30 พฤษภาคม 2559

เห็นสิ่งดีในคนอื่น...สร้างสุขให้ตนเอง

เมื่อท่านพบปะ หรือ คิดถึงใครบางคน   อะไรเป็นความรู้สึกแรกที่ท่านมีต่อคน ๆ นั้น? 
ความรู้สึกพอใจ   ความรู้สึกหงุดหงิด   ความรู้สึกโกรธ  ความรู้สึกกังวล   ความรู้สึกไม่ชอบ ฯลฯ
หรือท่านมีความรู้สึกชื่นชมคนนั้น   มีความรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่คนนั้น ๆ นำสิ่งดี ๆ มาในชีวิตของท่าน?

“ความรู้สึกชื่นชม ขอบคุณ” เกิดขึ้นบนรากฐานของความสัมพันธ์   ความสัมพันธ์ของท่านมีต่อคน ๆ นั้น   ความสัมพันธ์ของท่านที่มีต่อพระเจ้า   และที่สำคัญคือท่านเห็นคน ๆ นั้นเป็นคนที่พระเจ้าทรงให้มาสัมพันธ์ในชีวิตของท่านอย่างไร

ให้เราทุกคนได้สำรวจลึกลงในจิตใจ ความคิด ความรู้สึก จนถึงก้นบึ้งในชีวิตของเราว่า   เมื่อวานนี้ท่านได้พบปะคนกี่คน?   ความรู้สึกแรกที่ท่านมีต่อแต่ละคนที่ท่านพบปะสัมพันธ์เมื่อวานนี้เป็นเช่นไร?  

ท่านสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกชื่นชมในคนนั้น  มีความรู้สึกปีติที่ได้พบได้สัมพันธ์   รู้สึกขอบคุณที่ได้พบได้ทำงานกับเขา   ท่านรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้มีความสัมพันธ์กับคน ๆ นั้น   ถ้า 10 คนที่ท่านพบปะสัมพันธ์เมื่อวานนี้   มีกี่คนที่ท่านรู้สึกตามที่กล่าวมานี้?

สำหรับเปาโลแล้ว   ท่านกล่าวว่าเมื่อท่านคิดถึงพี่น้องในคริสตจักรฟีลิปปีท่าน “รู้สึกขอบพระคุณพระเจ้า”  สำหรับความสัมพันธ์ที่ท่านมีในพี่น้องเหล่านั้น (ฟีลิปปี 1:3)

ซึ่งในสถานการณ์จริงของเราในปัจจุบันนี้   ไม่ว่าจะในที่ทำงาน  ในครอบครัว  หรือ ในชุมชน   บ่อยครั้งเมื่อเราต้องพบปะ เกี่ยวข้องกับใครบางคน   เรามักเกิดความรู้สึกว่า

ทำไมเราต้องมาทำงานกับคนอย่างนี้?  
เขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่?
เขาจะสร้างปัญหาแก่เราเรื่องอะไรอีกนะ?
เขาจะมาเอาเปรียบฉันในเรื่องอะไรอีก?
แล้วเราจะจัดการอย่างไรกับคน ๆ นี้ดี?

มุมมอง  ทัศนคติ  ประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่มีผ่านมา   เรายอมให้มันเข้ามาติดยึดตรึงใจเราและมีอิทธิพลต่อการกำหนดความรู้สึกที่ดี/ที่เลวต่อคน ๆ นั้น   แล้วก็จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ซ้ำย้ำเตือนและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม   จนกลายเป็น “วงจรอุบาทว์” ทางความสัมพันธ์   ที่เป็นพลังเงียบที่สร้างผลเสียต่อสุขภาพจิตของเรา   ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคน ๆ นั้น  ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระเจ้า   ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน หรือ ในครอบครัว หรือ ในชุมชน

ประเด็นที่ท้าทายและเราต้องรู้เท่าทันคือ   เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับใครบางคนยิ่งสัมพันธ์นานเท่าใดเรามักเมินเฉย มองข้ามความสำคัญ หรือ คุณค่าที่มีในความสัมพันธ์นั้นใช่ไหม?   หรือไม่ บ่อยครั้งในความสัมพันธ์ที่ยาวนาน  เรามักสนใจแต่สิ่งที่ผิดพลาดในคน ๆ นั้นแทนที่จะมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่น่าชื่นชม   แทนที่จะมีมุมมองที่ทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น  และ  ทำให้เรามีความสุขร่วมกันเมื่อได้พบได้สัมพันธ์กัน

นี่คือเหตุผลว่าทำไม “เรา” ถึงจะต้องเป็นฝ่ายที่จะ “เลือก” ที่จะมีมุมมอง ทัศนคติที่มองผู้คนที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกที่เห็นคุณค่า  รู้สึกชื่นชม  รู้สึกดีกับคน ๆ นั้น   จนนำไปสู่ความรู้สึกและสำนึกขอบพระคุณพระเจ้าได้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา   และนี่คือจุดที่เสริมสร้างสันติสุขในชีวิตของเรา   และมีผลกระทบต่อการเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อผู้คนที่เราพบปะสัมพันธ์ และ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าที่เข้มแข็ง  มั่นคง  และยั่งยืนขึ้น

วันนี้ในทุกช่วงของการทำงาน  การพบปะผู้คน  ทั้งในครอบครัว  ที่ทำงาน และ ในชุมชน   อย่าลืมที่จะมีเวลาสงบในจิตใจ   ที่จะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดี ๆ ของคน ๆ นั้น  ที่เราได้พบปะ พูดคุย  ทำงาน และมีความสัมพันธ์ด้วย   และนี่คือการฝึกวินัยชีวิตสาวกพระคริสต์ด้วยครับ

วันนี้   เราจะกล่าวอย่างเปาโลได้ไหมว่า  “ทุกครั้งที่ผมคิดถึงคุณ   ผมขอบพระคุณพระเจ้า...”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

19 พฤษภาคม 2559

กว่าจะเข้าใจ...มรสุมชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า   ชายหนุ่มคนหนึ่งต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องหินที่มีค่า (เช่น เพชร พลอย หยก ฯลฯ)   เขาจึงไปขอเรียนเรื่องนี้จากอาจารย์สูงอายุท่านหนึ่ง   อาจารย์สูงอายุท่านนั้นเอาหยกก้อนไม่ใหญ่นักก้อนหนึ่งใส่ลงในมือของลูกศิษย์หนุ่มคนนั้น   แล้วบอกให้เขากำหยกก้อนนั้นไว้ในมือ   จากนั้น อาจารย์ท่านนั้นเริ่มบรรยายเกี่ยวกับเรื่องปรัชญา  ประวัติศาสตร์   และวิชาอื่น ๆ

อาจารย์ผู้สอนทำเช่นเดียวกันนี้ทุกวันนานหลายสัปดาห์   ลูกศิษย์หนุ่มเริ่มมีความสับสน  และสงสัยว่าเมื่อไหร่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้จะสอนเกี่ยวกับเรื่องหินที่มีค่าสักที   แต่เขาเป็นลูกศิษย์ที่สุภาพเกรงใจที่จะถามผู้เป็นอาจารย์เช่นนั้น

วันหนึ่ง  การเรียนการสอนเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมาในหลายสัปดาห์   อาจารย์ผู้สูงอายุเอาหินก้อนหนึ่งใส่ลงในมือของลูกศิษย์หนุ่ม   ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนนั้นจะอ้ามือดูสิ่งที่อยู่ในมือของตน  เขาร้องบอกอาจารย์ว่า  “นี่ไม่ใช่หยกนี่อาจารย์”

เมื่อเราตกอยู่ในภาวะวิกฤติชีวิต  หรือชีวิตกำลังเผชิญกับมรสุม  เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าให้เราต้องพบกับสถานการณ์ชีวิตเช่นนั้น   เรามีคำถามว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานั้น   สิ่งแรกที่เราต้องการคือ เราต้องการให้ชีวิตของเราออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย หรือ สถานการณ์ที่เราไม่ประสงค์นั้นเร็วที่สุด   แต่ความจริงก็คือว่า   ในมรสุมชีวิตที่เรากำลังปล้ำสู้กับมันนั้น ถ้าเราไม่ด่วนหนีออกจากเหตุเลวร้ายเหล่านั้น   เราจะเห็นว่าพระเจ้ากำลังกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของเราท่ามกลางสถานการณ์ที่เร็วร้ายนั้น   สัจจะความจริงมีว่า  ในทุกมรสุมแห่งชีวิตที่เราเผชิญ   พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับชีวิตของเรา

วันนี้  เราท่านอาจจะออกจากมรสุมชีวิตแล้ว   และเราเริ่มที่จะรู้และเข้าใจว่า  ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้เราต้องตกในสถานการณ์ที่เร็วร้ายนั้น   หรือ ถ้าเรายังอยู่ในภาวะวิกฤติชีวิต   และอาจจะยังมองเห็นไม่ชัดว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรเคียงข้างชีวิตเราในเหตุการณ์นั้น   ขอให้เราสัตย์ซื่อ  เชื่อมั่น  ยืนหยัดอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยความหวังว่า   พระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตของเรา   และกำลังทรงกระทำให้เกิดสิ่งดีสำหรับชีวิตแก่เรา

คน​ที่​สู้​ทน​ต่อ​การ​ทด​ลอง​ใจ​ก็​เป็น​สุข
เพราะ​เมื่อ​เขา​ผ่าน​การ​ทด​สอบ​แล้ว
เขา​จะ​ได้​รับ​มงกุฎแห่ง​ชีวิต​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​สัญญาไว้
                                           ​กับ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​รัก​พระ​องค์ (ยากอบ 1:12 มตฐ.)
                                                                          
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

16 พฤษภาคม 2559

มีมุมมองใหม่...เยี่ยงมุมมองพระคริสต์ได้อย่างไร?

ดอดี้ กาเดี้ยน (Dodie Gadient)  คุณครูที่สอนเด็กนักเรียนมานาน 13 ปี   เธอตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวด้วยการขับรถยนต์ไปคนเดียว   เมื่อเดินทางไปได้ช่วงหนึ่ง  เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น   หม้อน้ำรถของเธอเกิดรั่วมีไอน้ำและน้ำร้อนพุ่งออกมาจากเครื่องยนต์  เธอตกใจมาก  ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เธอก้มศีรษะอธิษฐานในใจ  “พระเจ้า ขอโปรดส่งทูตสวรรค์มาช่วยลูกด้วย...  ถ้าเป็นทูตสวรรค์ที่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ก็จะเป็นการดีทีเดียว...”   เพียงชั่วเดี๋ยวเดียว   มีชายแปลกหน้าควบรถจักรยานยนต์ฮาร์เลย์   มีหนวดเคราดำยาว  และมีรอยสักที่แขน   ชายคนนั้นจอดรถของตนแล้วมาช่วยซ่อมรถยนต์ของคุณครู   ในชั่วเวลาไม่นานนักรถยนต์ของคุณครูกลับมาใช้ได้อีก

เมื่อชายแปลกหน้าควบรถจักรยานยนต์ของตนจะจากคุณครูไป   คุณครูพบข้อความบนด้านหลังเสื้อของเขาว่า “ทูตจากนรก” หลังจากคำขอบคุณจากคุณครู “ทูตจากนรก” ผู้มีใจเมตตาก็ควบรถของเขาจากไปอย่างรวดเร็ว

เราไม่สามารถที่จะตัดสินใครคนใดคนหนึ่งจากท่าทีบุคลิกภายนอกที่เราเห็นเท่านั้น   ผมเชื่อแน่ว่ามิใช่คุณครูเท่านั้นที่เริ่มแรกเห็นชายคนนั้นแล้วเกิดความกลัวขึ้นมาทันที   อีกหลายคนและรวมทั้งผมเองก็คงมีความรู้สึกแรกเริ่มเห็นเช่นกัน   สิ่งที่เราเห็นภายนอกอย่างผิวเผินมีอิทธิพลทำให้เราเกิดความกลัว   หรือไม่ก็เพราะสิ่งที่เราแรกเริ่มเห็นนั้นกระตุ้นให้เราเกิดความกลัวเพื่อจะระวังตัว   แต่เมื่อคุณครูได้มีโอกาสสัมผัสกับ “น้ำใจเมตตา”  ของชายคนนั้น   ที่ไม่ได้พูดมาก เทศน์ยาว   แต่ด้วยการลงมือซ่อมแซมรถจนกลับมาใช้ได้   สิ่งนี้ที่เปลี่ยนแปลงมุมมองที่เคย “ติดลบ” หรือ “อคติ” กลับมองเห็น “น้ำใจเมตตา”  ของคนที่สวมเสื้อที่บอกข้อความว่า “ทูตจากนรก”

เราไม่ควรที่จะด่วนตัดสินคนอื่นด้วยเพียงอาการหรือสิ่งที่ปรากฏภายนอก  แต่ให้เรามีมุมมองที่ผ่านประสบการณ์ที่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับชีวิตผู้คนเหล่านั้น  เพื่อที่เราจะสามารถมองเห็นถึงสิ่งดี ๆ ที่มีภายในชีวิตของแต่ละคน   อย่าตัดสินคนอื่นด้วยเกณฑ์เดิม ๆ ที่เราเคยมีในชีวิต   ที่มองและตีค่าคนอื่นในมุมมองที่ติดลบ   แต่ให้เราเปลี่ยนมุมมองของเราใหม่ให้มีมุมมองแบบพระคริสต์    เพื่อพระองค์จะทรงกระทำกิจของพระองค์ในชีวิตและโดยเฉพาะให้มุมมองใหม่แก่เรา ที่เราจะมีมุมมองใหม่อย่างพระคริสต์ เราจะสามารถเห็นสิ่งดี ๆ ในชีวิตของคนอื่น   ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายและไม่น่าไว้วางใจ

แต่​บัด​นี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​ละ​ทิ้ง​... การ​คิด​ร้าย การ​ใส่​ร้าย ...(จง)ปลด​วิสัย​มนุษย์​เก่า...  และ​สวม​วิสัย​มนุษย์​ใหม่ ที่​กำ​ลัง​ได้​รับ​การ​สร้าง​ขึ้น​ใหม่ตาม​พระ​ฉายา​ของ​พระ​องค์​ผู้​ทรง​สร้าง เพื่อ​ให้​รู้​จัก​พระ​เจ้า...และ​เมื่อ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ทำ​สิ่ง​ใด​ไม่​ว่า​จะ​ด้วย​วา​จา​หรือ​ด้วย​การ​ประ​พฤติ จง​ทำ​ทุก​สิ่ง​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​พระ​บิดา โดย​ทาง​พระ​องค์ (โคโลสี 3:8, 10 และ 17 มตฐ.)

วันนี้เราทูลขอพระเจ้าโปรดสร้างเราให้มี “กรอบคิดมุมมองคนอื่นใหม่” เยี่ยงกรอบคิดมุมมองของพระคริสต์ที่ทรงมีต่อทุกคน  แม้คนนั้นจะเป็นคนผิดบาปในสายตาของเราก็ตาม   เพื่อเราจะไม่ตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เรา “คิดว่า...” หรือ สิ่งที่มองเห็นภายนอกของคนอื่น   แต่ให้เรามีโอกาสสัมผัสและสัมพันธ์ที่จะได้เห็นถึงจิตใจภายในของเขา   และที่สำคัญเพื่อเราจะได้พบกับพระคริสต์ที่กำลังทำงานในชีวิตของเขาคนนั้นด้วย

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

14 พฤษภาคม 2559

ความรักเมตตาของพระเจ้าอยู่ใกล้เราเสมอ

“ความรักมั่นคง” จะติดตามชีวิตประจำวันของเราเฉกเช่นความดีของพระเจ้าที่ติดตามเราไปในทุกสถานการณ์ชีวิต

เมื่อกษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้า” ติดตามชีวิตของดาวิด   ทำให้เราจินตนาการถึงภาพของพ่อแม่ที่ติดตามไปข้างหลังลูกน้อยที่กำลังเดินได้   เมื่อเท้าลูกน้อยไปสะดุดอะไรเข้า หรือ บางครั้งก็สะดุดเท้าตนเองล้มลงได้รับความเจ็บปวด   บางครั้งก็เดินตุปัดตุเป๋แต่พ่อแม่ก็คอยติดตามอ้าแขนคอยรับเมื่อลูกน้อยซวนเซ   พระเจ้าเป็นเหมือนพ่อแม่ที่คอยตามติดใกล้ชิดเราดั่งเด็กน้อยที่เพิ่งเดินได้   อ้าแขนพร้อมรับเสมอเมื่อลูกเซซวนและยืนแขนพยุงเราขึ้นเมื่อพลาดท่าล้มลง   พระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความรักที่มั่นคงที่ทรงมีต่อเราแต่ละคน

นั่นหมายความว่า   แทนที่เราจะมุ่งเดินไปในอนาคตด้วยความวิตกกังวล   ด้วยความสับสนไม่มั่นใจ   แต่เราสามารถเผชิญหน้าสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วยความไว้วางใจในความรักที่มั่นคงของพระเจ้าที่มีต่อเราในชีวิต   พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างชีวิตของเราไม่ว่าเราต้องตกลงในสถานการณ์ใดในชีวิต   พระองค์จะมีทางออกที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุดสำหรับเราในแต่ละสถานการณ์   “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง(ของพระเจ้า)จะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า...(สดุดี 23:6 มตฐ.)

“ความดี” เป็นสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำแก่เราในชีวิต  แม้เราจะไม่สมควรได้รับก็ตาม  ความรักมั่นคงเป็นพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ลบล้างบาปโทษที่เราควรได้รับ   และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเราแต่ละคน
  • ความดีของพระเจ้า   จะประทานสิ่งดีแก่ชีวิตของเรา  และทรงปกป้องสิ่งชั่วไม่ให้เข้ามาทำลายทำร้ายเรา
  • ความรักมั่นคงของพระเจ้า   เป็นความรักที่ลบล้างบาปโทษ  และทรงให้อภัยแก่เรา
  • ความดีของพระเจ้าจะทรงประสานสิ่งสรรที่จำเป็นแก่เรา
  • ความรักมั่นคงของพระเจ้าระงับและปลอบโยนเมื่อเกิดความทุกข์โศกในชีวิต 
  • ความดีของพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ
  • ความรักมั่นคงของพระเจ้าจะทรงช่วยเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิต


พระเจ้าเป็นผู้ที่เราท่านไว้วางใจได้ครับ
แน่​ที​เดียว​ที่​ความ​ดี​และ​ความ​รัก​มั่น​คง​จะ​ติด​ตาม​ข้าพเจ้า​ไป
ตลอด​วัน​คืน​แห่ง​ชีวิต​ของ​ข้าพเจ้า...
(สดุดี 23:6 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

11 พฤษภาคม 2559

เล่นการเมือง...ในกลุ่มสาวกพระคริสต์?

ขึ้นชื่อว่าแม่  เกือบทุกคนก็รักลูกทั้งนั้นแหละ   ถ้าจะทำอะไรเพื่อลูกของตนจะได้ดีแล้ว   แม่ยอมทำทั้งนั้น   ในใจลึก ๆ ก็อยากให้ลูกของตนได้ดีกว่าคนอื่น   แม่ของยากอบ และ ยอห์นบุตรเศเบดีก็เป็นเช่นนั้น   เธอเข้าใจว่า   การเสด็จเข้าเยรูซาเล็มของพระเยซูและเหล่าสาวกครั้งนี้คงจะเป็นการประกาศสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์   ดังนั้น เธอจึงเข้าไปขอเป็นการส่วนตัวให้แต่งตั้งบุตรทั้งสองของเธอได้มีอำนาจปกครองรองจากพระเยซู (มัทธิว 22:20-21)

แม่ของยอห์นและยากอบก็ทันสมัยเหมือนฤดูแต่งตั้งตำแหน่งชั้นสูง   ที่มีการขอเข้าพบ “ท่านหัวหน้า”  เป็นการส่วนตัว  ทั้งแสดงถึงการสนับสนุนหัวหน้า และที่สำคัญขอหัวหน้าช่วยสนับสนุนให้คนของตนได้ตำแหน่ง   และสิ่งเหล่านี้พวกเราคริสตชนไทยคุ้นชินในชื่อว่า “การเมืองในคริสตจักร”

บทเรียนที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ เกิดความแตกแยก โกรธ แค้น เกลียดชังในกลุ่มสาวกของพระเยซูคริสต์  “เมื่อ​สา​วก​สิบ​คน​นั้น​ได้​ยิน​แล้ว​ก็​โกรธ​พี่น้อง​สอง​คน​นั้น” (ข้อ 24 มตฐ.)   และในความทรงจำและประสบการณ์ของคริสตจักรไทยเราก็พบว่า “การเมืองในคริสตจักร” สร้างความแตกแยกเป็นก๊ก เป็นพรรค เป็นพวก   แต่ดูเหมือนผู้นำที่เล่นการเมืองในคริสตจักรไทยเหล่านี้กลับไม่แยแส   ทำไมเป็นเช่นนั้นหรือ?   ก็เพราะพวกเขามุ่งมองที่ “ผลประโยชน์” ก้อนโตในนามของตำแหน่ง “ผู้รับใช้” (ใครกันแน่?) มากกว่าผลเสียที่เกิดขึ้นกับคนอื่นในคริสตจักร?

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้มีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนและขัดแย้งกับความเชื่อและคำสอนของพระเยซูคริสต์  พวกเขามองว่าตนจะทำงานของพระคริสต์ได้ “ต้องมีตำแหน่ง” แต่พระคริสต์กลับสอนและทำตนเป็นตัวอย่างว่า การที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่เพราะมีตำแหน่ง แต่เพราะมีความถ่อมใจด้วยการรับใช้ผู้คนที่พบเห็นในพระนามของพระเจ้าต่างหาก

สรุปคือ ผู้นำคริสตจักรกลุ่มนี้อ้างว่าตนต้องมีตำแหน่งในคริสตจักร เพื่อที่จะดำเนินการตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่พระคริสต์สอนว่า  ถ้าใครจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ต้องถ่อมใจและรับใช้คนอื่นในพระนามของพระองค์ การรับใช้คนอื่นคือการใช้ชีวิตเพื่อที่จะให้ชีวิตแก่คนอื่น การจะทำสิ่งนี้ไม่ต้องมีตำแหน่ง  ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องมี “เลือกตั้ง” ก็ได้มิใช่หรือ?

และพระเยซูคริสต์ชี้ชัดว่า   การที่ใครจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินของพระเจ้ารวมถึงในคริสตจักร   คนนั้นมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่   เป็นความรับผิดชอบด้วยชีวิต   เป็นการรับผิดชอบที่จะให้ชีวิต (ไม่ใช่ให้แต่เงินทอง) พระเยซูกระตุ้นสำนึกสาวกว่า  พวก​ท่าน​ไม่​เข้า​ใจ​ใน​สิ่ง​ที่​ขอ​นั้น ถ้วย​ที่​เรา​จะ​ดื่ม​นั้น​ท่าน​จะ​ดื่ม​ได้​หรือ?” (ข้อ 22)   และสัจจะความจริงอีกประการหนึ่งคือ   การที่ใครจะมีอำนาจ มีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร   ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะวางแผน “เลือกตั้งช่วงชิง” อย่างไร   แต่เป็นเรื่องแผนการของพระเจ้า   พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ทั้ง​หลาย​ว่า ... แต่​การ​ที่​จะ​ให้​นั่ง​ข้าง​ขวา​และ​ข้าง​ซ้าย​ของ​เรา​นั้น​ไม่​ใช่​เรา​เป็น​ผู้​ให้ แต่​จะ​ให้​กับ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​พระ​บิดา​ของ​เรา​ทรง​เตรียม​ไว้ (ข้อ 23)

พระเยซูคริสต์สยบคลื่นความเชื่อความเข้าใจผิด ๆ ที่ทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มสาวกว่า  “ใน​พวก​ท่าน​จะ​ไม่​เป็น​เช่น​นั้น แต่​ถ้า​มี​ใคร​ต้อง​การ​เป็น​ใหญ่​ใน​พวก​ท่าน คน​นั้น​จะ​ต้อง​เป็น​ผู้​ปรนนิบัติ​ของ​ท่าน” (ข้อ 26 มตฐ.)   แล้วพระองค์สอนสาวกในสิ่งที่พระองค์กระทำว่า  “และ​ถ้า​ใคร​ต้อง​การ​จะ​เป็น​นาย คน​นั้น​จะ​ต้อง​เป็น​ทาส​ของ​พวก​ท่าน   เหมือน​บุตร​มนุษย์​ที่​ไม่​ได้​มา​เพื่อ​รับ​การ​ปรนนิบัติ แต่​มา​เพื่อ​ปรนนิบัติคน​อื่น และ​ให้​ชีวิต​ของ​ท่าน​เป็น​ค่าไถ่​คน​จำนวน​มาก (ข้อ 27-28 มตฐ.)

พระเยซูมาเพื่อที่จะ “ให้”  ไม่ใช่มาเพื่อจะ “ได้”

ผมได้ข่าวว่า  “แม่ของยากอบ และ ยอห์น บุตรเศเบดี” กำลังเข้าไปประสานตำแหน่งเพื่อพวกของตนในคริสตจักร???  

มีคนว่าผมว่า  “...ไม่เอาน่า... อย่าไปว่าเขาเลย”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

07 พฤษภาคม 2559

สถานการณ์เลวร้าย... โอกาสที่พระเจ้าทำสิ่งดีในชีวิตเรา

ไม่ว่าชีวิตของเราต้องพบกับความเจ็บปวด   มีสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นแก่เราเป็นประจำ   หรือเราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์วันแล้ววันเล่า   โปรดตระหนักรู้ว่า พระเจ้าทรงใส่ใจชีวิตของเรา

กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า  “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง(ของพระเจ้า)จะติดตามข้าพเจ้าไป” (สดุดี 23:6 มตฐ.)  อ่านดี ๆ ครับ ดาวิดมิได้กล่าวว่า  “แน่ทีเดียวสิ่งดี ๆ เท่านั้นที่จะเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า”   เพราะดาวิดรู้อยู่เต็มอกว่า  สิ่งที่เลวร้ายก็เกิดขึ้นกับคนดี ๆ ด้วยเช่นกัน”

ดาวิดชี้ชัดว่า  ความดีและความรักมั่นคงของพระเจ้าต่างหากที่จะติดตามวันคืนแห่งชีวิตของดาวิด   ไม่ว่าเขาจะตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย  หรือต้องตกเป็นเหยื่อของความทุกข์ยากลำบากเช่นใดก็ตาม   พระเจ้าจะทรงกระทำให้สิ่งเลวร้ายทุกข์ยากเหล่านั้นให้เกิดสิ่งดีแก่ดาวิด

และนี่คือพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งที่พระองค์ประทานแก่ผู้เชื่อและไว้วางใจในพระองค์   เรารู้แน่แก่ใจว่า   ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแก่เรา   พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดเป็นสิ่งดี   ถ้าเรารักพระองค์ และ ตั้งเป้าหมายชีวิตที่จะกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเรา (โรม 8:28) ถ้าเราเชื่อ  พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าจะทรงกระทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันเกิดผลดีแก่คนที่รักพระองค์...  แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดี  แต่ทุกสิ่งร่วมกันทำให้เกิดผลดี

สิ่งที่ยากลำบาก  สุ่มเสี่ยง  ล้างผลาญทำลาย หรือ หายนะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ที่เชื่อและรักพระองค์ จะไม่สามารถทำร้ายทำลายพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีในชีวิตของคนนั้น   แต่กลับกลายเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดผลดีตามพระประสงค์ของพระองค์

แล้ววันนี้...คริสตชนจะกลัวหรือขยาดในเหตุการณ์เลวร้าย  โพยภัย  การถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือ ความ อยุติธรรมไปทำไม   เพราะนั่นคือโอกาสที่พระเจ้าจะกระทำพระราชกิจให้เกิดผลดีในชีวิตของเรามิใช่หรือ?

แน่​ที​เดียว​ที่​ความ​ดี​และ​ความ​รัก​มั่น​คง​จะ​ติด​ตาม​ข้าพเจ้า​ไป
ตลอด​วัน​คืน​แห่ง​ชีวิต​ของ​ข้าพเจ้า...
(สดุดี 23:6 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

03 พฤษภาคม 2559

กับดัก “คำสอนสอนผิด/ถูก” ในคริสตจักร

ดาราชื่อดังคนหนึ่ง   ได้เข้าไปรับประทานอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่ง   เธอสังเกตเห็นชายภูมิฐานคนหนึ่งนั่งโต๊ะใกล้เธอกำลังเป็นหวัดอย่างมาก   ด้วยความเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และ เป็นคนที่มีความเป็นมิตรต่อคนรอบข้าง   เธอจึงถามชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นมิตรว่า  “ท่านกำลังไม่สบายหรือเปล่าค่ะ?”

ชายคนนั้นมองมาที่เธอแล้วพยักหน้ารับ

เธอกล่าวกับชายคนนั้นว่า “ท่านคงต้องกลับไปที่พัก  แล้วดื่มน้ำส้มมาก ๆ  และน่าจะกินยาแก้ไข้สัก 2 เม็ด   แล้วหลับพักผ่อนด้วยการห่มผ้าห่มหนาเท่าที่ท่านจะหาได้   จนกว่าเหงื่อแตก  ไข้ของท่านก็จะลด   นี่บอกจากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ   ดิฉันเป็นนักแสดงค่ะ”

ชายคนนั้นยิ้มให้กับดาราที่มีความเป็นมิตรคนนั้น แล้วกล่าวตอบว่า  “ขอบคุณมากครับ ผมเป็นหมอครับ”

ในทุกวันนี้  ดูเหมือนว่าเรามองตนเองว่ามีความชำนาญการในบางเรื่องบางราว  บ้างก็เพียงได้อ่านจากหนังสือ  บ้างก็อ่านเพียงบทความในเรื่องนั้น   ปัจจุบันนี้บางคนก็แค่ได้อ่านเรื่องนี้จากที่โน่นที่นี่ในออนไลน์   และที่เราท่านพบบ่อยในทุกวันนี้คือ  มีการส่งต่อข้อเขียนความคิดเรื่องต่าง ๆ มากมายไปให้กันและกัน   แต่ก็พบว่า ข้อมูลหลายเรื่องที่ส่งให้กันนั้นมีความผิดพลาด คลาดเคลื่อน และแย่ที่สุดคือเป็นข้อมูลเทียมเท็จไม่จริง   ทุกวันนี้เราตกอยู่ในภาวะไม่รู้ว่า  ข้อมูลไหนจริงเชื่อถือได้?

สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในวงการของคริสตจักรเราด้วย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการตีความคำสอน   เราจะเชื่อ “นักเทศน์” คนไหนดี?   “นักคริสตศาสนศาสตร์” คนไหนที่สอน/เขียนได้ถูกต้องเชื่อถือได้?   อาจารย์พระคริสตธรรมคนไหนที่สอนถูก  คนไหนที่สอนผิด?   หลักความเชื่อไหนที่ถูกต้องเที่ยงแท้จริง?

เราท่านคงต้องระมัดระวังที่จะไม่ตัดสินว่าคำสอนไหนสอนถูกหรือสอนผิดเพียงเพราะมองว่าคนสอนคนนี้เป็นคนที่มีดีกรี/ปริญญาอะไร  จากที่ไหน  มีชื่อเสียงหรือไม่  หรืออยู่ในกระแสนิยมหรือไม่  มีชื่อเสียงโด่งดังไหม   ฯลฯ?  

แต่ที่สำคัญคือ  ในฐานะคริสตชนคนหนึ่งเราต้องเอาใจใส่ว่า รากฐานความเชื่อของเราหยั่งรากลึกลงในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่แค่ไหน?    แล้วใส่ใจทุ่มเทในการปล้ำสู้ให้พระวจนะเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของเรา   ที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา   เพื่อเราจะมีรากฐานชีวิตในพระคริสต์ที่หยั่งรากลงลึก   พร้อมที่จะถูกกระหน่ำกระโชกจากแรงพายุ   แต่ยังสามารถยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  และนี่คือภูมิคุ้มกันคำสอนผิดคลาดเคลื่อนจากพระวจนะ

เมื่อเราตกอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นใจว่า คำสอนใดที่ถูกต้องสอดคล้องตามพระคัมภีร์   เราต้องพึ่งการทรงนำจากพระเจ้า   เราต้องอธิษฐานทูลขอการชี้นำจากพระองค์   ขอพระองค์ทรงเปิดเผยให้เราเห็นและเกิดการตระหนักรู้สิ่งที่จริงและถูกต้องตามพระวจนะ   เกณฑ์ง่าย ๆ ตัวหนึ่งที่อาจจะใช้ได้คือ   การตีความและคำสอนที่ถูกต้องนั้นย่อมนำให้เกิดการถวายเกียรติและยกย่องแด่พระเจ้าเป็นผู้สูงสุดในชีวิตของเรา    แต่การสอนหรือการตีความใดที่โน้มเอียงสร้างความโดดเด่นทางความคิดของคนใดคนหนึ่ง   หรือเป็นการสอนหรือตีความนำมาซึ่งการยกย่องให้เกียรติมนุษย์  หรือเพื่อสร้างผลประโยชน์แก่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง หรือ พวกใดพวกหนึ่ง   เป็นเรื่องที่เราท่านจำเป็นต้องระมัดระวัง   การตีความพระวจนะของพระเจ้าของ “งู” ตัวนั้นในสวนเอเดน   มันบอกกับมนุษย์สองคนนั้นว่า  “... เจ้าจะไม่ตายหรอก ...  ตา​ของ​พวก​เจ้า​จะ​สว่าง​ขึ้น​ใน​วัน​นั้น แล้ว​พวก​เจ้า​จะ​เป็น​เหมือน​อย่าง​พระ​เจ้า คือ​รู้​ความ​ดี​และ​ความ​ชั่ว” (ปฐมกาล 3:5)

จงระวังให้ดี อย่าให้ใครทำให้พวกท่านตกเป็นทาสด้วยหลักปรัชญา
และคำหลอกลวงที่เหลวไหลตามตำนานของมนุษย์
ตามพวกภูตผีที่ครอบงำของจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์ (โคโลสี 2:8 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499