08 สิงหาคม 2564

ของฝากวันสตรีแห่งชาติ 2021: แนวทางขจัดความเครียดสำหรับสตรีคริสเตียน



มีคนพูดไว้ว่า “สตรีกับความเครียดเป็นของคู่กัน”

ทุกวันนี้ชีวิตของท่านได้รับพระพร หรือ มีแต่ความเครียด?

กล่าวได้ว่า ไม่ว่าชีวิตในบ้านหรือนอกบ้านของสตรีทุกวันนี้  ไม่ว่าจะเป็นแม่ เป็นย่า หรือ ยาย หรือเป็นสตรีทุกวัยต่างต้องรับมือกับความเครียด  สำหรับสตรีคริสเตียนแล้วเรามีแนวทางในการขจัดความเครียด 10 ประการดังนี้

  1. แต่ละวัน มีเวลาที่จะใกล้ชิดกับพระเจ้า  เช่น บางคนเริ่มวันใหม่เมื่อตื่นนอนที่จะมีเวลาสงบอธิษฐาน สนทนา ใกล้ชิดกับพระเจ้า
  2. เตรียมแผนการใช้ชีวิตสำหรับวันพรุ่งนี้ในค่ำคืนนี้  บางคนจะใช้เวลาก่อนนอนในการเตรียมแผนการใช้เวลาชีวิตสำหรับพรุ่งนี้ หรือ แผนงานของตนในวันพรุ่งนี้
  3. ให้จัดลำดับงานที่จะทำในแต่ละวันตามลำดับความสำคัญ
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
  5. ทำสิ่งที่เอื้อให้ตนเองมีความสุข ชื่นชมยินดี
  6. ให้หว่านเมล็ดแห่งความเมตตาลงในชีวิตของคนอื่นรอบข้าง
  7. ทบทวน รวบรวม รักษา ความทรงจำดี ๆ แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีในชีวิต
  8. ยิ้มและหัวเราะได้ในทุกสถานการณ์ชีวิต
  9. สรรเสริญ ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์อวยพระพร
  10. อธิษฐานสม่ำเสมอ ในทุกสถานการณ์ชีวิตตลอดวันที่ประสบพบเจอ

 

พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน(พระพร)
จน ถ้วยแห่งชีวิต ของข้าพระองค์เปี่ยมล้น
(สดุดี 23:5 สมช.)

เอมมาอูส

พระคริสต์มาพบแม่ในความวุ่นวายสับสน

 



โดยปกติทั่วไป  เรามักจะหาเวลาที่สงบ  เวลาที่เราอยู่คนเดียวเพื่อจะใกล้ชิดองค์พระผู้เป็นเจ้าในแต่ละวัน 

แต่เมื่อมีโอกาสคุยเรื่องการมีเวลาส่วนตัวกับพระเจ้ากับผู้ที่กำลังเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกน้อย   คุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกน้อยคนหนึ่งถามโพล่งออกมาว่า  “ตาย  ตาย  ตาย แล้วคนที่เป็นแม่ลูกอ่อนอย่างฉันจะไปหาเวลาอย่างงั้นมาใกล้ชิดพระเจ้าได้ยังไง?   ตอนที่ฉันเป็นสาวยังไม่มีลูกน้อยฉันทำของฉันได้ไม่มีปัญหา   แต่ลองมาเป็นแม่ลูกอ่อนอย่างฉันบ้างซิ   แล้วจะรู้ว่า  ไม่มีเวลาอยู่คนเดียว  เวลาที่เงียบสงบกับพระเจ้าหรอก   ใจ...ฉันก็อยากจะได้ใกล้ชิดพระเจ้า   ฉันจะได้กำลังจากพระองค์   ทุกวันนี้ฉันเหนื่อยจนสายตัวแทบจะขาดอยู่แล้ว   เจ้าของเสียงเงียบไป  ผมเงยหน้าขึ้นพบว่าเธอเอามือข้างหนึ่งปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ

อีกเสียงหนึ่งข้างหลังผมเอ่ยขึ้นว่า... ฉันเห็นใจเธอมากนะ   เมื่อตอนฉันต้องเลี้ยงลูกน้อยเป็นอย่างงี้จริง ๆ นอกจากต้องให้ลูกกินนมจนหลับและฉันก็หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยตลอดวัน   ในตอนค่ำคืนครั้งแล้วครั้งเล่า  ต้องลุกขึ้นมาให้นม  เปลี่ยนผ้าอ้อม  เช้ามาหลายครั้งที่ลูกน้อยตื่นก่อนแล้วปลุกให้ฉันตื่น   เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังที่จะให้เฝ้าเดี่ยวตอนเช้าค่ะ  “น่าจะบอกว่าเฝ้าเจ้าตัวเล็กนี่มากกว่า”

คุณแม่ลูกสามที่ลูกเริ่มโตแล้ว เธอได้เล่าจากประสบการณ์ตรงของเธอว่า สำหรับฉันแม้ว่าตื่นนอนเช้า ฉันตื่นก่อนลูกน้อย ต้องรีบชงกาแฟ แต่ถ้าเจ้าตัวเล็กตื่นก็ต้องไปจัดการกับเขา กว่าจะเสร็จกาแฟร้อนบนโต๊ะก็กลายเป็นกาแฟเย็นไปแล้ว จากนั้น แม่ลูกอ่อนก็ต้องจัดการโน่นจัดการนี่ไปทั้งวัน รวมถึงการเตรียมอาหารให้ลูก ๆ สามี  บอกได้เลยค่ะว่าเหนื่อย  เหนื่อยสุด ๆ เลย แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้ผ่านมาได้หลายปี แต่เมื่อมาเล่าตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงความเหนื่อยนั้นได้อยู่เลย

ผมสรุปด้วยความเห็นใจว่า ถ้าเช่นนั้นคุณแม่ลูกอ่อนเลยไม่มีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าส่วนตัว   แล้วแม่ลูกอ่อนจะได้รับการเสริมกำลังจากพระเจ้าได้อย่างไรครับ?

ผมพูดยังไม่ทันสิ้นประโยคดีก็มีเสียงสตรีเสียงใหญ่วัยกลางคนดังขึ้นมาว่า  “ใครบอก ใครบอกว่าเราแม่ลูกอ่อนไม่มีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ชิดส่วนตัวกับพระเยซูคริสต์?   จากประสบการณ์ของฉันที่เลี้ยงลูกน้อยมาสี่คน บอกได้เลยว่า ฉันมีโอกาสใกล้ชิดติดสนิทกับพระเยซูคริสต์มากกว่า  แตกต่างกว่า  พิเศษกว่า  และต้องบอกตรง ๆ ว่า ฉันได้เรียนรู้อย่างมากว่าด้วยการใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แวดล้อม เช่นอยู่คนเดียว สงบ เงียบ ฉันว่าไม่ใช่ แต่ฉันพบว่า เราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าอย่างแนบแน่นเมื่อเราต้องมีชีวิตที่วุ่นวายและฉันพบพระเยซูคริสต์อยู่ในสถานการณ์นั้นกับฉัน  ร่วมในความวุ่นวายนั้นด้วย  ฉันมีกำลังใจมากขึ้นนะ

เมื่อฉันต้องทำความสะอาดลูกน้อย  ฉันพูดคุยกับพระองค์ขอทรงชำระล้างให้ฉันสะอาดอย่างฉันทำความสะอาดแก่ลูกฉัน   

บางครั้งเมื่อลูกงอแงร้องไห้เพราะไม่สบาย ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เขาก็บอกฉันไม่ได้  ด้วยความเชื่อฉันอธิษฐานขอพระเยซูโปรดวางมือและรักษาลูกของฉัน หลายครั้งที่ฉันพบว่าพระองค์ได้รักษาลูกฉันให้หาย ทำให้ความเชื่อของฉันมั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น  ฉันยังมีเวลามีโอกาสพูดคุยกับพระองค์ในโอกาสต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องในใจของฉัน ไม่ว่าเวลาที่ฉันอาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว หรือเวลาที่ฉันล้างจาน

เมื่อฉันพาลูกน้อยไปเล่นที่สนามเด็กเล่น  ฉันขอบพระคุณพระเจ้าที่ลูกสนุก ลูกพบเพื่อน และฉันได้พบเพื่อนบ้านในชุมชน ฉันขอบพระคุณพระเจ้า ฉันอธิษฐานเผื่อพวกเขา

สำหรับประสบการณ์ของฉัน ฉันอยากเป็นกำลังใจให้แม่ลูกอ่อนว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์อะไรก็ตาม เราใกล้ชิดติดสนิท พูดคุยปรึกษาพระเจ้าของเราได้ เราฟังพระองค์ได้ และหลายครั้งเมื่อฉันมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่เป็นแม่ลูกอ่อนคนอื่น ๆ มีโอกาสพูดคุย ปรึกษากัน  ฉันพบว่า หลายเรื่องที่ฉันเคยอธิษฐานทูลขอได้รับคำตอบผ่านเพื่อนบ้านเหล่านั้น

อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า ใช่สินะ ถูกของพี่เขา ทุกสถานการณ์ชีวิตเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าได้ ท่ามกลางปัญหา วิกฤติชีวิตที่เราพบ พระเยซูคริสต์อยู่และร่วมกับเราในสถานการณ์นั้น ให้เรามองให้เห็นพระราชกิจของพระองค์ในแต่ละสถานการณ์ชีวิตของเรา ในเวลาเช่นนี้เองที่เรามีโอกาสใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์   รับกำลังเสริมหนุน รับการทรงนำ รับสติปัญญาความนึกคิดจากพระองค์ ทำให้ชีวิตการเป็นสาวกของเราเติบโตขึ้น   และยังมีโอกาสที่จะรับใช้ซึ่งกันและกันกับเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น

และนี่มิใช่หรือที่เราได้รับพระคุณของพระเยซูคริสต์วันต่อวันเมื่อเราดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ในทุกสถานการณ์จริงในชีวิต

ผมอยากจะตะโกนบอกคนทั่วไปว่า เราสามารถใกล้ชิดติดสนิทกับพระเยซูคริสต์ในสถานการณ์ที่ว้าวุ่น สับสน วุ่นวาย อึกทึก และ วิกฤติอย่างแน่นอน  และ

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ พระคริสต์ต่างหากที่เข้ามาหาเราและร่วมชีวิตกับเราในสถานการณ์ที่วุ่นวายสับสน   เราไม่จำเป็นต้องตามหาพระองค์ครับ!

เอมมาอูส

05 สิงหาคม 2564

การเลี้ยงลูกของแม่: เป็นการสร้างสาวกพระคริสต์!

เราเคยคิดและใส่ใจไหมว่า  การเลี้ยงลูกของแม่คือการเสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ทั้งในตัวแม่เอง และ ในชีวิตของลูกด้วย?

ปัจจุบันในวงการคริสตจักรพูดถึงเรื่อง “การสร้างสาวกพระคริสต์”   ส่วนใหญ่เรามักหมายความว่า ศิษยาภิบาล และ ผู้นำคริสตจักรเสริมสร้างสมาชิกคนอื่นๆให้มีชีวิตประจำวันให้ดำเนินชีวิตอย่างชีวิตและตามคำสอนของพระเยซูคริสต์

แต่โอกาสทอง ของสตรีที่เลี้ยงลูกน้อย จะได้รับการเสริมสร้างให้มีชีวิตที่เป็น “สาวกพระคริสต์” ผ่านกระบวนการเป็นแม่ลูกอ่อน ที่พวกผู้ชายต้องอิจฉา?   เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสที่ดีเช่นนี้

ที่สำคัญประการต่อมาคือ   การเสริมสร้าง “ชีวิตสาวกพระคริสต์” ในกระบวนการเลี้ยงดูลูกน้อยของแม่ลูกอ่อน   เป็นโอกาสที่ตนจะเสริมสร้าง “ชีวิตสาวกพระคริสต์” ในชีวิตของตนเอง (Personal Discipleship Growth: PDG)   ผ่านเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันของตน   ที่มีพระคริสต์มาพบและทำพระราชกิจชีวิตในแม่ลูกอ่อนคนๆนั้น

ที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ  การที่คุณแม่มีโอกาสและสิทธิพิเศษในการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกน้อยให้เป็นสาวกพระคริสต์ด้วยไปพร้อมๆกับชีวิตสาวกพระคริสต์ในตัวแม่เอง

เลี้ยงลูกน้อยด้วยชีวิต

ในการเลี้ยงดูฟูมฟักลูกอ่อนเป็นงานที่ต้องทุ่มเททั้งชีวิตด้วยสุดจิตสุดใจ สุดความคิดและชีวิตของตน ทั้งกลางวันกลางคืน  ยิ่งในเวลากลางคืนต้องเลี้ยงดูจนลูกอ่อนหลับ   และต้องตื่นขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้นม  ทำความสะอาดให้ลูก  จนลูกน้อยหลับไปอีกครั้งหนึ่งผู้เป็นแม่ถึงจะมีโอกาสได้งีบหลับอีกครั้ง   แต่ก็ไม่วายจะต้องรีบตื่นขึ้นในรุ่งเช้าเพื่อเตรียมหาอาหารให้ลูกคนอื่นๆ (ถ้ามี) และสามี 

ในความเป็นแม่  เธอได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า   ที่จะเรียนรู้ถึงชีวิตในการรับใช้ และ รับการเสริมสร้างจากพระองค์ผ่านกระบวนการการเลี้ยงลูกอ่อนของเธอ   ทำให้เธอได้รับการทรงเสริมสร้างและพัฒนาชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ในการให้ชีวิตแก่ลูกน้อยของเธออย่างที่พระคริสต์ให้ทั้งชีวิตแก่มนุษย์เราแต่ละคน  

ในความเป็นแม่ได้เรียนรู้ว่าการเป็นแม่จะต้อง “ให้ตนเอง” มากกว่าที่ตนจะให้ได้   เกิดคำถามว่า  แล้วแม่จะได้ทรัพยากร และ แหล่งพลังชีวิต ที่ตนจะมีมากกว่าที่จำกัดนั้นจากที่ไหน?  เช่น เวลาที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงเพราะนอนหลับไม่เพียงพอแล้วจะเอาแรงมาจากไหน?   บ่อยครั้งที่สถานการณ์รุมเร้าทับถมจนเกือบทนไม่ได้  อยากจะยอมแพ้   ในช่วงเวลาเช่นนั้น พระเจ้าใช้ความจริงหลายประการเพื่อช่วยให้คุณแม่เรียนรู้ที่พึ่งพากำลังของพระองค์ เมื่อความเหนื่อยล้าและความกลัวของแม่กำลังคุกคามผู้เป็นแม่

พระเจ้ายินดีต้อนรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องการ

การเลี้ยงลูกน้อยของการเป็นแม่   เป็นโอกาสที่ผู้เป็นแม่คนนั้นได้เรียนรู้ถึงการรับใช้   เมื่อเรากำลังดิ้นรนกับความรับผิดชอบและความต้องการของการเป็นแม่  ตัวปัญหาที่ลึกที่สุดในสถานการณ์นี้ของแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นสามีที่มีงานยุ่งหรืออ่อนไหว  ความจุกจิกถี่ย่อยในการดูแลลูกน้อย หรือมีเศรษฐกิจที่จำกัดจำเขี่ย    ตัวปัญหาที่ลึกที่สุดของเราคือความโน้มเอียงที่จะเอาแต่ใจตัวเอง

เด็กทุกคนมีความจำเป็นต้องการ และสมควรจะได้รับการอุทิศชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไขจากอย่างน้อยผู้ใหญ่สักคนหนึ่งในชีวิตของเขา   การอุทิศชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวมีคุณค่าสูงส่งยิ่ง   แต่สิ่งที่มีคุณค่าสูงส่งเช่นที่ว่านี้มันคืออะไร   คือเมื่อแม่เลี้ยงดูลูก นั่นเป็นโอกาสที่แม่กำลังเสริมสร้างพัฒนาภาวะความเป็น “ผู้นำแบบพระคริสต์” ในตัวของแม่  คือ “ผู้นำที่รับใช้”  เริ่มด้วยการอุทิศหมดสิ้นทั้งชีวิตจิตใจเฉกเช่นพระคริสต์  มีชีวิตที่สัตย์ซื่อ  มีความรักที่เสียสละ  และการเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็กด้วยสุดจิตสุดใจ  ความเป็นแม่เรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราในฐานะผู้หญิง   เป็นโอกาสที่เราจะเรียนรู้ถึงการรับใช้   มีชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้น   และนี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งประการหนึ่งในการเสริมสร้างความเป็นสาวกพระคริสต์ในตัวเรามิใช่หรือ?  

ในความเป็นแม่เธอกำลังมีชีวิตแบบพระคริสต์ที่ “...ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส (คนรับใช้)...” (ฟีลิปปี 2:7)

เมื่อแม่รับใช้เจ้าตัวเล็ก   แม่จะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ได้รับการเชิดชู และ ชื่นชมจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จากอิสยาห์ 42:1 “นี่คือผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเราเชิดชู   ผู้ที่เราเลือกสรรไว้ ซึ่งเราชื่นชม   เราจะส่งวิญญาณของเราลงมาเหนือเขา...” (อมธ.)   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอ้าแขนของพระองค์ออกกว้างสำหรับแม่ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรง   ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงโอบกอดลูกอ่อนของเธอไว้ในอ้อมพระกร และโอบอุ้มไว้แนบพระทรวง (อิสยาห์ 40:11) และจะค่อยๆนำแม่ที่มีลูกอ่อนไป   ดังนั้น แม้แม่จะเหน็ดเหนื่อยหมดแรง  พระเจ้าทรงรับรู้และเข้าใจถึงสภาพชีวิตของแม่อย่างดี  ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะฟื้นฟูจิตวิญญาณของผู้เป็นแม่ (สดุดี 23:2-3)   และพระองค์จะทรงหนุนเสริมแม่ให้  “ ...มีกำลังด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้น... เพื่อให้ท่านมีความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่ง พร้อมทั้งมีความยินดี” (โคโลสี 1:11 มตฐ.)

เมื่อเราในฐานะแม่รู้สึกหมดหนทาง โดดเดี่ยว และท้อแท้ เรามีทางเลือก   เราสามารถเลือกที่จะต่อต้านความคิดความรู้สึกเช่นนั้น หรือยอมปล่อยให้ความรู้สึกนั้นบุกรุกถาโถมเข้ามาในห้วงความนึกคิดความรู้สึกของเรามากขึ้นๆ   แล้วทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจยึดครองพื้นที่ความนึกคิดและความรู้สึกของเรา    หรือเราจะเลือกต้อนรับเจ้าตัวน้อยของแม่  ที่กำลังมีชีวิตในสภาพที่อ่อนแอและมีความจำเป็นต้องการการปกป้อง เอาใจใส่ เลี้ยงดูอย่างสูงในชีวิต  และได้แสดงให้แม่เห็นถึงความจำเป็นต้องการของตนในเวลานั้น   เรามั่นใจได้ว่า  พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด จะอ้าแขนต้อนรับ  บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก... และพระองค์จะให้ผู้เป็นแม่ได้รับการพักสงบ (มัทธิว 11:28)  พระคริสต์เคยบอกเราแล้วว่า  คนแข็งแรงไม่ต้องการพระองค์  แต่คนที่สิ้นแรงหมดกำลังพระองค์ทรงต้อนรับ   ให้ผู้เป็นแม่พึ่งพิงในพระองค์ต่อไป

การเป็นแม่เป็นสิทธิพิเศษในการช่วยให้มีชายหนุ่มหรือหญิงสาวที่รักพระคริสต์ที่มีชีวิตชีวาคนใหม่ๆเข้ามาในโลกที่เศร้าโศกนี้ด้วยความชื่นชมยินดี

คุณแม่สามารถที่จะกำหนดและเสริมสร้างลักษณะอารมณ์ในครอบครัว   ผู้เป็นแม่สามารถที่จะเสริมสร้างสภาพแวดล้อมโดยรอบบ้านให้เป็นแหล่งของการค้นพบเรียนรู้และสร้างสรรค์   คุณแม่เป็นผู้ที่จะให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้บุตรหลานของตนต่อต้าน “ระบบประโยชน์นิยมที่มีตนเองเป็นศูนย์กลาง”  ซึ่งกำลังกลืนกินโลกของเราในทุกวันนี้   ในความเป็นแม่เป็นการเตรียมลูกสำหรับสัมพันธภาพในอนาคต   งานหนักที่เปี่ยมด้วยคุณค่าของความเป็นแม่คือการที่แม่พยายามสอนลูกให้ยกย่องนับถือพ่อของลูก รักและผูกพันกับญาติพี่น้อง   สอนลูกให้รู้จักเลือกบริโภคโภชนาการที่ดี   ความบันเทิงที่บริสุทธิ์และเป็นประโยชน์  สอนให้ลูกรู้ถึงคุณค่าของความสะอาดบริสุทธิ์และมีมารยาทที่ดี   และสิ่งสูงสุดคือการต่อสู้เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าสมกับแรงพลัง และ ชื่อเสียงของเขา

ใครบางคนอาจจะมีอิทธิพลเหนือชีวิตลูกของท่าน

ลองนึกถึงสิทธิพิเศษของแม่ถึงการชี้นำความคิดและหัวใจของคนหนุ่มสาวในการพัฒนาจิตวิญญาณ สติปัญญา อารมณ์ และสัมพันธภาพทางสังคมของเขา   ลองนึกถึงพระพรของการได้แนะนำให้ลูกรู้จักพระเจ้าแห่งจักรวาล และความจริงนิรันดร์ในพระวจนะของพระองค์   ลองนึกถึงความสุขที่ได้เห็นลูกพูดความจริงแม้ในเวลาที่เขาประสบกับความยากลำบาก  และแสดงความรักแทนความเห็นแก่ตัว  อีกทั้งแสดงความเมตตาด้วยความจริงใจ  

ขอให้แม่ชื่นชมยินดีกับสิทธิพิเศษของการทำหน้าที่ความเป็นแม่  ในการส่งชายหนุ่มหรือหญิงสาวผู้รักพระคริสต์ที่เข้มแข็ง มีชีวิตชีวา เข้ามาในโลกที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของความชั่วร้ายทำลาย  ให้พวกเขามีชีวิตที่กล้าหาญที่จะดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อเห็นแก่พระคริสต์   ชายหนุ่มหญิงสาวที่รักพระคริสต์ที่เข้ามาอยู่ในสังคมโลกที่มีความโศกสลดเพราะความบาปผิดด้วยควากล้าหาญที่ต้องการดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อเห็นแก่พระคริสต์  

ผู้เป็นแม่อย่าเพิ่งท้อแท้   เพราะงานชีวิตของแม่นั้นยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง

จะมีบางคนที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตลูกของท่านในช่วงแรกในชีวิตของลูก  แล้วปลูกฝังระบบค่านิยมและมาตรฐานชีวิตลงบนจิตวิญญาณหนุ่มสาวลูกของแม่อย่างน่าประทับใจ   ขอคุณแม่ยังคงยืนหยัดในความเป็นแม่ของตน   ผมในฐานะที่เป็นผู้สูงวัย  ขอให้ความมั่นใจแก่คุณแม่ในตอนนี้ว่า  เมื่อคุณแม่เห็นลูกของตนเติบโตแข็งแรงขึ้นในพระคริสต์ ความทุกยากลำบากในชีวิตของแม่ที่ทุ่มเทลงไปสำหรับลูกจะอันตรธานหายสิ้น  ยิ่งเมื่อลูกยืนยันความเชื่อของเขาเองที่มีในองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด “อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม” (กาลาเทีย 6:9 อมธ.)

นี่คือสิทธิอันพิเศษและมีคุณค่ายิ่งในการทำหน้าที่แม่   ขอให้เป็นคุณแม่ที่เต็มใจทุ่มเทยอมจ่ายค่าราคาชีวิตของแม่  ที่ยอมอุทิศทั้งชีวิตตามการทรงเรียกให้เป็นแม่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ขออย่าละเลยสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ หรือเพิกเฉยต่อสิ่งที่พระองค์ขอให้เราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ในการเลี้ยงดูฟูมฟักชนรุ่นต่อไป และนี่คือสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง  เพราะสิ่งที่คุณแม่กระทำมิใช่การรับใช้เสริมสร้างชีวิตลูกเท่านั้น  แต่ “...องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละคือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่” (โคโลสี 3:24 อมธ.)