23 พฤษภาคม 2561

หัวอกพ่อแม่...เมื่อเลี้ยงลูกไม่ได้อย่างที่คาดหวัง?

เมื่อมีโอกาสไปในงานคริสตจักรท้องถิ่น   ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับทั้งผู้นำคริสตจักร  และสมาชิกคริสตจักรบางท่าน   เมื่อพูดคุยถึงชีวิตในปัจจุบัน   มักหนีไม่พ้นที่จะต้องแวะเข้าเรื่องของลูกของแต่ละคนในยุคการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วรุนแรง   ประเด็นหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังหนาหูขึ้นคือ   ความรู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง ขมขื่น บางคนเจ็บปวดหัวใจ  อันเนื่องจากการที่ลูกของตนเมื่อเติบโตขึ้นกลับ “ทิ้งเรื่องความเชื่อ” “ไม่เอาเรื่องพระเจ้า” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ไปร่วมในคริสตจักรเท่านั้น   แต่เขา “ทิ้งและไม่เอาพระเจ้า”  

การดำเนินชีวิตของเขาสวนทางกับสิ่งที่เรียนรู้จากชั้นเรียนรวีฯ ในคริสตจักร พฤติกรรมในชีวิตประจำวันสวนทางกับคำสอนในพระคัมภีร์   หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ลูกของเขาในยุคนี้ดูเหมือนเขาตัดสินใจเลือกที่จะมีชีวิตที่พ่อแม่เห็นว่า ท้าทายและเสี่ยงอันตราย   ดูเหมือนพวกเขาเมินเฉยต่อสิ่งที่พ่อแม่เคยสั่งเคยสอน  เป็นคนที่หุนหันพลันแล่นเอาแต่ใจตนเอง ไม่แยแสสนใจว่าคนอื่นจะมองตัวเขาอย่างไร ลึก ๆ พ่อแม่คริสตชนเหล่านี้ท้อแท้และช้ำใจครับ

ผมมักถูกถามแบบตรง ๆ และจริงจังว่า  “เอ๊ะ...เราเลี้ยงลูกผิดอย่างไรหรือ ลูกถึงกลายเป็นคนแบบนี้?”

แล้วจะให้ผมตอบอย่างไรดีครับ???   จริง ๆ แล้วผมไม่รู้จะตอบคำถามเหล่านี้อย่างไรดีครับ!

เหตุการณ์ทำนองนี้มิใช่เป็นปรากฎการณ์ใหม่ แต่เราเคยอ่านพบเหตุการณ์ในยุคในสมัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระคัมภีร์แล้ว ไม่ว่าเรื่องที่พ่อแม่ของแซมสันประสบ จนมาถึงความรู้สึกของพ่อแม่ที่มีต่อพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคาดคิด   จนในบางช่วงแม่และน้อง ๆ คิดว่าพระเยซูบ้าหรือเปล่า?

ในข้อเขียนนี้ ขอศึกษาจากเรื่องของแซมสัน (ผู้วินิจฉัย บทที่ 13-16)

ทูตของพระเจ้าปรากฏและแจ้งแก่แม่ของแซมสันซึ่งเป็นหมันว่า  นางจะตั้งครรภ์และมีบุตรชาย  และบุตรชายคนนี้จะเป็น “นาศีร์” สำหรับพระเจ้าตั้งแต่เกิด  และพระเจ้าจะทรงใช้เขาให้ช่วยกู้คนอิสราเอลให้พ้นจากการข่มเหงของพวกฟีลิสเตีย (13:15)

ทั้งพ่อและแม่ของแซมสันดีใจและต้องการทุ่มเททั้งชีวิตในการเลี้ยงดูแซมสัน เพราะเขาจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ให้กอบกู้อิสรภาพแก่อิสราเอลจากการถูกข่มเหงทำร้ายของพวกฟีลิสเตีย ทั้งสองขอให้ทูตของพระเจ้าช่วยสอนเขาว่า เขาจะเลี้ยงดูลูกชายคนนี้อย่างไรที่พระเจ้าจะทรงใช้เขาได้ (13:8) และพ่อแม่หลายต่อหลายคนก็เคยอธิษฐานเช่นนี้ตั้งแต่ลูกอยู่ครรภ์มิใช่หรือ?

พ่อแม่ของแซมสันต้องการรู้ว่าเขาทั้งสองควรจะเลี้ยงดูลูกคนนี้อย่างไร? และชีวิตของแซมสันจะเป็นอย่างไร? (13:12) ด้วยการทรงเรียกครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญของพระเจ้า พ่อแม่ของแซมสันคาดหวังอย่างแรงกล้าว่า  ลูกชายของเขาจะต้องเป็นคนที่กล้าหาญ เชื่อฟัง และทำให้คนอิสราเอลชื่นชมยินดีแน่

แซมสันเติบโตขึ้นและพระเจ้าทรงอวยพระพรเขา (13:24) และพระเจ้าทรงใช้เขาที่จะช่วยกอบกู้อิสราเอล แต่แซมสันไม่ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังและน่าชื่นชมยินดี  แต่เขากลับกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น  บ้าบิ่น  ไม่ยั้งคิด  เอาแต่ใจตนเอง เขากลายเป็นคนตรงกันข้ามกับลักษณะคนดีในพระคัมภีร์  เขาทำตัวไม่สนใจใยดีใครและเห็นแก่ตัว

เมื่อถึงวัยที่จะแต่งงาน พ่อแม่ต้องการให้เขาแต่งงานกับหญิงสาวยิวที่ดี แต่แซมสันดื้อด้านไปแต่งงานกับหญิงฟีลิสเตีย แซมสันพูดกับพ่อแม่ว่า ให้พ่อแม่ไปขอสาวชาวฟีลิสเตียมาให้เขาเป็นเมีย  “...เพราะ​นาง​ต้อง​ตา​ต้อง​ใจ​ลูก​มาก” (14:3)  พ่อแม่คงหนักใจอย่างมากที่ลูกจะแต่งงานกับ “หญิงที่ไม่ได้เข้าสุหนัต”  และคงหนักใจมิใช่น้อยว่า  แล้วคนอิสราเอลจะมองอย่างไร  จะว่าอย่างไร? พ่อแม่ของแซมสันคงถามตนเองว่า ที่ผ่านมาเขาเลี้ยงแซมสันผิดพลาดอย่างไรแซมสันถึงเป็นคนเช่นนี้?

แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า  “บิดา​มารดา​ไม่​ทราบ​ว่า เรื่อง​นี้​เป็น​มา​จาก​พระ​ยาห์​เวห์ เพราะ​พระ​องค์​ทรง​หา​ช่อง​ทาง​ที่​จะ​ต่อ​สู้​พวก​ฟี​ลิส​เตีย ใน​เวลา​นั้น​พวก​ฟี​ลิส​เตีย​มี​อำ​นาจ​เหนือ​อิส​รา​เอล” (14:4 มตฐ.)

แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า   ส่วนตัวแซมสันเองไม่ได้มองว่าที่ตนต้องการหญิงฟีลิสเตียมาเป็นเมีย มิใช่เพราะเขาเห็นว่านั่นเป็นการทำตามแผนการของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า แซมสันบอกให้พ่อไปขอนางมา  “... เพราะ​นาง​ต้อง​ตา​ต้อง​ใจ​ลูก​มาก” (14:3) และเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดคิดของพ่อแม่แซมสันแน่

ขอย้ำว่า...ที่แซมสันต้องการแต่งหญิงฟีลิสเตีย เพราะนางเป็นที่ต้องตาต้องใจแซมสัน ที่เขาต้องการแต่งงานกับสาวฟีลิสเตีย เพราะเขาชอบเขาต้องการเช่นนั้น เขาไม่ได้ตัดสินใจเพราะต้องการทำตามแผนการของพระเจ้า

เมื่อเราตัดสินใจทำสิ่งที่ “ต้องตาต้องใจของเรา” โดยปราศจากการใคร่ครวญ คิด พิจารณาว่า  ถ้าตัดสินใจทำเช่นนั้นแล้วจะเกิดผลอะไร  ส่วนมากแล้วเราก็ตรงรี่เข้าหาความหายนะแห่งชีวิต

ทุกวันนี้คนยุคใหม่ คนทันสมัย  เลือกทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่ “ต้องตาต้องใจ” ของตนเองมิใช่หรือ   ที่มักนำสู่จุดสุดท้ายคือความหายนะแห่งชีวิต

เมื่อลูกของเราใช้ค่านิยมตามกระแสสังคมเช่นนี้   แล้วเราจะเชื่อวางใจในพระองค์อย่างไรดี?

และถ้าเกิดขึ้นกับท่านเอง  ท่านจะรับมืออย่างไร?  แล้วจะเชื่อวางใจพระเจ้าอย่างไรดี?

ท่านจะมีคำตอบสำหรับการแบ่งปันครั้งต่อไปอะไรบ้างครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น