกับกระแสอิทธิพลแห่งสังคมโลกนี้
พระเยซูคริสต์มิเพียงแต่สอนที่กลับตาลปัตรเท่านั้น
แต่พระองค์ปฏิบัติเป็นรูปธรรมแก่สาวกของพระองค์ด้วยการล้างเท้าของสาวกที่สกปรก
(ยอห์น 13:1-17) พระคริสต์กระทำบทบาทของการเป็นคนใช้ของสาวก แล้วพระองค์บอกกับสาวกว่า
สาวกต้องทำตามแบบอย่างที่พระองค์ได้วางไว้
แต่แบบอย่างที่เป็นรูปธรรมที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เห็นที่ยิ่งใหญ่
คือการสำแดงแบบอย่างรูปธรรมบนกางเขน ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสากลโลกจักรวาล ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งยกเว้นพระบิดา
ได้เข้ามาในสังคมโลกนี้ด้วยการให้ชีวิตของตนแก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แทนที่จะมาในสังคมโลกด้วยการเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่คนทั้งหลายคาดหวังกัน
แต่พระองค์ต้องการให้คนชาวโลกเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องว่า พระองค์เข้ามาในสังคมโลกในฐานคนรับใช้ที่ทนทุกข์อย่างที่เผยล่วงหน้าใน
อิสยาห์ บทที่ 53 ซึ่งจะไม่มีใครที่จะจินตนาการว่าผู้สร้างสรรพสิ่งในสากลโลกจักรวาลต้องมาตายด้วยกางเขนประหารอาชญากร
แต่นั่นคือสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้กระทำ
(5) ทรงเลือกคนโง่ที่จะทำให้คนฉลาดได้อาย
องค์กร องค์การต่าง ๆ ในโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ หรือ บริษัททั้งหลาย ต่างแสวงหาคนที่เข้มแข็ง ฉลาดปราดเปรื่อง
มาดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจ เราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพ สมรรถนะ และ
ที่สามารถนำความสำเร็จมาสู่องค์กรเป็นผู้นำของเรา เพราะผู้ที่ว่านี้จะเป็นผู้ที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จสูงสุดและความมั่งคั่งมั่นคง
แต่ในแผ่นดินของพระเจ้ามีมุมมองกระบวนคิดที่แตกต่างจากที่ว่านี้อย่างสิ้นเชิง
ใน 1โครินธ์ 1:18-31 เปาโลได้กล่าวถึงลักษณะคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นคนหนึ่งในแผ่นดินของพระองค์
ซึ่งเราส่วนใหญ่จะไม่เลือกอย่างที่พระเจ้าทรงเลือก เปาโลบอกเราว่า “พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าโง่
เพื่อทำให้พวกมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ
เพื่อทำให้พวกที่แข็งแรงอับอาย
พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไม่สำคัญ
เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์สักคนหนึ่งโอ้อวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้”
(ข้อ 27-28 มตฐ.)
พระเจ้ามิได้เลือกคนที่โลกเห็นว่าฉลาดปราดเปรื่องและคนที่เข้มแข็ง
แต่พระองค์กลับเลือกคนที่คนทั้งหลายเห็นว่าอ่อนแอและโง่ และคนที่ต่ำต้อย สิ่งที่สำคัญในแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่ความก้าวหน้าสำเร็จของมนุษย์
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งคือพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของผู้คนแต่ละคน พระเจ้าทรงเป็นแก่นกลาง
เสาหลัก หรือ หัวใจแห่งแผ่นดินของพระองค์
ไม่ใช่มนุษย์และความสำเร็จของมนุษย์
(6)
ฤทธานุภาพของพระเจ้าชัดแจ้ง (สมบูรณ์) ในความอ่อนแอ (ของมนุษย์)
ใน ฟีลิปปี 3:4-6 เปาโลพรรณนาถึงสิ่งดีเด่นที่ตนมีอยู่เมื่อเปรียบกับคนดีคนเด่นในสังคมของเขา แต่เขากลับเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไร้คุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าสุดคือ
การที่เขาได้รู้จักพระคริสต์ (ข้อ 7-8) นอกจากนี้เปาโลยังได้รับความทุกข์ทรมานจากความบาดเจ็บทางกายที่บั่นทอนในการปฏิบัติงานของเขาที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า
และเปาโลเองก็ได้อธิษฐานขอพระเจ้ายกเอาความอ่อนแอทางสุขภาพของเขาออกไป เพื่อเขาจะทำงานให้เกิดผลมากกว่านี้
แต่พระเจ้าบอกเปาโลว่า“เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน
ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” (2โครินธ์ 12:7-10)
ในโลกนี้เราชื่นชมกับความสำเร็จของมนุษย์
เรายกย่องคนที่สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเขาแห่งความสำเร็จในชีวิต คนที่ชนะในการแข่งขัน คนที่สามารถทำเงินได้เป็นหลาย
ๆ ล้าน และความสำเร็จที่น่าติดตามอื่น ๆ คนประเภทเหล่านี้ที่คนเราในโลกมุ่งมองแสวงหา
แต่ไม่ใช่วิถีชีวิตของคนที่อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า
สำหรับสิ่งที่สำคัญยิ่งในแผ่นดินของพระเจ้าคือ
พระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของมนุษย์ที่ยอมตนต่อพระองค์ อย่างที่เปาโลเคยกล่าวไว้ว่า
ที่เขามีชีวิตเช่นนี้ได้ก็เพราะพระเจ้าที่ทรงกระทำให้เขาเป็นคนอย่างที่เขาเป็น
(7) กลับหัวกลับหาง กลับตาลปัตร
ความคิดที่ท้าทาย และ น่าชื่นชมที่สุดเกี่ยวกับสังคมแห่งแผ่นดินของพระเจ้ามักจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเล็กน้อยในสายตาแห่งสังคมโลกนี้
ในทางกลับกัน สิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งใหญ่ในมุมมองของสังคมโลกนี้ก็มีคุณค่าเพียงน้อยนิดในแผ่นดินของพระเจ้า
ดั่งคำสอนบนเนินเขาของพระเยซูคริสต์ที่ฟังขัดแย้งกับภูมิปัญญาของมนุษย์ส่วนใหญ่ พระเจ้าสถาปนาแผ่นดินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้ด้วยชีวิตและความตายของพระเยซูคริสต์
มิใช่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ที่มักเป็นหินสะดุดในโลกนี้ ในแผ่นดินของพระเจ้า
ได้ยกชูเอาความอ่อนแอและความโง่เขลา
และพระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำให้ชีวิตของแต่ละคนเกิดคุณค่าในชีวิตมนุษย์และระบบสังคม
ลักษณะเฉพาะสังคมแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสังคมโลกนี้
ระบบคุณค่าของสังคมแห่งโลกนี้มีคุณค่าเพียงเล็กน้อยในแผ่นดินของพระเจ้า และระบบคุณค่าในแผ่นดินของพระเจ้ามักด้อยค่าในสังคมแห่งโลกนี้
เราไม่สามารถที่จะรู้ถึงระบบคุณค่าแห่งแผ่นดินของพระเจ้า หรือ
เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตัวของเราเองได้ แต่ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้าเราถึงจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของพระองค์ได้