30 มีนาคม 2553

สัมผัสของพระเจ้า

พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดท่าน ที่นี่ เดี๋ยวนี้
เป็นความใกล้ชิดในสายเลือด
ดั่งแม่นกที่ทะนุถนอมห่วงใยลูกน้อยของมัน
พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่าน
ทรงเป็นชีวิตของท่านทั้งร่างกาย ความคิด จิตใจและจิตวิญญาณ

ท่านไม่รู้หรือว่า
เวลาที่ท่านหันกลับมาหาพระเจ้านั้นมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของท่าน
อิสยาห์ผู้รับใช้ของพระเจ้า ได้กล่าวแล้วมิใช่หรือว่า
“แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่
เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรีย์
เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย
เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย” (อิสยาห์ 40:31)

ท่านจงพากเพียรในทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านกระทำ
การมุ่งมั่นที่จะกระทำตามที่พระองค์บัญชา ตามพระประสงค์ของพระองค์
จะนำมาซึ่งความไม่ผิดพลาดสำหรับท่านในทุกที่ที่ท่านไป
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องด้านจิตวิญญาณ ความคิด และแม้แต่สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับโลกนี้

ถ้าท่านหันมาดูพระวจนะที่พระองค์มีมายังท่าน
ท่านจะเห็นได้ว่า การทรงนำของพระองค์นั้นเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่อง
เพียงแต่ท่านจะยอมกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในแต่ละขั้นแต่ละตอนที่ตรัสแก่ท่าน
พระองค์ก็จะสามารถทำให้ท่านเห็นความหมายในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกและสอนท่านได้ชัดเจนเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น และสามารถนำท่านให้ก้าวย่างต่อไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

ความปลาบปลื้มใจของมนุษย์คือการที่เขามีความรู้สึกไว และ
ตอบสนองด้วยประสาทสัมผัสแห่งจิตวิญญาณ ต่อการทรงสัมผัสจากพระเจ้า

ท่านจงปลาบปลื้มใจ ปีติ ชื่นชมเถิด

28 มีนาคม 2553

ชีวิตที่แยกไว้เฉพาะ

จงแสวงหาเราและดำรงชีวิตอยู่... (อาโมส 5:4)
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ (มัทธิว 6:33)

พระเจ้าทรงตอบแทนการแสวงหาของท่าน ด้วยการสถิตอยู่ด้วยกับท่าน
จงชื่นชมและยินดีเถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน
ความกล้าหาญและปีติดีใจจะนำมาซึ่งชัยชนะต่อความทุกข์ยากลำบากทั้งมวลในวันนี้
จงแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดในชีวิตของท่าน

จงแสวงหาพระเจ้า รักพระองค์ และชื่นชมยินดีในพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้นำทางชีวิตของท่าน
ไม่มีอันตรายใดๆ จะคุกคามชีวิตของท่านได้
ไม่มีวินัยชีวิตใดที่จะทำให้ท่านเหนื่อยล้าและอ่อนแรง
จงเพียรอดทนด้วยความชื่นชมเถิด

ท่านจะยึดมั่นในพระกำลังของพระเจ้าได้หรือไม่?
พระเจ้าทรงต้องการท่านมากกว่าที่ท่านต้องการพระองค์
จงสู้วิกฤติชีวิตในช่วงเวลานี้เพื่อพระประสงค์ของพระองค์
จงเริ่มทุกงานชีวิตและความสำเร็จเพื่อพระประสงค์ของพระองค์

ท่านพร้อมที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระประสงค์ของพระเจ้าโดยเฉพาะหรือไม่?
ท่านพร้อมจะมีชีวิตที่ “แยกออก” เพื่อมีชีวิตอยู่เฉพาะกับพระองค์หรือไม่?
ท่านจะมีชีวิตในโลกนี้ แต่ยังอยู่เฉพาะกับพระเจ้าได้หรือไม่?
จงเริ่มดำเนินชีวิตจากช่วงเวลาที่ท่านสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า
เข้าสู่การดำเนินชีวิตในโลกนี้ ด้วยความมั่นคงและปลอดภัย
เพราะอยู่กับพระองค์ และพระองค์สถิตอยู่กับท่าน ในโลกนี้

25 มีนาคม 2553

บนเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธา

อ่าน มาระโก 5:21-43 อย่างใคร่ครวญ

เมื่อพระเยซูนั่งเรือข้ามฟากกลับมาอีกครั้ง ฝูงชนกลุ่มใหญ่พากันมาห้อมล้อมพระองค์ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ที่ริมทะเล มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาที่นั่น เมื่อเห็นพระเยซูก็หมอบลงแทบพระบาทพระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์กำลังจะตาย โปรดเสด็จไปวางมือให้เพื่อเขาจะหายและไม่ตาย”

ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา ผู้คนคับคั่งตามมาเบียดเสียดกันอยู่รอบพระองค์ ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ทุกข์ทรมานมาก เสียเงินหาหมอมาหลายคนจนหมดตัว แทนที่จะดีขึ้นอาการกลับทรุดลง เมื่อได้ยินถึงเรื่องพระเยซูจึงเดินปะปนกับฝูงชนตามข้างหลังพระองค์ และแตะต้องฉลองพระองค์ เพราะนางคิดว่า “ขอเพียงแค่แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” ทันใดนั้นเองเลือดก็หยุดไหล และนางรู้สึกว่าตนหายโรคแล้ว

พระเยซูทรงทราบทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์จึงหันกลับมาทางฝูงชนและตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา?”

เหล่าสาวกทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นอยู่แล้วว่า ผู้คนเบียดเสียดพระองค์กันแน่น ไฉนจึงทรงถามว่า “ใครมาแตะต้องเรา?””

แต่พระเยซูยังทอดพระเนตรไปรอบดูว่าใครเป็นผู้ทำเช่นนั้น หญิงนั้นซึ่งรู้เรื่องดีว่าอะไรเกิดขึ้นกับนาง ก็กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลความจริงทั้งหมด

พระองค์ตรัสกับนางว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นทุกข์เถิด”

พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม?”

พระเยซูไม่ทรงฟัง ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น”

พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไป ยกเว้นเปโตรและยากอบกับยอห์นน้องชายของยากอบ เมื่อมาถึงบ้านของนายธรรมศาลา พระเยซูทรงเห็นความอึกทึกวุ่นวาย ผู้คนสะอื้นร่ำไห้เสียงดัง พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสกับพวกเขาว่า “ร้องไห้วุ่นวายกันไปทำไม? เด็กน้อยยังไม่ตาย เพียงแต่หลับอยู่” แต่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะพระองค์

หลังจากให้ผู้คนออกไปแล้ว พระองค์ทรงพาพ่อแม่ของเด็กกับสาวกที่ตามมาเข้าไปหาเด็กนั้น พระองค์ทรงจับมือเด็กน้อยตรัสว่า “ทาลิธา คูม!” (ซึ่งแปลว่า “แม่หนูเอ๋ย เราบอกเจ้าให้ลุกขึ้น!”) ทันใดนั้น เด็กหญิงก็ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ (เด็กคนนี้อายุสิบสองขวบ) คนทั้งปวงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก พระองค์ทรงกำชับเด็ดขาดมิให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร และตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน (TBS02b)

เปรียบเทียบ “เส้นทางความเชื่อ” ของนายธรรมศาลา กับ หญิงตกเลือด

1. สถานการณ์ชีวิต
นายธรรมศาลา : ลูกสาวของนายธรรมศาลาอายุ 12 ปีกำลังป่วยหนัก

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : หญิงคนนี้ตกเลือดมา 12 ปีแล้ว ต้องการที่จะหาย เพราะนอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ยังเป็นตราบาปว่าเป็นคนไม่สะอาด ถูกกีดกันออกจากสังคมชุมชน

2. เงื่อนไขชีวิต
นายธรรมศาลา : กำลังเผชิญวิกฤติชีวิต ป่วยหนักและอาจจะตาย พ่อไม่ต้องการเสียลูกสาวไป ต้องการให้เธอมีชีวิต

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : เธอสิ้นหวังเพราะสูญเสียเงินทองทรัพย์สินจนหมดตัว แต่อาการตกเลือดกลับทรุดลง หมดทางและโอกาสที่จะรักษาชีวิต เศรษฐกิจ และสถานภาพสังคมในเวลานั้นของนาง

3. ความเชื่อมีเป้าหมาย
นายธรรมศาลา : เพื่อให้ลูกสาวที่ป่วยกำลังจะตายหายจากป่วยและไม่ตาย

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : เพื่อหายจากการตกเลือดมาเป็นเวลายาวนานที่รักษามาตลอด 12 ปีไม่หายสักที แต่กลับทรุดลง แต่ในครั้งนี้นางเชื่อว่า แค่ได้แตะชายฉลองของพระเยซูตนก็จะหาย

4. กรอบ/ขอบเขตของความเชื่อ
นายธรรมศาลา : เชื่อว่าพระเยซูจะสามารถรักษาลูกสาวของตนที่ป่วยให้หายได้ แต่มิได้คาดคิดว่าพระเยซูจะทำให้ลูกสาวเป็นขึ้นจากตายได้ เพราะคนจากบ้านนายธรรมศาลากล่าวว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม?” ความเชื่อของเขามีกรอบว่า พระเยซูรักษาคนที่เจ็บป่วยได้ แต่เมื่อคนนั้นตายแล้วก็อยู่เหนือกรอบความสามารถของพระเยซูคริสต์

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : ความเชื่อของหญิงตกเลือดเกิดจากที่ได้ยินได้ฟังและได้เห็นถึงความสามารถและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ โดยสภาพชีวิตของนางไม่มีโอกาสเหมือนคนอื่นในเวลาวันนั้น ไม่มีโอกาสที่จะกราบลงอย่างนายธรรมศาลาเพื่อขอการทรงรักษา เพราะนางไม่สะอาด นางจะแทรกตัวอยู่ในฝูงจนไม่ได้ เพราะจะทำให้คนที่นางไปถูกต้องพลอยไม่สะอาดไปด้วย และถ้าฝูงชนรู้นางอาจจะถูกประชาทัณฑ์ก็ได้ และพระเยซูแตะต้องนางก็จะทำให้พระองค์ไม่สะอาดไปด้วย

แต่กรอบความเชื่อของนางกว้างกว่านั้น คือ “ขอเพียงแค่แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค” ความสามารถและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์มิได้ถูกจำกัด ติดยึดอยู่กับรูปแบบ เงื่อนไข วิธีการ “พิธี” หรือกฎระเบียบ เท่านั้น แต่นางเชื่อว่าพระเยซูมีท่าทีและฤทธิ์เดชเหนือกรอบดังกล่าว

5. มิติของความเชื่อศรัทธา
นายธรรมศาลา : ความเชื่อศรัทธาของนายธรรมศาลาเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นจากการได้รับอิทธิพลจากภายนอกคือเห็นคนอื่นได้รับการรักษาจากพระเยซู เมื่อไม่รู้จะพึ่งใคร หรือ สิ่งใด จึงมาพึ่งพระเยซูคริสต์ เป็นความเชื่อศรัทธาในมิติของความคาดหวัง แต่มิใช่ความเชื่อศรัทธาที่เชื่อมั่นคงภายในชีวิต ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ล้อมรอบชีวิตเปลี่ยน ความเชื่อจึงเปลี่ยนตามด้วย

พระเยซูคริสต์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อนายธรรมศาลา พระองค์ทรงเสริมสร้าง วางรากฐานความเชื่อศรัทธาภายในชีวิตของนายธรรมศาลา พระองค์ให้กำลังใจว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น” พระองค์ทรงเริ่มต้นวางรากฐานความเชื่อภายในของนายธรรมศาลา ยังไม่สามารถให้ความเชื่อขยายมีอิทธิพลสู่สังคมชุมชนรอบข้าง จึงให้พ่อแม่และสาวกคนสนิทเท่านั้นที่เขาไปในเหตุการณ์การรักษาลูกสาวของนายธรรมศาลาครั้งนี้ และยังต้องพิสูจน์ย้ำให้ความเชื่อศรัทธาภายในชีวิตของนายธรรมศาลาให้มั่งคงแข็งแรงขึ้นด้วยการให้นำอาหารมาให้ลูกสาวของเขารับประทาน เพื่อพิสูจน์ให้พ่อแม่มั่นใจว่า เด็กที่เดินไปมานั้นมิใช่ผีแต่เป็นคน
แต่อย่างไรก็ตามถ้าความเชื่อศรัทธาของนายธรรมศาลาถ้าได้มีการเลี้ยงดูฟูมฟักก็จะเข้มแข็ง เกิดผล มีอิทธิพลสู่ความเชื่อศรัทธาที่แสดงออกภายนอกชีวิตรอบข้าง สังคมและชุมชนได้ในอนาคต

หญิงตกเลือดเรื้อรัง : ด้วยความคิดความเชื่อและความตั้งใจของหญิงเลือดตกคนนี้ต้องการรับการรักษาจากพระเยซูอย่าง “เป็นการลับ” เพราะความเชื่อภายในส่วนลึกของชีวิตนางเชื่ออย่างหมดใจ แต่พระคริสต์ต้องการมากกว่าความเชื่อและการหายตกเลือดของนางเท่านั้น พระองค์มีพระทัยเมตตาที่จะเยียวยารักษามิติชีวิตทางสังคมชุมชนด้วย จึงทรงต้องการเปิดเรื่องนี้ให้สังคมชุมชนรู้และยอมรับการหายโรคตกเลือด หายจากการไม่สะอาด หายจากการถูกกีดกันในชีวิต

พระคริสต์ทรงเสริมเพิ่มความเชื่อศรัทธาของนางจากมิติภายในชีวิต สู่ความเชื่อศรัทธาที่มีอิทธิพลกระทบต่อสภาพรอบข้างของชีวิต คุณภาพชีวิตของเธอ และ ขยายกรอบความเชื่อศรัทธาของสังคมชุมชน พระเยซูกล่าวแก่เธอว่า “...ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นทุกข์เถิด”

6. ความเชื่อแบบตั้งรับ
นายธรรมศาลา : แน่นอนว่า เพราะเป็นการวางฐานทางความเชื่อนายธรรมศาลาจึงเริ่มต้นความเชื่อของตนจากการตั้งรับ คาดหวังให้พระเยซูมารักษาลูกสาวที่บ้าน ความเชื่อในระดับนี้ต้องการเวลาของการบ่มเพาะ ต้องการพี่เลี้ยงที่จะเอาใจใส่เลี้ยงดูให้เติบโตแข็งแรง ต้องการประสบการณ์ตรงในชีวิต ต้องการการสัมผัสจากพระคริสต์

ความเชื่อที่ต้องเสี่ยง
หญิงตกเลือดเรื้อรัง : หญิงตกเลือดไม่มีทางเลือก และการที่นางตัดสินใจรับการรักษาด้วยการแตะที่เสื้อผ้าของพระเยซูนั้นเป็นความคิดที่อันตรายและเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะตามบัญญัติของยิว เธอจะทำให้พระเยซูไม่สะอาดไปด้วย และเมื่อพระเยซูถามหาคนที่แตะต้องเสื้อผ้าของพระองค์ เธอจึง...กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลความจริงทั้งหมด

จากวิกฤตินี้พระเยซูเสริมเพิ่มความเชื่อของนางไปสู่อีกระดับหนึ่ง จากความเชื่อว่า นางจะทำให้พระเยซูไม่สะอาด แต่กลับพบความจริงว่า ความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ทำให้เธอพลอยสะอาดไปด้วย ความบริสุทธิ์ของพระคริสต์ได้ขจัดความสกปรกและอำนาจบาปที่ปนเปื้อนในชีวิตของเธอออกไป และนี่คือฤทธิ์เดชของธรรมบัญญัติที่นำถึงความตาย ส่วนฤทธิ์เดชพระกิตติคุณของพระคริสต์ที่นำถึงซึ่งชีวิต

นี่คือความเชื่อที่ “พลิกคว่ำ” จากความเชื่อที่ยึดมั่นที่กฎระเบียบ กฎบังคับ สู่ความกล้าที่จะเชื่อและไว้วางใจในพระคุณของพระคริสต์ กล้าเสี่ยงรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระองค์

7. บทเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาสายนี้ พระองค์ทรงเรียกหญิงตกเลือดออกมาเพื่อเป็นบทเรียนแห่งความเชื่อศรัทธาสำหรับนายธรรมศาลาเมื่อชีวิตเผชิญกับวิกฤติ “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น” พระองค์ทำให้หญิงตกเลือดหายสะอาดปกติได้ ลูกสาวของเขาก็จะได้รับการรักษาด้วย

บนเส้นทางแห่งความเชื่อศรัทธาในชีวิตประจำวัน พระองค์ทรงให้ชีวิตของบางคนที่เรามิได้คาดคิด เพื่อเป็นบทเรียนหนุนเสริมความเชื่อชีวิตของเรา เพื่อเราจะเรียนรู้ว่าการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธานั้นเป็นเช่นไร เมื่อชีวิตของเราตกอยู่ในความยากลำบาก ถึงทางตันหาทางออกมิได้ สิ้นหวัง จงเชื่อและไว้วางใจว่าพระองค์ทรงรู้และพร้อมที่จะสัมผัสเพื่อรักษาบาดแผลในส่วนลึกแห่งชีวิตของเรา และอาจจะใช้ชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างที่จะดลอกดลใจคนอื่นให้มีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เข้มแข็งขึ้น

23 มีนาคม 2553

ปรากฏการณ์มหัศจรรย์

องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ด้วยจิตใจแห่งปิติชื่นชม
ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์สำหรับการทรงอวยพระพรอันอัศจรรย์
ที่ทรงประทานแก่ข้าพระองค์ในวันนี้และในทุกวัน

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างท่าน
จงดำเนินตามการทรงนำของพระองค์
สิ่งมหัศจรรย์เหนือความคิด-จินตนาการของท่านกำลังสำแดงและเปิดเผย
พระคริสต์คือผู้นำทางชีวิตของท่าน และ
ทรงเป็นมิตรสหายของท่าน
จงชื่นชมยินดีในความคิดความเชื่อนี้เถิด

ท่านจงระลึกเสมอว่า
สำหรับพระองค์แล้วการอัศจรรย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติและเป็นธรรมชาติ
สำหรับสาวกของพระองค์ สำหรับคนที่ติดตามพระองค์การอัศจรรย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามพลังปกติแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้น คนที่ดำเนินชีวิตและเข้าใจด้วยประสาทสัมผัสแห่งกายเท่านั้น
จึงคิดและเข้าใจว่าการอัศจรรย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่เหนือธรรมชาติ

ท่านต้องระลึกด้วยเช่นกันว่า
คนที่ดำเนินชีวิตด้วยสัมผัสรู้สึกเท่านั้นก็เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า
ท่านจะต้องรู้เท่าทันเรื่องนี้ให้ชัดเจน และ
ท่านต้องอธิษฐานเพื่อขอการทรงช่วยให้ความเข้าใจนี้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นว่า
เพียงท่านยอมอยู่ภายใต้การทรงนำขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ การหนุนเสริมเพิ่มพลังจากพระองค์แล้ว
สิ่งอัศจรรย์จะเกิดขึ้นได้ทุกวันอย่างปกติ ธรรมดา และเป็นอย่างธรรมชาติ

บุตรของพระเจ้าเอ๋ย
ประชากรแห่งแผ่นดินของพระเจ้านั้นเป็นคนที่เฉพาะพิเศษ
เป็นประชากรที่ทรงสร้างให้มี...
ความเชื่อศรัทธา
ความคิด
ความหวัง
แรงบันดาลใจ
แรงดลใจ
แรงกระตุ้นให้มีชีวิตที่แตกต่างออกไป
เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในการทรงนำและการทรงเอื้ออำนวยของพระองค์ต่อชีวิตของตน

ท่านได้เห็นถึงสิ่งอัศจรรย์มากมายที่เกิดขึ้นว่า
ดูเป็นการเกิดขึ้นที่เรียบง่าย
ขับเคลื่อนและเกิดขึ้นอย่างอิสระ
ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดที่จะมาควบคุมครอบงำได้
จนทำให้ท่านต้องแปลกประหลาดใจ

จงฟังนะ บุตรของพระเจ้าเอ๋ย
สิ่งเหล่านั้นมิได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายเลย
แต่กว่าที่จะเกิดขึ้นอย่างเช่นที่ท่านเห็นนั้น
ได้ผ่านความวิตกกังวล
ความอ่อนล้าหมดแรง
การปล้ำสู้ในจิตใจชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
วันแล้ววันเล่า
เดือนแล้วเดือนเล่า
ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท
ด้วยความปรารถนาที่จะชนะตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว แน่วแน่
เพื่อที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และ
ดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระองค์
จนประสบชัยชนะ
ความกลัดกลุ้ม
ความกังวลใจ และ
การถูกสบประมาท เหยียดหยาม
ทำให้เขากลับกลายเป็นผู้ที่อดทนด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
ชีวิตจึงบังเกิดการอัศจรรย์ขึ้น

21 มีนาคม 2553

มิตรสหายในงานชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย

แท้จริงแล้วความพยายามวันแล้ววันเล่านั้นมีค่ายิ่ง
มิใช่เหตุการณ์พิเศษสุดยอดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งบางคราว
การที่ท่านเชื่อฟังและพยายามทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าวันแล้ววันเล่าในความรู้สึกที่ว่างเปล่า
เหมือนการเดินทางชีวิตในถิ่นทุรกันดารที่ราบโล่ง กว้าง เวิ้งว้าง
มีค่าในชีวิตยิ่งกว่าเหตุการณ์พิเศษสุดเฉกเช่นสาวกเห็นการทรงจำแลงพระกายของพระคริสต์บนยอดเขา

ไม่มีที่ใดที่ต้องการความพากเพียรอุตสาหะมากเท่ากับการดำรงชีวิตที่มีความเชื่อศรัทธา
งานและชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายในแผ่นดินของพระเจ้า…
คือการที่ท่านจะต้องมีชีวิตที่ตรึงแน่นในสัมพันธภาพที่สนิทสนมกับพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในเรื่องเล็กเรื่องน้อย
ผู้ที่ควบคุมสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

ท่านจงระลึกไว้เสมอว่า
ในแต่ละวันไม่มีสิ่งใดที่เล็กเกินไปที่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานของพระเจ้า
ดั่งชิ้นหินโมเสคชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง มีบทบาทยิ่งใหญ่ในภาพรวมทั้งหมดของภาพโมเสคนั้น

ท่านจงมีชีวิตที่ชื่นชมยินดีในพระเจ้า
ผู้ทรงเชื่อมต่อสัมพันธ์ให้เกิดดุลยภาพและความงดงามแห่งโมเสดชีวิตของท่านในแผนการของพระองค์

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญขุดลึก

1. ในชีวิตของท่าน ท่านมีหลักการในการให้คุณค่าและความสำคัญต่อชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์แวดล้อมอย่างไร?

2. ในชีวิตของท่านอะไรคือสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน(วันแล้ววันเล่า)ของท่าน?

3. อะไรคือความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตความเชื่อศรัทธาของท่าน?

4. ท่านมีความคิดเห็น และ ประสบการณ์อย่างไรบ้างกับคำกล่าวข้างต้นที่ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในเรื่องเล็กเรื่องน้อย ผู้ที่ควบคุมสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน”?

5. ท่านเห็นว่า “ชีวทัศน์ และ โลกทัศน์” ของข้อความข้างต้นกับทัศนะของท่านเอง มีอะไรที่เหมือน และ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

18 มีนาคม 2553

ผู้ทรงอิทธิพล

เราได้ให้ชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อและเข้ามาหาเรา นี่คือคำตรัสของพระคริสต์เจ้า
ชีวิตนิรันดร์ดังกล่าวจะแปรเปลี่ยนชีวิตทั้งสิ้นของท่าน ไม่ว่าคำที่พูด สิ่งที่คิด ท่าทีที่แสดงออก และพฤติกรรมในชีวิต ให้เป็น “คน” ตามพระประสงค์ เป็นคนในแผ่นดินของพระเจ้า
ชีวิตนิรันดร์เปลี่ยนท่านให้เป็นคนใหม่
ชีวิตใหม่ในตัวท่านจะมีอิทธิพลและพลังที่กระทบต่อชีวิตของผู้อื่น และ สังคมแวดล้อมรอบข้างด้วยเช่นกัน

ชีวิตนิรันดร์ จึงเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากชีวิตหนึ่งที่มีผลกระทบไปยังอีกชีวิตหนึ่ง และ หลายชีวิตในสังคม ชีวิตนิรันดร์จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

อิทธิพลแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภายในของชีวิตของบุคคลก่อน ที่สำแดงออกมาเป็นรูปธรรมภายนอกชีวิต ที่ผู้อื่นสามารถเห็นและสัมผัสสัมพันธ์ได้ และเป็นชีวิตที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิต ความคิด คำพูด ท่าที และพฤติกรรมของคนรอบข้าง

ดังนั้น เราจะเห็นว่าชีวิตนิรันดร์เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลและพลังอันยิ่งใหญ่ แผ่ซ่านกว้างขวาง และนี่คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนกระทบที่เกิดจากการที่จิตวิญญาณหนึ่งๆ ที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิด วิธีพูด คำที่พูด ท่าที ชีวิตที่แสเดงออก และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจากยุคหนึ่งไปยังอีกยุคหนึ่ง

ท่านจงใคร่ครวญขุดลึกสัจจะความจริงนี้
ชีวิตนิรันดร์มิใช่เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ผิวเผิน ความรู้ที่ตายตัว
แต่ชีวิตนิรันดร์เป็นกระบวนการอันล้ำลึกในชีวิตแห่งแผ่นดินของพระเจ้า เป็นเหมือนมุกที่มีค่ายิ่งแต่ถูกซ่อนกลบไว้
ท่านจงเพ่งมองความจริงนี้ ให้สัจจะดังกล่าวทำการขับเคลื่อนในห้วงคิดคำนึง ในชีวิตจิตใจของท่าน และเกิดผลเป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวันของท่าน

------------------

บ่อยครั้ง ที่มีความเข้าใจทั่วไปว่า ชีวิตนิรันดร์คือชีวิตที่ไม่ตาย เป็นชีวิตที่อมตะ

เป็นความจริงว่า ชีวิตนิรันดร์เป็นชีวิตที่ไม่รู้จักจบสิ้น

เพราะจุดสุดท้ายในขั้นตอนหนึ่งหรือช่วงหนึ่งของชีวิตนิรันดร์เป็นจุดเริ่มต้นของอีกขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้น จึงเป็นกระบวนชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพราะกระบวนการเปลี่ยนแปรอย่างต่อเนื่องของชีวิตนี้เอง จึงเป็นชีวิตอมตะ ชีวิตที่ไม่ตายหรือจบสิ้น เป็นชีวิตนิรันดร์

เมื่อพระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจของพระเจ้าในโลกนี้ พระดำรัสอมตะที่คริสตชนท่องขึ้นใจที่ว่า “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระบุตร ผู้นั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์” เป็นชีวิตรับการเปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน ชีวิต นิรันดร์เป็นชีวิตที่เปลี่ยนไป

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตเป็นหัวใจแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อพระองค์เริ่มพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ ...”

------------------

จะเป็นเพราะการที่ต้องการเอาชนะคะคานกัน หรือ เพราะมีความเข้าใจว่า แต่ละศาสนาแตกต่างกัน และด้วยนิสัยจิตวิญญาณที่หมุนวนอยู่ในสังเวียนชีวิตแห่งการแข่งขันในโลกแห่งทุนนิยมและบริโภคนิยม จึงเกิดความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าตน และ สิ่งที่ตนมี ตนยึดถือนั้นเหนือกว่าคนอื่น! อย่างไม่ตั้งใจ บางคนอย่างไม่รู้ตัว แต่สำหรับบางคนแล้วเป็นชีวิตจิตใจ

บางคนชี้ความต่างในคำสอนของคริสต์ศาสนากับพุทธศาสนาว่า พุทธศาสนาท่านสอนว่า ชีวิตเป็น “อนิจจัง” ความไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง ส่วนคริสต์ศาสนาสอนถึงเป้าหมายปลายทางคือ “ชีวิตนิรันดร์” ชีวิตที่อมตะตลอดกาล

ท่านคิดอย่างไรในเรื่องนี้?

------------

สำหรับผมแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่...” นั่นคือ ผู้ที่จะเข้าอยู่ในชีวิตแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจุดเริ่มต้นคือ ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นกระบวนการ

หัวใจแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์คือ

  • จงกลับใจเสียใหม่ คือใครที่จะเข้าสู่การมีชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ เริ่มต้นด้วยการยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตน (เป็นชีวิตที่จะต้อง ละ ทิ้ง ติด ตาม: คือละสิ่งรอบข้างที่ยึดเหนี่ยวชีวิตของเราไว้, ทิ้ง “ชีวิตเก่าในตัวเรา” ไม่เอาขึ้นมาปัดฝุ่นใช้ใหม่, มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระคริสต์, และ เดินตามรอยพระบาทของพระองค์ในทุกสถานการณ์ชีวิต)
  • จงกลับใจเสียใหม่ หัวใจของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่เปลี่ยนจากภายในชีวิตของแต่ละคนมิใช่เริ่มต้นที่เปลี่ยนจากภายนอก แล้วให้การเปลี่ยนแปลงภายในมีอิทธิพลต่อท่าที พฤติกรรม การแสดงออกและการดำเนินชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปตามนั้นด้วย แน่นอนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของชีวิต
  • จงกลับใจเสียใหม่ ต้องใช้พลังในการเปลี่ยนแปลง เป็นพลังที่เหนือกว่าพลังที่ครอบงำชีวิตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น การกลับใจใหม่คือการตัดสินใจยอมให้พลังจาก “เบื้องบน” เป็นพลังชี้นำให้ชีวิตเราเกิดการเปลี่ยนแปลง เราเต็มใจและพร้อมที่จะยอมรับกับความผันแปรและผลที่จะเกิดในชีวิต และเราเชื่อมั่นว่าจะมีชีวิตที่มีคุณค่า และ คุณภาพที่เหมาะสม
  • จงกลับใจเสียใหม่ มิใช่เรื่องเล่าครั้งหนึ่งในชีวิต แต่เป็นเรื่องจริงในชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการและต่อเนื่อง เป็นกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนชีวิตของคนๆหนึ่งไปสู่การมีชีวิตที่เป็นเหมือนและเป็นของพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน และนำสู่การเกิดขึ้นของชีวิตชุมชนตามพระประสงค์ ที่ท่านเปาโลใช้วลีที่เราท่านรู้จักกันดีว่า “ชีวิตในพระเยซูคริสต์”

แล้วท่านว่าใครคือผู้มีอิทธิพลในชีวิตของท่าน? (คำถามนี้ผมถามตนเองครับท่าน!)

16 มีนาคม 2553

ให้ความสุขกับคนที่พบเห็น

เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว
ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น ตรัสว่า

“โอ เราอยากให้ตัวเจ้ารู้ในเวลานี้ว่า สิ่งใดสร้างสันติ
แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว...
บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก
จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก”
(TBS02b: ลูกา 19:41-42; มัทธิว 11:28)

เมื่อท่านคิดคำนึงถึงผู้คนที่ท่านได้พบเห็น
หลายชีวิตต้องตกอยู่ในความปวดร้าว
ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า
หัวใจขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเจ็บปวดแค่ไหน
ที่เขาคนนั้นต้องประสบกับ
ทุกข์ภัยและความหายนะในชีวิต
จนได้รับความปวดร้าวเช่นนั้น

ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงเห็นเมืองใหญ่และร้องไห้เพราะเมืองนั้น
พระองค์จะร้องไห้…
เพราะความปวดร้าวทรมานของบรรดาคนที่มีจิตใจทุกข์ระทมเหล่านี้มากกว่าสักเท่าใด
ชีวิตของคนเหล่านี้ที่แสวงหาทางจะมีชีวิตที่ดีกว่า
โดยปราศจากการช่วยเหลือค้ำหนุนจากพลังขององค์พระผู้เป็นเจ้า

“เขาไม่ได้เข้ามาหาพระคริสต์เพื่อเขาจะมีชีวิต”

ท่านจงใช้ชีวิตที่ท่านมีอยู่ในวันนี้ ที่จะนำคนรอบข้างมาเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์
ซึ่งเป็นแหล่งแห่งความสุขและจิตใจที่สงบศานติสำหรับบรรดาชีวิตทั้งหลาย

14 มีนาคม 2553

เมล็ดแห่งพลัง

จงปล่อยวางด้วยจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น
ไม่บีบคั้น ลากฉุด หรือ กดดันตนเองจนชีวิตตึงและเครียด

อย่ากลัวเลย ทุกสิ่งในชีวิตของท่านมีไว้เพื่อการดีที่สุด

ท่านจะกลัวความไม่มั่นคง ความแปรเปลี่ยนได้อย่างไรเมื่อชีวิตของท่านอยู่ในพระเจ้า
พระองค์ผู้ทรงยืนยง มั่นคง ไม่โอนเอนไปตามกระแสและสภาพแวดล้อม
พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ มั่นคง ทั้งวานวันที่ผ่านมา วันนี้ และต่อไปเป็นนิตย์

ท่านต้องเรียนรู้ในการ “ทรงตัว” สร้างสมดุลในชีวิตจิตวิญญาณของท่าน
บนพื้นที่ยืนที่โอนไปเอนมา
บนสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้ควาย
ที่โอนเอนโคลงเคลงปราศจากความมั่นคงแห่งโลกนี้
ท่านต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตที่สมดุลมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลง

วันนี้จงให้พลังขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในชีวิตจิตวิญญาณของท่าน
พลังที่พระองค์ทรงใช้ขับผีร้ายและอำนาจชั่วทุกรูปแบบ

จงใช้พลังของพระองค์ดังกล่าว
เพื่อพลังดังกล่าวจะอยู่ในท่าน และเติบโตแข็งแรงในชีวิตประจำวันของท่าน
แต่ถ้าท่านไม่ใช้พลังของพระองค์
พลังดังกล่าวก็จะกลับไปยังพระองค์และไม่อยู่ในชีวิตท่าน
ดังนั้น ท่านจงใช้พลังของพระองค์ที่มีอยู่ในตัวท่านตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่าน

คนมักเข้าใจผิด
เมื่อต้องการพลังในชีวิตก็จะทูลขอวิงวอนต่อพระเจ้า
แล้วคาดคิดผิดพลาดว่า
เมื่อพระองค์ให้พลังแก่เขาแล้ว
พลังของพระองค์จะจัดการทุกอย่างในชีวิต
นั่นเป็นการเข้าใจผิด
เพราะถ้าเช่นนั้น คนๆ นั้นก็จะเป็นเหมือนทารกไม่เติบโตสักที
ทำได้แค่ทูลขอวิงวอนต่อพระเจ้าเท่านั้น

พลังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้แก่แต่ละคน
เป็นพลังที่เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นต้องการในสถานการณ์ชีวิตคนนั้นๆ
เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่พระองค์หว่านลงในชีวิตจิตวิญญาณของท่าน

เมล็ดแห่งพลังชีวิตนี้พร้อมที่จะงอก เติบใหญ่ เกิดดอก ออกผล มีเมล็ดใหม่
กลายเป็นพลังที่มั่นคงในชีวิตของท่าน
แต่ท่านต้องร่วมเรียนรู้และเติบโตขึ้นไปกับต้นพลังแห่งชีวิตนั้น และ
เมื่อเกิดเมล็ดใหม่ท่านพึงพร้อมที่จะนำไปหว่านลงในชีวิตจิตวิญญาณของญาติมิตรคนรอบข้าง

ท่านจะร่วมเรียนรู้และร่วมเติบโตกับต้นไม้แห่งพลังก็ด้วยลงมือใช้พลังนั้น
เริ่มต้นในตนเอง กับตนเอง
จนขยายวงสู่คนรอบข้าง
เป็นพลังที่ฝังรากในชีวิต

แต่ถ้าท่านนำ “เมล็ดแห่งพลังชีวิต” ที่พระเจ้าให้แก่ท่านตามที่ท่านทูลขออ้อนวอนนั้น
แล้วเก็บไว้อย่างดีในภาชนะที่ปลอดภัย
เมล็ดนั้นก็ไม่สามารถสำแดงพลัง ไม่ก่อเกิดชีวิตใหม่
แล้วท่านกลับไปทูลขออ้อนวอนจากพระเจ้าอีก
เพราะยังไม่มีพลังที่จะแก้ไขพัฒนาชีวิตจิตวิญญาณ
ทำเช่นนั้นไม่ถูกไม่สมควร

ท่านต้องนำเมล็ดแห่งพลังชีวิตของพระเจ้าหว่านลงในดินแห่งชีวิตจิตวิญญาณของท่าน
ทั้งเฝ้ารอ ดูแล อุณหภูมิ ความชื้นของดินแห่งชีวิตของท่าน
นั่นคือ ท่านต้องลงมือใช้พลังของพระเจ้าที่ประทานมาในชีวิตของท่าน
แม้ว่าจะดูว่าเล็กไม่มีพลัง แต่มีชีวิต พร้อมที่จะงอก และ เกิดพลังได้

สิ่งสำคัญ ท่านต้องไม่คิดว่าท่าน “ยุ่ง ไม่มีเวลา”
ท่านลงมือใช้พลังชีวิตของพระเจ้าในแต่ละงานในแต่ละสถานการณ์
เมื่อเสร็จแต่ละภารกิจในชีวิตแล้ว
ท่านจงกลับมาอยู่ในพระองค์
พระองค์จะอยู่ในท่าน
เพื่อทรงเติมเต็ม และ เพิ่มพูนพลังที่จำเป็นในภารกิจต่อไปข้างหน้า และ
จงมั่นใจเถิดว่า ไม่มีภารกิจชีวิตเรื่องใดหนักเกินกำลังของท่าน

ที่สำคัญคือ
จงให้ความชื่นชมยินดีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความชื่นชมยินดีในชีวิตประจำวันของท่าน
จงดำเนินชีวิตแต่ละวันในความชื่นชมยินดีดังกล่าว และ
จงให้จิตวิญญาณของท่านดื่มด่ำในความชื่นชมยินดีนั้น และ
อย่าลืมสะท้อนคิด และ ใคร่ครวญในสิ่งที่พระเจ้าและท่านได้กระทำร่วมกันในชีวิตของท่าน

11 มีนาคม 2553

พบพระเจ้าในวิกฤติชีวิต

เมื่อตรึกตรองถึงประสบการณ์ ในเหตุการณ์ ในสิ่งต่างๆ และในผู้คนที่ได้สัมผัส พบปะเจอะเจอทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านได้ตระหนักเห็นถึงสาระแก่นสารที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงแก่ท่านในผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

ท่านมีโอกาสซึมซับและร่วมรู้สึกยินดี, ปวดร้าว, ว้าเหว่, สิ้นหวังที่ดูเหมือนจะตาย แต่กลับเกิดความหวังอีกครั้งในชีวิตร่วมกับธรรมชาติรอบกายและเหตุการณ์รอบข้างที่สะท้อนและสำแดงถึงความรู้สึกแห่งชีวิตออกมาหรือไม่

ท่ามกลางฤดูกาลแห่งชีวิตที่แปรเปลี่ยนเวียนวน, ที่แตกต่างดูเหมือนอยู่ในคนละฤดูกาลแห่งชีวิตในเวลาเดียวกัน

บางแห่งหนาวแล้งจนดูเหมือนต้นไม้จะยืนแห้ง กำลังตาย ในขณะที่บางแห่งกลับฝนตกฟ้าคะนองจนน้ำท่วมล้น, บางแห่งหิมะตกหนักดูเหมือนไม่มีท่าทีจะเบาบางลง ท่านคงสัมผัสถึงความทุกข์ ปวดร้าว กังวล สิ้นหวัง และสูญเสียได้

ในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมาในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเดินไปที่ต่างๆ จะพบต้นไม้ใหญ่บางต้นใบร่วงหล่น แห้งกรอบ เหลือแต่กิ่งก้านโกร๋นไปทั้งต้น ดูเหมือนกำลังยืนรอความตาย แล้วมันจะตายจริงหรือไม่นี่!

ทำให้วกไปวิตกกังวลกับสภาพอากาศโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทำให้ด่วนสรุปฟันธงลงไปว่านี่ก็อีกรายละซิที่เป็นผลกระทบจากอากาศโลกที่เปลี่ยนไป!

อีกไม่กี่วันต่อมา เกิดพายุฝนจากการเปลี่ยนผ่านสู่ฤดูร้อน ฝนตกลมแรง ทำให้ห่วงกังวลว่าแล้วต้นไม้แห้งโกร๋นพวกนั้นจะล้มโค่นลงหรือไม่!

จากนั้นผ่านไปสองอาทิตย์ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น ต้นไม้แห้งโกร๋นที่คิดว่ากำลังยืนตายกลับแตกใบอ่อน เกิดชีวิตใหม่(ในต้นไม้แก่ๆ ต้นนั้น)!

เสียงหนึ่งในจิตใจร้องค้านขึ้นว่า ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์พันลึกอะไรหรอก มันก็แค่เพียงเป็นไปตามกระบวนการวงจรชีวิตในธรรมชาติเท่านั้น

อีกเสียงหนึ่งถามด้วยความฉงนแต่สงบว่า ถ้าเช่นนั้นเวลาที่ผ่านมา 1-2 เดือนนี้ ทำไมท่านถึงวิตกกังวลและเป็นห่วงว่า ต้นไม้แก่ต้นนั้นกำลังยืนรอความตายแน่?

ทำไมท่านรีบโยงโยนสาเหตุจากสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนรุนแรงของโลกนี้ เพื่อจะสามารถเชื่อมโยงถึงต้นเหตุผ่านมาที่ผู้คนทำร้ายทำลายธรรมชาติแวดล้อม?

เมื่อเรามองดูสภาพชีวิตแวดล้อมที่กำลังแปรเปลี่ยนเวียนไปด้วย “แว่นตาแห่งข่าวสารข้อมูล” และข้อสรุปต่างๆ มักโน้มเอียงให้การมองของเราหาสาเหตุของชีวิตที่แปรเปลี่ยนเหล่านั้น แล้วพยายามเชื่อมโยงหาเหตุผล “โยงโยน” ว่าสาเหตุเกิดจากคนอื่น สิ่งอื่น!

แต่ถ้าเรามุ่งมองสภาพชีวิตที่กำลังเป็นไปและเปลี่ยนแปลงด้วย “แว่นตาแห่งชีวิต” ที่มองให้เห็นถึงพระประสงค์ และ น้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านต้นไม้แก่ต้นนั้น เราจะเห็นความรัก ความงดงามของพระองค์ ที่ทรงเอาใจใส่ด้วยน้ำพระทัยแห่งความรักเมตตาของพระองค์

เราจะเห็นถึงพระประสงค์แห่งการทรงสร้าง, การทรงหนุนเสริม, ค้ำชู, และการทรงกอบกู้ของพระองค์ในเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นวนเวียนด้วยความรักเมตตาอย่างไม่ย่อท้อและเหนื่อยล้า

เราเห็นถึงพระคุณของพระเจ้าท่ามกลางอุปสรรค, วิกฤติชีวิต, การโหมกระหน่ำของผู้ไม่หวังดี, การจู่โจมอย่างไม่ลดละของคนชั่ว เป็นสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะรับมือได้

ในเวลาเช่นนั้น มิใช่เวลาของการสรรหาทฤษฎี ความรู้ เทคนิกวิธีการ, กระบวนการการแก้ปัญหา, การรับมือกับความขัดแย้ง, การจะใช้ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์เชิงไหน!

แต่เป็นเวลาที่เราจะค้นหา รอคอย การทรงเปิดเผยของพระเจ้าถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเหตุการณ์นั้นว่า

พระองค์มีพระประสงค์อะไรที่จะให้สิ่งดีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้น?

พระองค์มีน้ำพระทัยเช่นไรต่อมวลชีวิตที่เกี่ยวข้องวนเวียนในสถานการณ์นั้น?

พระองค์ต้องการสอน, เสริมสร้าง, และหล่อหลอมให้เราเป็น “เครื่องมือ” ของพระองค์เพื่อทำอะไร และ อย่างไร?

พระองค์กำลังหนุนเสริมเพิ่มกำลังด้านต่างๆ ในตัวเราให้ทำพันธกิจอะไร แบบใด ในวิกฤติชีวิตที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่ด้วย?

สิ่งสำคัญทางคุณธรรมแห่งชีวิตจิตวิญญาณของเราคือ “การรอคอย” เราต้อง “รอคอย” เวลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะนี่เป็นพระราชกิจของพระองค์ ต้องตระหนักชัดเสมอว่า เราเป็นเพียง “เครื่องมือ” ของพระองค์ เราเป็นเพียง “คนใช้” ของพระองค์

เราต้องไม่ใจร้อนด่วนทำก่อนเวลาในแผนการของพระเจ้า เพราะนั่นเรากำลังทำตามใจของเรา!

ความเข้าใจประการสำคัญคือ เรามักรีบด่วนแสวงหา “ความรู้” ก่อนทำ (เพราะเราคิดว่า เพื่อจะทำอย่างถูกต้อง) แต่ในพระราชกิจของพระเจ้า ถ้าเรายอมทำอย่างเชื่อฟัง เราจะเรียนรู้พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า

เราเรียนรู้ จากการเชื่อฟัง
เราเรียนรู้ เราจึงหยั่งรากลงลึกในความเชื่อศรัทธา
เราเรียนรู้ เราจึงเติบโต เข้มแข็ง
เราเรียนรู้ เราจึงเกิดผลตามพระประสงค์ของพระเจ้า

นี่คือการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตมิใช่หรือ!

ท่ามกลางวิกฤติชีวิต...
จึงเป็นโอกาสที่เราจะพบและสัมผัสกับน้ำพระทัยของพระเจ้า
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้รับการ “ตัดแต่ง” เสริมสร้างและหล่อหลอมจากพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะเติบโตขึ้นของชีวิตจิตวิญญาณในพระเยซูคริสต์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้ถึงพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราได้รับพระคุณและความรักของพระองค์
จึงเป็นโอกาสที่เราจะได้รับใช้พระองค์ และ
ในวิกฤติชีวิตนั้นเองเรากำลังอยู่กับพระเจ้า

จงชื่นชมยินดีเถิด

ดังนั้น เราจึงมิใช่ผู้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
แต่ในวิกฤติชีวิตนั้นเอง
พระเจ้าทรงประทานโอกาสแก่เราต่างหาก

พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน
พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์
แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า
พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย (ปัญญาจารย์ 3:11)

40ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย
41ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร
42ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน
43“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
45ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม...
48เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ (มัทธิว 5:40-48)

09 มีนาคม 2553

รากฐานชีวิตคริสเตียนที่มั่นคง

ท่านจงเฝ้าระวังและพร้อมที่จะฟังเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วกระทำตามทันที
การเชื่อฟังจนยอมทำตามนั้นเป็นหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของความเชื่อศรัทธา
พระเยซูคริสต์เคยตรัสกับเหล่าสาวกและคนติดตามพระองค์จำนวนมาก
ที่ฟังคำสอนของพระองค์แต่ไม่ได้กระทำตามว่า
“ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น? (TBS02b: ลูกา 6:46)

พระคริสต์เปรียบคนที่ได้ยินคำตรัสของพระองค์
แต่ไม่กระทำตามว่า
เป็นเหมือนคนที่วางรากฐานของบ้านลงในทราย
เมื่อเกิดกระแสน้ำพัดแรงบ้านนั้นก็พังทลายลง

พระคริสต์ยังเปรียบคนที่ได้ยินคำของพระองค์
แล้วกระทำตามทันทีว่า
เป็นผู้ที่วางรากฐานบ้านของตนลงในศิลา
เมื่อเกิดพายุและกระแสน้ำพัดอย่างรุนแรง บ้านนั้นยังตั้งมั่นคงอยู่ไม่โยกคลอน

อย่าเข้าใจว่า
สิ่งที่กำลังกล่าวนี้หมายถึงการที่กระทำตามพระบัญญัติของพระเยซูคริสต์เท่านั้น และ
ก็มิใช่เพียงการทำตามคำสอนบนภูเขาของพระองค์เท่านั้นด้วย
พระองค์หมายความมากยิ่งกว่านั้นสำหรับคนที่รู้จักพระองค์อย่างใกล้ชิดสนิท
พระองค์หมายถึงการที่ท่านยอมกระทำตามในทุกอย่าง
ยอมทำตามเสียงการทรงนำของพระองค์ภายในชีวิตของท่าน และ
คำสั่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พระองค์มีถึงจิตวิญญาณแต่ละดวง
ความปรารถนาของพระองค์ที่สำแดงออกแก่ท่าน
เพื่อที่ท่านจะได้กระทำให้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จ

ชีวิตที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวสั่นคลอนในชีวิตสาวกของพระคริสต์
เปรียบเหมือนบ้านที่หยั่งรากลงในศิลานั้น
มิได้สร้างเสร็จในชั่วพริบตา ทันที
แต่จะต้องให้เวลาในการวางรากฐาน
อิฐแต่ละก้อนที่วางทับซ้อนกันขึ้นมาจนเป็นราก เป็นคานที่แข็งแรง
จากนั้นค่อยก่อกำแพง เชื่อมโครงหลังคา...
ด้วยการกระทำที่เชื่อฟัง
เป็นการกระทำตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าในแต่ละวัน และ
เป็นการกระทำตามความปรารถนาของพระคริสต์ด้วยความรัก
“ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเราแล้วทำตาม
เราจะสำแดงให้พวกท่านรู้ว่าเขาเป็นเหมือนอะไร
เขาเป็นเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก
เขาขุดลึกลงไปแล้ววางรากฐานอยู่บนศิลา
เมื่อมีน้ำท่วมและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาซัดตึกนั้น
มันก็ไม่หวั่นไหว เพราะถูกสร้างไว้อย่างมั่นคง” (TBS02b: ลูกา 6:48)

บ้านที่หยั่งรากลึกลงในศิลานี้
เป็นบ้านที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยการดลใจและทรงนำของพระเจ้า
เป็นบ้านแห่งความเชื่อฟังและทำตาม
เป็นการแสดงออกถึงการสรรเสริญและการนมัสการพระเจ้าอย่างจริงแท้ที่สุด และ
ในบ้านนั้นเองที่พระเจ้ามาอยู่ด้วยกับคนที่พระองค์ทรงรัก

พระคริสต์ไม่ได้ให้ความหวังแก่งานที่ท่านทำหรือ?
พระองค์มิได้ประทานความหวังในวันที่มืดมนหรือ?
เพียงแค่ท่านจะวางอิฐแห่งหน้าที่ธรรมดาๆ ก้อนเล็กๆ ของท่านทีละก้อนๆ
ท่านก็ได้ทำให้ความปรารถนาของพระองค์ได้เกิดเป็นรูปธรรม
เป็นสิ่งที่เสริมสร้างท่านให้มีชีวิตคริสเตียนที่มั่นคง ไม่สั่นคลอน หวั่นไหว
ตามที่เปาโลผู้รับใช้ของพระคริสต์ได้กระตุ้นเตือนให้ผู้ติดตามทุกคนมีชีวิตเช่นนั้น

07 มีนาคม 2553

การงาน หรือ การทรงเรียก

เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า
“ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า
“งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา”
ยอห์น 6:28-29


หลักคิดชีวิตและการทรงเรียก

การทำงานหนัก หรือ การเรียนหนัก และ ความสำเร็จ เปิดโอกาสให้เราเป็นพยานชีวิตถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของเรา แต่สิ่งนี้มิได้เป็นเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิตของเรา

เมื่อเราได้พบกับเพื่อนฝูงที่เคยรู้จักสนิทสนม ที่ไม่ได้พบกันมานาน เมื่อพบกันมักจะถามไถ่กันว่า

ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ดีมีสุขอยู่หรือ?

จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรามักจะบอกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เช่น “ฉันทำงานเป็นเลขานุการ” “ดิฉันเป็นอาจารย์สอนพระคริสตธรรม” “ผมเป็นช่างซ่อมรถยนต์” “ฉันเป็นผู้อำนวยการ...” “ฉัน...”

คำตอบที่ได้รับจากกันและกันมักจะเป็นไปในทำนองที่ว่า ตอนนี้ทำอะไร ที่ไหน กับใคร อย่างไร? เช่น ตอนนี้เรียนคริสต์ศาสนศาสตร์ หลักสูตร M.Div. ปีที่ 2 อนาคตคิดจะเป็นศิษ-ยาภิบาล หรือ อนาคตจะเป็นอาจารย์สอนในสถาบันคริสต์ศาสนศาสตร์ศึกษา จบแล้วจะออกไปเปิดหอพักนักเรียน จบแล้วจะไปเป็นผู้จัดการ... เป็นต้น

บ่อยครั้งที่เราสับสนระหว่าง “เราเป็นใคร” กับ “เราทำอะไร” กล่าวคือเราเอาสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มาเป็นตัวบ่งบอกว่าถึงความเป็นตัวตนของเรา หรือ ชีวิตที่เรากำลังเป็นอยู่ การพูดเช่นนี้อย่างไม่รู้ตัวย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่า เรากำลังบอกเพื่อนของเราว่า งานที่เราทำคือตัวตนของเรา

เรามักสับสนด้วยเช่นกัน เมื่อเราบอกคนรอบข้างว่า เราเป็น “คริสเตียน” การที่เราบอกว่า “เราเป็นคริสเตียน” มักหมายถึงว่า เราไม่ได้เป็นสมาชิกในศาสนาอื่น ไม่ทำศาสนพิธีของศาสนาอื่น เราไปโบสถ์ เราห้อยไม้กางเขน รถยนต์ของเราติดรูปปลาแล้วมีคำว่า JESUS แต่ไม่ติดผ้ายันต์กันอันตราย

เรากำลังสับสนใน “ความเป็นคริสเตียน” กับ “สิ่งที่เราทำในฐานะคริสเตียน”

ถ้าพูดแบบฟันธง การงาน การเรียน คือสิ่งที่เรา “ทำ”

แต่การมีชีวิตที่ติดตามพระเยซูคริสต์คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเรา

พระเจ้าทรงเรียกให้เรามีชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เราจึงทำทุกสิ่งในชีวิตอย่างที่พระองค์คิดและทำ และนั่นคือรากฐานแห่งการมีชีวิต “เป็นคริสเตียน”

04 มีนาคม 2553

หัวใจของชีวิตที่บริสุทธิ์

“...เพราะเราคือพระเจ้าผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า
เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45)

ผมเติบโตมาในคริสตจักรจีน เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ ภาพลักษณ์ของชีวิตที่บริสุทธิ์มักจะมีภาพในความเข้าใจว่า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นไพ่ ไม่เต้นรำ มีพฤติกรรมทางเพศแบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นคนมือสะอาดในเรื่องเงินๆ ทองๆ และเป็นคนที่อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และไปโบสถ์เป็นประจำในวันอาทิตย์ พูดโดยภาพรวมแล้ว ความเข้าใจเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นเรื่องของศีลธรรม จริยธรรมหรือ การประพฤติส่วนตัวของคริสเตียนแต่ละคน

ในฐานะคริสเตียน เราเข้าใจว่าเราได้หลุดพ้นออกจากการอยู่ใต้อำนาจของธรรมบัญญัติ ประเพณีปฏิบัติ แต่กลับตกลงในกับดักทางความคิดเสรีส่วนบุคคลในยุคปัจจุบัน เช่น สิทธิส่วนบุคคล สิทธิ์และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของตนเองหรือส่วนบุคคล เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีประชาธิปไตย และในเวลาเดียวกันก็ลดคุณค่าความสำคัญของชีวิตที่บริสุทธิ์ลงเหลือแค่รูปแบบชีวิตส่วนตัวบางด้านที่พึงปฏิบัติ ตามที่กล่าวข้างต้นใช่หรือไม่?

ถ้าไปพูดคุยกับคริสเตียนในคริสตจักรท้องถิ่นส่วนใหญ่ถึงเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ มักจะพบว่าส่วนใหญ่ตกกับดักความคิดเรื่องชีวิตบริสุทธิ์ไปตามกระแสคิดทางจริยธรรมสังคมในปัจจุบัน เช่น ในด้านเพศต้องไม่มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส ไม่หย่าคู่ชีวิต ไม่กระทำความรุนแรงต่อคู่ชีวิตและคนในบ้าน ไม่อ่านหนังสือโป๊ ไม่เข้าเว็บโป๊และเพศสัมพันธ์ บ้างก็เข้มงวดถึงขนาดไม่ควรนุ่งสั้นห่มน้อย หรือด้านชีวิตในสังคม ไม่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของบริโภคนิยม ไม่แบ่งแยกแตกก๊ก ด้วยเหตุสีผิว ชาติพันธุ์ ฐานะทางเศรษฐกิจ/สังคม หรือพรรคพวก และ ฯลฯ นี่เป็นการยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ชีวิตที่บริสุทธิ์ของคริสเตียนกำลังถูกลดทอนจำกัดคุณค่าและความหมายที่แท้จริงให้เป็นการประพฤติปฏิบัติส่วนบุคคลตามกระแสจริยธรรมสังคมเท่านั้น และมีบ้างได้เพิ่มเติมการปฏิบัติที่พิเศษขึ้นมา เช่น การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การไปโบสถ์ในวันอาทิตย์เป็นประจำ บ้างก็พยายามสร้างการปฏิบัติที่ให้มีเอกลักษณ์ต่างจากคริสเตียนทั่วไป เช่น สตรีคริสเตียนบางกลุ่มจะเอาผ้าคลุมผม และ ฯลฯ

ท่ามกลางความสับสนหลงทางเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์ของคริสตชนในปัจจุบัน พระคัมภีร์ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่ผู้ที่เชื่อศรัทธาอย่างไรบ้าง? พระคัมภีร์ให้ความหมายเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์มากกว่า กว้างกว่า ชีวิตที่มีจริยธรรมสังคมส่วนบุคคลไว้อย่างไรบ้าง?

แท้จริงแล้วชีวิตที่บริสุทธิ์คือชีวิตที่พระเจ้าทรงอยู่ในทุกมิติชีวิตของเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์มิใช่ชีวิตของคริสเตียนที่เจริญเติบโตและมีวุฒิภาวะทางความเชื่อศรัทธาแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นจุดเริ่มแรกของชีวิตคริสเตียนและเป็นหัวใจแห่งการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเรา “...เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45; 1เปโตร 16)

สัมพันธภาพ: ตัวขับเคลื่อนชีวิตที่บริสุทธิ์

“บริสุทธิ์” หรือ “ความบริสุทธิ์” มีความหมายรวมถึงการมีศีลธรรม หรือ จริยธรรมที่บริสุทธิ์ด้วย แต่นั่นมิใช่ความหมายแก่นแท้สำคัญของพระคัมภีร์ คำนี้ในพระคัมภีร์มีความหมายรากฐานคือ “การแยกออก” หรือ “การมอบถวาย” แด่พระเจ้า การเป็นของพระเจ้า “เรา...จะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา” (เลวีนิติ 26:12; ฮีบรู 8:10) จุดเริ่มต้นของชีวิตบริสุทธิ์มีลักษณะพิเศษคือมีรากฐานมาจากสันพันธภาพและพระประสงค์ที่พระเจ้ามีต่อเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ต้องเริ่มต้นที่สัมพันธภาพระหว่างคนๆ นั้นกับพระเจ้าก่อน และด้วยสัมพันธภาพนี้เองที่นำไปสู่การงอกเงยทางจริยธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ขอเน้นย้ำว่าสัมพันธภาพและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นมาก่อนการประพฤติปฏิบัติตามจริยธรรม ก่อนที่เราจะได้รับการทรงเรียกให้เป็น “คนดี” เราได้รับการทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ถ้าเราปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เริ่มต้นก้าวแรกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว เราก็จะตกลงในกับดักที่ทำให้ชีวิตที่บริสุทธิ์กลายเป็นเรื่องการปฏิบัติตามจริยธรรมเท่านั้น

ถ้าเราอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์ในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วยมุมมองของสัมพันธภาพ พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงถึงสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้ชัดเจนที่สุด บ่อยครั้งที่ความคิดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์มักมาจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม แต่ขาดความเข้าใจจากการทรงเปิดเผยของพระเจ้าเองผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ยอมรับและเชื่อศรัทธาในการทรงเปิดเผยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ก็กลายเป็นคนหนึ่งในพระเยซูคริสต์ การเป็นคริสตชนนั้นมีความหมายมากกว่าการเชื่อในพระเจ้า หรือมากกว่าการที่เรายอมรับระบบความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า แต่การเป็นคริสตชนนั้นหมายถึงชีวิตของคริสตชนคนนั้นได้รับการประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า...” (กาลาเทีย 2:20) และกล่าวในโคโลสีว่า “...ชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า”(โคโลสี 3:3) และเราได้ “...นั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 2:6) จากพระคัมภีร์ดังกล่าวได้นำมาถึงซึ่งความเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกแต่เป็นสัจจะความจริง ด้วยการที่เรามีชีวิตประสานเข้าในชีวิตของพระคริสต์ เราจึงมีส่วนในชีวิตของพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และเรามีชีวิตในพระองค์ ด้วยประการเช่นนี้เราจึงสามารถกล่าวได้ว่าเพราะชีวิตของเราอยู่ในพระคริสต์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจึงเป็นความบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เราจึงเป็นคนที่บริสุทธิ์ ความคิดความเข้าใจเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์บนฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจะต้องเข้าใจบนรากฐานสัจจะความจริงตามพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น

เมื่อเราแสวงหาความเข้าใจที่จะประยุกต์ปฏิบัติตามการทรงเรียกของพระเจ้าตามคริสตจริยธรรมให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ เราต้องพิจารณาบนรากฐานแรกคือชีวิตของเราที่ประสานเข้าในพระคริสต์ “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1ยอห์น 4:19) ตลอดเรื่องราวในพระคัมภีร์กล่าวถึงพันธสัญญาของพระเจ้าเปิดเผยชี้ชัดว่า การตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่นำมาซึ่งชีวิตที่บริสุทธิ์ แท้จริงแล้วที่ชีวิตของเราเป็นชีวิตบริสุทธิ์ได้นั้นก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าที่ทรงกอบกู้ชีวิตของเราต่างหาก เราจึงตอบสนองต่อพระราชกิจอันมีพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ในพระคริสต์ ถ้าเรามิได้เข้าใจเช่นนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจว่าที่เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ก็เพราะการกระทำของตัวเราเอง แทนที่เป็นพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้า แต่ถ้าเราเข้าใจชีวิตที่บริสุทธิ์เริ่มต้นที่สัมพันธภาพที่เรามีต่อพระเจ้า ความเข้าใจเช่นนี้ก็จะมีรากฐานหยั่งลึกที่มั่นคงไม่สะดุดล้มเมื่อพบกับพายุกล้าในชีวิต

เมื่อเราเริ่มต้นชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วยการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้ตระหนักชัดว่าชีวิตของเรายังไม่บริสุทธิ์ เพราะเราจำเป็นต้องมีสัมพันธภาพที่บริสุทธิ์กับพระเจ้าในพระคริสต์ก่อน และรับการทรงหนุนเสริมให้เราสามารถตอบสนองต่อสัมพันธภาพแห่งความรักของพระองค์ เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า...ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (เอเฟซัส 4:1) และ “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า...” (โรม 12:1) และในที่สุด “ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ เพื่อให้ได้ความรอด ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:12-13)

จากพระคัมภีร์ที่ยกมาข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการที่พระเจ้าทรงกระทำให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ จากพระราชกิจแห่งการทรงช่วยกู้ของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยเราให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ได้ เป็นชีวิตบริสุทธิ์ที่เรามีความชื่นชมยินดีในพระองค์ ภาพที่งดงามและน่าอัศจรรย์ใจในพระกิตติคุณคือ พระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อทรงเปิดเผยความรักเมตตากรุณาของพระองค์โดยรับสภาพเป็นมนุษย์ ด้วยพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้าและการที่เรามีชีวิตที่สัมพันธ์ในพระคริสต์ เราจึงมีส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยวิถีชีวิตเช่นนี้เองที่ได้เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตของเราให้สามารถสำแดงถึงพระคุณของพระเจ้ากับผู้คนอื่นๆ ได้ “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี...” (เอเฟซัส 2:10)

เราจึงเห็นความแตกต่างชัดเจนว่า ชีวิตที่บริสุทธิ์มิใช่เป็นเพียงชีวิตที่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมเท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้า และพร้อมที่จะเข้ามีส่วนร่วมกับพระเจ้าในการแสวงหาแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าทรงประสงค์

ความหมายวนเวียนสับสน

ในเมื่อความนึกคิดและความเข้าใจของเราในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราควรกระทำกับสิ่งที่เราไม่ควรกระทำ เราสามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านั้นได้ตลอดชีวิตของเรา หรืออย่างน้อยก็ให้พฤติกรรมการแสดงออกภายนอกของเราให้เป็นไปตามกฎบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ไม่ต้องเจาะลึกลงในคำถามรากฐานที่ว่า เราคือใคร? ใครคือผู้ที่เรามอบความรักและจงรักภักดีลำดับแรกๆ?

ในส่วนลึกแล้ว การทรงเรียกของพระเจ้าให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์นั้นเป็นการทรงเรียกที่หนักแน่นจริงจัง เป็นการทรงเรียกให้เรามีชีวิตบริสุทธิ์ในทุกระดับชีวิตของเราทั้งหมด เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้งในความรักเมตตากรุณา และทั้งบุคลิกภาพ และความเป็นเราทั้งชีวิตของเรา การเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ต้องการให้เรายอมสลายความเป็นตัวตนของตนเอง จากนั้นสลัดทิ้งความเห็นแก่ตัวและการที่เอาตนเองเป็นใหญ่แล้วเปลี่ยนเป็นการมีชีวิตในพระคริสต์และอยู่เพื่อพระองค์ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มาระโก 8:35)

หลักการพื้นฐานในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ คือการที่เรายอมมอบกายถวายชีวิตของเราทั้งหมดแด่พระองค์ กล่าวคือเราต้องยอมรับว่าชีวิตที่เป็นอยู่นี้มิใช่ชีวิตของเราเองต่อไป แต่เป็นชีวิตของพระเจ้าและสำหรับพระองค์และที่เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระองค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักคิดของยุคปัจจุบันที่ว่า แต่ละคนเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง การมีชีวิตที่บริสุทธิ์หมายความว่า ชีวิตที่เราเป็นอยู่ทั้งหมดและสิ่งที่เรามีในชีวิตทั้งสิ้นเป็นของพระเจ้า ในทุกมิติของชีวิตที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้เป็นชีวิตที่ทรงเสริมสร้างและทรงนำโดยพระเจ้า

คำสอนนี้มีความหมายครอบคลุมมากมายหลายเรื่อง เราพึงไตร่ตรองไปในแต่ละเรื่อง แต่ละมิติของชีวิต ทั้งในเรื่องเงินทองของเรา, ทรัพย์สมบัติของเรา, เวลา, ความสัมพันธ์, การงาน, การพักผ่อนหย่อนใจ, อาหารการกิน, และเพศสัมพันธ์ของเรา ในทุกเรื่องของชีวิตเหล่านี้และอื่นๆ อีกที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ที่สวนกระแสการหลงและบูชาตนเองของยุคปัจจุบัน ที่มองว่าทุกอย่างที่มีเป็นของตนเองส่วนตัว ใช้ชีวิตที่ดำเนินอยู่นี้ให้เป็นไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ คริสตชนปัจจุบันมากต่อมากที่กำลังได้รับเชื้อระบาดตัวนี้ ดังนั้น จึงมองเห็นพระเยซูคริสต์เป็นเพียงผู้ที่จะช่วยเสริมเพิ่มให้ตนเองมีความสำคัญมากขึ้น เป็นแหล่งที่จะทำให้ตนมีความสุขสบายและมั่งคั่งมั่นคงยิ่งขึ้น หรือบ้างก็ใช้พระเยซูคริสต์เพื่อเสริมให้ตนมีความรู้สึกที่ดีๆ ทั้งสิ้นนี้ก็คือการให้ตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตจิตวิญญาณของตนเอง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงพระเยซูคริสต์ต้องโคจรหมุนรอบชีวิตของตนเอง แทนที่จะให้ชีวิตของตนหมุนโคจรรอบพระเยซูคริสต์ผู้เป็นแก่นกลางแห่งชีวิตของมนุษย์และโลกนี้


ยาแก้โรคการหลงและบูชาตนเอง

แทนที่จะปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามกระแสการหลงและบูชาตนเองที่ครอบงำความคิดและการดำเนินชีวิตของคริสตชนในปัจจุบันนี้ จำเป็นที่เราต้องหันกลับไปศึกษาจากพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้พระวจนะเป็นยาแก้โรคติดต่อแห่งการหลงและบูชาตนเอง และทรงเยียวยารักษาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์ การทรงเรียกของพระเจ้า มิได้ทรงเรียกให้แต่ละคนแยกตนเองออกเป็นคริสตชนแต่ละคน แต่พระองค์ทรงเรียกให้แต่ละคนเข้ามาร่วมเป็นประชากรของพระองค์ เช่นประชากรอิสราเอลในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ทุกคนที่ประสานเป็นคนหนึ่งในพระเยซูคริสต์ต่างก็เป็นคนหนึ่งในประชากรของพระองค์ กล่าวคือ คริสตชนแต่ละคนต่างประสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่เชื่อวางใจในพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเราต้องการหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์เราก็เป็นส่วนหนึ่งในพระวรกายของพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่แยกออกจากความล้มเหลว จากอำนาจชั่วแห่งโลกนี้ จากชีวิตที่เป็นแต่เนื้อหนัง และพลังแห่งความชั่วร้ายที่พยายามแทรกแซงและแทรกซึมเข้าในชีวิตของมนุษย์ และในเวลาเดียวกันทรงเรียกเราให้แยกออกเพื่อพระราชกิจแห่งการสร้างเสริมชีวิตใหม่ในบรรดามนุษยชาติผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวาทะที่มาบังเกิดเป็นชีวิตที่เป็นรูปธรรม และโดยทางพระวิญญาณผู้ทรงประทานชีวิตแก่เรา

เราต้องไม่ลืมว่า คริสตจักรได้รับการสถาปนาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น สาวกของพระเยซูคริสต์ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสตจักรที่พระองค์ทรงเรียกร้องให้คริสตชนแต่ละคนอุทิศและยอมจำนนต่อคริสตจักร คริสตจักรเป็น “เบ้าหลอม” และ “เครื่องเชื่อม” ของพระเจ้าที่เสริมสร้างให้แต่ละคนมีชีวิตที่บริสุทธิ์ในทุกมิติของชีวิต รวมทั้งชีวิตการติดตามพระคริสต์ด้วยกัน

ประการแรก ความรักที่คริสตชนรักพระเจ้าก็รวมถึงการที่เขารักประชากรของพระองค์ด้วย (1ยอห์น 4:20) แต่การที่เรารักประชากรของพระเจ้านั่นหมายความด้วยว่าเรายอมให้ประชากรของพระองค์รักเราด้วย และนั่นหมายความว่าจำเป็นที่คริสตชนแต่ละคนต้องเข้าส่วนในสัมพันธภาพที่แท้จริงที่รักและสนับสนุนเสริมสร้างกัน และด้วยการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าเราจึงมีความรับผิดชอบต่อเพื่อนคริสตชนด้วยกัน เมื่อชีวิตของเราอยู่บนจุดยืนนี้เราจึงสามารถมองเห็นได้ชัดว่าชีวิตในด้านใดของเราที่จะต้องมีความบริสุทธิ์ และเมื่อเราต้องเผชิญกับความขัดแย้ง ในเหตุการณ์นั้นจะทำให้เราเติบโตขึ้นในความ “อดทนต่อกันและกัน ...ให้อภัยกัน” (โคโลสี 3:13)

ประการที่สอง ชีวิตที่บริสุทธิ์ ในฐานะที่เป็นสมาชิกของพระคริสต์คือชีวิตที่แยกออกให้เข้าร่วมการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักร ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และฟังพระวจนะของพระองค์ ยืนยันหลักข้อเชื่อของเรา และประกาศความเชื่อศรัทธาของเรา ระลึกถึงการที่เรารับบัพติศมาในความตายของพระคริสต์และร่วมเป็นขึ้นใหม่กับพระองค์ สารภาพความบาปผิดของเรา เฉลิมฉลองในความสัมพันธ์ที่เรามีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและในความสัมพันธ์ที่เรามีร่วมในคริสตจักร ร่วมรับขนมปังและน้ำองุ่น เนื้อและเลือดของพระคริสต์ จากการที่เราร่วมในการ “นมัสการ” และ “รับใช้” พระเจ้าด้วยกัน อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า ปีแล้วปีเล่าเช่นนี้คริสตจักรจึงได้หล่อหลอมปั้นแต่งชีวิตของเราแต่ละคนทั้งความคิดภายใน และการแสดงออกภายนอก และให้พฤติกรรมชีวิตของเราเติบโตขึ้นตามทางของพระเจ้า ยิ่งเรามีส่วนร่วมในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรมากเท่าใด ทำให้เราเรียนรู้ในทุกระดับชีวิต มิเพียงแต่รู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร แต่เราเรียนรู้ถึงว่าเราเป็นคริสตจักร และคริสตจักรก็คือเรา ในพระเยซูคริสต์ “ทุกส่วนของโครงสร้างถูกเชื่อมต่อกันและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 2:21)

ประการสุดท้าย ในฐานะคริสตชน เราแยกออกเพื่อคนอื่น เปโตรบอกให้เราทราบว่า เราเป็น "พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” (1เปโตร 2:9) การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ชีวิตที่แยกออกเพื่อพระเจ้า มิใช่เป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง แต่มีเป้าหมายเพื่อโลกนี้ เมื่อเรามองย้อนหลังไปถึงอับราฮัม พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์เป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะนำพระพรไปยังบรรดาประชาชาติ การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ที่แท้จริงมิใช่เพื่อประชากรของพระเจ้าจะเป็นผู้ชอบธรรม แต่ให้ประชากรของพระองค์เป็นผู้นำพันธกิจแห่งการคืนดีไปสู่โลกที่แบ่งแยกกีดกัน คริสตจักรที่แบ่งแยกกลุ่ม พวก คณะนิกาย พันธกิจแห่งการคืนดีนี้เป็นพันธกิจที่ประชากรของพระเจ้าได้รับมอบหมายจากพระองค์ “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจในเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ” (2โครินธ์ 5:18-19) ด้วยพันธกิจนี้ ประชาชาติทั้งหลาย เผ่าพันธุ์ หรือ ชาติพันธุ์ต่างๆ คนทุกภาษา จะได้รู้จักความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

พระเจ้าตรัสว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” นี่มิใช่ความบริสุทธิ์และความสัตย์ซื่อส่วนบุคคล แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสนิทสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และเป็นชีวิตที่รับใช้ผู้อื่น และนี่คือชีวิตที่บริสุทธิ์ที่จะช่วยให้คริสตชนในยุคปัจจุบันค้นพบเส้นทางชีวิตที่ตนจะดำเนินไปท่ามกลางกระแสโลกแห่งความทันสมัย


เรียบเรียงและสะท้อนคิด
จากการอ่านบทความของ ดร.โจเอล สแกนด์เรตต์

02 มีนาคม 2553

เมื่อสนทนากับพระเจ้า

พระเจ้าสดับฟัง และ ได้ยินทุกเสียงร้องทูลขอของเราเสมอ
ไม่มีเสียงร้องทูลขอใดที่จะหลุดรอดซ่อนเร้นจากพระองค์ได้
ผู้คนจำนวนมากในโลกนี้ที่ร้องทูลต่อพระเจ้า
แต่มีน้อยคนนักที่จดจ่อคอยท่า
ที่พระเจ้าจะทรงสนทนากับตน
ที่พระเจ้าจะตรัสกับจิตวิญญาณของตน
การตรัสและทรงสนทนาด้วยของพระเจ้าเป็นการสำคัญยิ่งสำหรับชีวิต
สำคัญยิ่งกว่าคำตอบที่ผู้ทูลขอคาดหวัง

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับผู้ใดผู้นั้นจะทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของตน

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับอับราฮัม
อับราฮัมจึงรู้ว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านเป็นผู้นำพระพรของพระองค์ไปสู่บรรดาประชาชาติ

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับยาโคบที่กำลังตกอยู่ในวิกฤติชีวิต
ยาโคบจึงรู้และมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงอยู่ด้วย ไม่ทอดทิ้ง และจะทรงนำและทรงอวยพระพร

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับโยเซฟ
โยเซฟจึงรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และใช้ความรู้จากเบื้องบนก่อประโยชน์ใหญ่หลวงแก่คนรอบข้าง แก่อียิปต์ แก่บรรดาประชาชาติ และชาติพันธุ์ของตนเอง

เมื่อพระเจ้าสนทนากับโมเสส
โมเสสจึงรู้แน่ชัดว่า พระเจ้ามีพระประสงค์นำอิสราเอลออกจากอียิปต์แดนทาส ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ มิใช่ด้วยกองทัพ รถรบ ม้าศึก หรือความสามารถของตนเอง

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับซามูเอลเมื่อยังเยาว์วัย
ซามูเอลได้ทราบถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทรงใช้ท่านในเวลาวิกฤติ ที่ผู้นำขาดคุณภาพและคุณธรรม

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับซามูเอล ขณะที่กษัตริย์ผู้ปกครองอิสราเอลขาดความเชื่อฟังพระเจ้า
แต่ปกครอง/บริหารประเทศด้วยอำนาจและความคิดความต้องการของตนเอง
ซามูเอลได้ทราบถึงวิธีการของพระเจ้าในการทรงเลือกผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ได้ดูที่ความสง่างาม กำยำ ใหญ่โตของร่างกาย แต่ทรงเลือกผู้เล็กน้อยที่มีจิตใจรักเมตตา และเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูปกป้องประชากรของพระองค์อย่างเลี้ยงแกะ

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับผู้เผยพระวจนะอิสยาห์
อิสยาห์ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และสูงส่งของพระเจ้า และเห็นถึงความสกปรก บกพร่อง ความบาปผิดของตนเอง และได้รับการทรงชำระจากพระองค์

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับเยเรมีย์
เยเรมีย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชากรของพระเจ้าที่ตกไปเป็นเชลยศึกในต่างแดน มากกว่าที่จะเสวยสุขและมีอำนาจในเมืองหลวงที่ถูกทำลาย

เมื่อพระเจ้าทรงสนทนากับพระเยซูคริสต์ และทรงเปิดเผยว่าพระเยซูเป็นพระบุตรที่รักของพระบิดา
พระเยซูคริสต์ทรงรู้ว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้พระองค์ยอมตาย เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชีวิตรอด

เมื่อพระเยซูทรงสนทนากับเปโตรผู้ใจใหญ่ ปากไว ดูกล้าหาญ
เปโตรได้เรียนรู้ถึงน้ำพระทัยของพระคริสต์ว่า พระราชกิจของพระองค์ต้องการคนที่มีจิตใจรักเมตตา เสียสละ และจิตวิญญาณแห่งการเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์

เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสนทนากับศิษย์สองคนบนเส้นทางจากเยรูซาเล็มสู่เอมมาอูส
ศิษย์ทั้งสองคนได้รับความกระจ่างในพระวจนะและในพระราชกิจของพระเจ้า เขาหันหลังกลับ(ยูเทิร์น)สู่เยรูซาเล็มทันที

เมื่อพระเยซูคริสต์สนทนากับปรปักษ์บนเส้นทางดามัสกัส
เซาโลผู้เข่นฆ่าสาวกของพระคริสต์ เพื่อปกป้องสถาบันศาสนายิวในเวลานั้น
เซาโลต้องตาบอดแต่กลับได้เห็นกระจ่างชัดเจนว่า แท้จริงแล้วพระคริสต์คือผู้ใด และรู้ว่าพระองค์มีพระประสงค์อะไรในชีวิตของตน จากเซาโลเปลี่ยนเป็นเปาโล จากผู้ข่มขู่และทำร้ายทำลายเปลี่ยนเป็นทาสสมัครรับใช้ของพระคริสต์

พระคำของพระเจ้านั้นเป็นชีวิต
การสนทนากับพระองค์นั้นได้ชีวิต
การสนทนากับพระองค์ได้ปัญญาล้ำลึก ได้รู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า
การสนทนากับพระองค์ได้รับการเยียวยารักษา
การสนทนากับพระองค์นั้นได้กำลังชีวิตท่ามกลางความจำกัด สิ้นหวัง และมืดแปดด้าน

การสนทนากับพระเจ้า ได้รับการ “ปิด” ตากาย และ “เปิด” ตาใจ
ทำให้เลิกเดินทางที่หลงผิดในชีวิต แล้วเดินบนวิถีแห่งพระคริสต์ วิถีแห่งกางเขนของพระองค์

ในวันนี้ ให้เรามีจิตใจและจิตวิญญาณที่จะรอคอย ที่จะฟัง ที่จะสนทนากับพระองค์
รอคอย และ สนทนากับพระเจ้าอย่างอับราฮัม
สนทนาอย่างเปิดใจกับพระองค์อย่างโมเสส
สนทนาอย่างถ่อมใจและเปิดใจยอมรับอย่างโยเซฟ ซามูเอล และอิสยาห์
สนทนาอย่างอุทิศตนตามพระประสงค์อย่างพระคริสต์ อย่างเปาโล

ในวันนี้ให้โอกาสในการสนทนากับพระเจ้า ที่จะช่วยเราในการตัดสินใจที่จะเลือกการอภิบาล เสริมสร้างชีวิต “เชลยศึก” ในยุคโลกาภิวัฒน์เยี่ยงเยเรมีย์ มากกว่าที่จะเลือกชีวิตเสวยสุขในอำนาจและทรัพย์สิน เกียรติยศ ชื่อเสียงใน “เมืองหลวง” ที่แพ้สงคราม

ในวันนี้จงยึดมั่นในพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่านด้วย
การยืนหยัด
การอดทน
การบากบั่น
ความรักเมตตา
ความหวัง
ความเชื่อศรัทธา และ
พลังจากเบื้องบน

แล้วยอดเขาแห่งความทุกข์ยากลำบากทั้งหลายจึงถูกปราบลงให้ราบ และหุบเขาแห่งความยากจนข้นแค้นทั้งหลายจะถูกถมให้เต็มและเรียบ

เพื่อทุกคนจะได้รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเอาใจใส่ ห่วงใย รักและเมตตา พร้อมจะให้เราแต่ละคนได้ร่วมในพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า