ในข้อเขียนนี้ เราจะร่วมกันพิจารณาละเอียดว่า
แนวทางที่ดีที่สุดที่เราจะเข้าถึงและลงลึกในชีวิตของสมาชิกคริสตจักร
โดยการสื่อสารด้วยการฟังอย่างใส่ใจที่จะช่วยให้ทีมผู้อภิบาลเข้าใจถึงสภาพชีวิต จิตวิญญาณของสมาชิกแต่ละคน
สิ่งที่แต่ละคนต้องเผชิญด้วยความทุกข์ยากลำบาก ความจำเป็นต้องการ และการถูกทดลองในชีวิตของเขา เราจะฟังอย่างใส่ใจอย่างไร
เพื่อการอภิบาลชีวิตสมาชิก คริสตจักร?
ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ท้าชวนให้เราพิจารณาถึงการฟังเป็นการอภิบาลชีวิตผู้คน
6 ประการ
1. การฟังคนอื่นต้องใช้เวลา การบริหารจัดการเวลาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับทีมผู้อภิบาลทุกท่าน เราไม่สามารถที่จะจัดเตรียมเวลา หรือ
กันเวลาในการที่เราจะฟังคนอื่นทุกครั้ง
บ่อยครั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทันที และศิษยาภิบาลจำเป็นจะต้องให้เวลาที่จะฟังทันทีในเวลานั้น แน่นอนว่าในทุกคริสตจักรจะมีบางคนที่ต้องให้ผู้อภิบาลฟังเรื่องของตน อีกทั้งในบางคนบางกรณีที่จะต้องแสวงหาแนวทางออกตามพระคัมภีร์ ดังนั้น คงไม่สามารถคาดหวังว่าผู้อภิบาลจะฟังผู้ที่กำลังประสบปัญหาและได้รับความเจ็บปวดในชีวิตของทุกคนได้
แต่ศิษยาภิบาลสามารถจัดสรรเวลาสำหรับสมาชิกเหล่านี้เพื่อที่จะฟังสมาชิกเต็มกำลังเท่าที่ ศิษยาภิบาลจะทำได้
ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำพันธกิจที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตของคนในคริสตจักรได้อย่างเป็นรูปธรรม
2. การฟังคนอื่นบังคับให้เราที่จะต้องอดทน แต่บทเรียนหนึ่งที่ผมได้จากการทำงานอภิบาลคือ เมื่อผู้ที่ไว้วางใจผมมาขอการปรึกษา ผมพบว่า
เขาไม่ได้ต้องการให้ผมช่วยแก้ไขปัญหาที่เขากำลังประสบ แต่เขาต้องการให้ผมฟังเขาถึงปัญหาที่กำลังประสบ ดังนั้น ในฐานะผู้อภิบาลเมื่อสมาชิกมาขอการปรึกษาไม่ว่าจะเป็นประเด็นใด สิ่งสำคัญคือเราต้องให้ข้อพระวจนะของพระเจ้าที่จะชี้แนะแนวทางออกสำหรับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ และพูดความจริงที่เราได้ยินด้วยรักเมตตา แต่เราจะต้องฟังเขาด้วยความใส่ใจจนได้ยินถึงความคิดความรู้สึกและความเจ็บปวดในชีวิตของเขา สถานการณ์ความทุกข์ยากที่เราได้ยินได้ฟังเตือนเราเสมอว่า
พระเจ้าเท่านั้นเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่
เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์
บทบาทของผู้อภิบาลคือผู้ชี้นำให้พวกเขาเข้าถึงพระเจ้า กระตุ้นหนุนเสริมเขาให้ใช้พระวจนะในการตอบโจทย์ชีวิต และ ให้กำลังใจหนุนเสริมคนเหล่านั้นด้วยความอดทน หน้าที่ของผู้อภิบาลมิใช่เป็นช่างซ่อมแซมชีวิตของผู้คนที่มาหา!
3. การฟังคนอื่นกระตุ้นเตือนให้เรามีชีวิตที่ภาวนาธิษฐาน การรับฟังอย่างใส่ใจถึงสถานการณ์แวดล้อมชีวิตของสมาชิกคริสตจักรที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราดูแลรับผิดชอบ เป็นตัวกระตุ้นให้ ศิษยาภิบาลมีชีวิตที่อธิษฐานในเรื่องที่เฉพาะเจาะจงชัดเจน
(มิใช่อธิษฐานแบบทั่ว ๆ ไปตามที่คุ้นชิน)
แต่เป็นการอธิษฐานที่กระตุ้นสำนึกของผู้อภิบาลตระหนักรู้ชัดเจนว่า
พระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะสิ่งท้าทายในชีวิตของสมาชิก และนี่เป็นแบบฝึกหัดที่เสริมสร้างความเชื่อศรัทธาของทั้งตัวผู้อภิบาลเองและของสมาชิกคริสตจักรคนนั้นด้วย
4. การฟังสมาชิกคริสตจักรช่วยให้คำเทศนาของเราเป็นเรื่องของชีวิตจริง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเอาเรื่องที่เราฟังสมาชิกคนหนึ่งแล้วนำมาใช้ในคำเทศนาของเราทั้งเรื่อง การกระทำเช่นนั้นเป็นการนำเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของคน
ๆ หนึ่ง หรือ ความลับของคน ๆ หนึ่ง
มาพูดมาเปิดเผยบนธรรมมาสน์
แต่ในที่นี้หมายถึงว่า
เมื่อเราได้ฟังสมาชิกอย่างใส่ใจทำให้เข้าใจถึงโจทย์ชีวิตของสมาชิกบางคนว่าเป็นเรื่องอะไร ช่วยให้เรารู้ว่าในการเทศนาของเรา
เราจะนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้ช่วยตอบโจทย์ชีวิตประจำวันในประเด็นเหล่านั้นที่เราเรียนรู้ได้อย่างไร
ทำให้คำเทศนาสามารถตอบโจทย์ชีวิตของผู้ฟัง
และเขาสามารถแสวงหาแนวทางที่จะรับมือกับโจทย์ชีวิตที่ตนกำลังเผชิญอยู่ได้
5. การฟังคนอื่นอย่างใส่ใจช่วยเราในการนำคนอื่น จอห์น แม็กซ์แวลล์
ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างเป็น กระบวนการว่า ให้เราฟังเพื่อจะเกิดการเรียนรู้ แล้วเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนรู้เพื่อใช้ในการนำ ใช่ครับ ผู้อภิบาลจะต้องนำสมาชิกคริสตจักร
ถ้าเช่นนั้นเราจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงชีวิตของเขาแต่ละคน ว่าเขากำลังเผชิญกับอะไรบ้างในชีวิต อะไรคือความกลัว ความห่วงกังวล ความทุกข์ใจ
สิ่งท้าทาย
หรือเขาประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร
มีจุดแข็งด้านไหนในชีวิต
และมีของประทานอะไรบ้าง
เราเรียนรู้จักเขาก็ด้วยการฟังอย่างใส่ใจ
ในฐานะผู้อภิบาลเราจัดสรรเวลาที่จะฟังและเรียนรู้จักสมาชิกที่เราได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ เราจะเกิดการพัฒนาข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยหนุนเสริมความเป็นผู้นำของเราเป็นอย่างมาก
6. การฟังสมาชิกอย่างใส่ใจทำให้เราใส่ใจในการสร้างสาวก ผู้อภิบาลคนเดียวต้องทำทั้งหน้าที่ในการให้การปรึกษา เป็นผู้นำ
ผู้ให้กำลังใจ และเป็นเพื่อนสนิทของสมาชิก
งานมากมายเช่นนี้ผู้อภิบาลทำคนเดียวไม่ไหวแน่
แค่เราฟังเรื่องราวชีวิตของสมาชิกอย่างใส่ใจก็ทำให้ผู้อภิบาลต้องรับภาระจน
“หลังแอ่น” แล้ว แต่เหตุการณ์เช่นนี้ช่วยให้เราคิดได้ว่า ทำไมพระเจ้าถึงทรงประทานให้มีสมาชิกคริสตจักร
ก็เพื่อที่เราจะสร้างสมาชิกแต่ละคนให้เป็นสาวกของพระคริสต์ เพื่อช่วยสาวกแต่ละคนนำความรักเมตตาในชีวิตออกมาให้แก่เพื่อนสมาชิกคนอื่น
ๆ และรับการฝึกฝนในการรับใช้กันและกันตามตะลันต์ตามความสามารถที่พระเจ้าประทานให้แต่ละคน
สอนและฝึกหัดให้แต่ละคนเรียนรู้ที่จะรักเมตตาคนอื่นอย่างพระคริสต์ เรียนรู้ที่จะฟังคนอื่นอย่างใส่ใจ เรียนรู้ที่จะสื่อสารและสอน ตลอดจนฝึกฝนในการที่จะนำในหน้าที่การงานต่าง ๆ
ที่มีในคริสตจักรและในชุมชน การสร้างสาวกเป็นหนทางเดียวที่ คริสตจักรจะสามารถอภิบาลชีวิตผู้คนในคริสตจักรและชุมชนได้อย่างครอบคลุมอย่างแท้จริง
ดังนั้น
การฟังอย่างใส่ใจจึงมิเพียงแต่เป็นงานใหญ่ของผู้อภิบาลเท่านั้น
แต่เป็นงานสำคัญที่คนในคริสตจักรที่จะอภิบาลกันและกันดัง
“การฟังอย่างใส่ใจ” ด้วยครับ
ในฐานะผู้อภิบาลท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? และ
ในฐานสมาชิกคริสตจักรท่านคิดอย่างไรในเรื่องนี้ครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่